ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะ ทุกวันนี้กระแสค่านิยม ความสัมพันธ์แบบหลวมๆ มาแรงมากทีเดียว
คู่หญิงชายที่เดินขวักไขว่ตามห้าง ท้องถนน นั่งตามร้านอาหารหรือผับหรู โอบกอดหยอกล้อ ลองสุ่มเข้าไปถามสัก 10 คู่สิคะ กี่คู่ที่ เป็นแฟนกัน
สมัยนี้เขาแทบจะเลิกเป็นแฟนกันแล้วค่ะ มีแต่ คบๆ ดูๆ คุยๆ เป็นเพื่อนกัน
อย่างนี้สิคะรักแท้ รักที่ให้อิสสระ ให้สิทธิเสรีภาพกับทั้งคู่ ถ้าคุยกันไม่ถูกคอก็จบง่ายๆ ไม่ต้องรับผิดชอบความรู้สึกกัน และถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจอคนที่ใช่กว่า ก็ว่าง่ายๆ จบกันไป ไม่มีอะไรยืดเยื้อ
ว่าแต่........เจ็บกันบ้างมั๊ยคะ ที่ อนุญาต ให้มีความสัมพันธ์รูปแบบนี้
ถ้าเขาบอกว่ายังไม่พร้อมคบเราจริงจังเป็นแฟน ไม่พร้อมจะแต่งงานกับเรา ไม่พร้อมจะเลิกกับแฟน (เมื่อเราเป็นกิ๊ก) หรือไม่พร้อมจะเลิกกับภรรยาที่เขาบอกว่าหมดรักแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ เช่นไม่อยากกดดันกัน ไม่อยากกักขังกัน ยังไม่พร้อมเพราะพึ่งผ่านอดีตความรักที่เลวร้าย หรือเห็นตัวอย่างความล่มสลายของความรัก สงสารแฟน สงสารภรรยา โอเคค่ะ เข้าใจกันนะ
แต่แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เขาไป พร้อม กับคนอื่นขึ้นมา อาจเป็นสองเดือนหลังบอกเราว่าไม่พร้อม หรืออาทิตย์เดียวกันนั่นเอง
แล้วเรากลายเป็นอะไรล่ะ? แค่คนที่คุยๆ กันถูกใจ ชอบอะไรเหมือนๆ กัน อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข รวมถึง........เข้ากันได้ในเรื่อง sex แต่เรา ไม่มีคุณค่าพอในฐานะคนรักจริงจัง หรือภรรยา อย่างนั้นหรือ ในขณะที่คนที่เขาไปพร้อมด้วย........ทำไมเขารักเธอได้หมดใจ หายกลัวกับอดีตรักที่เลวร้ายแล้วเหรอ ยอมทิ้งการเป็นอิสสระ หรือแม้แต่ยอมเลิกกับแฟน เลิกกับภรรยา ไปเพื่อเธอคนนั้น ..........แต่กับเรา เขา ไม่พร้อม
สุดท้ายใครกันต้องมานั่ง เจ็บ และรู้สึกด้อยค่ากับตัวเอง
ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เลยที่รัก คุณไม่ได้ด้อยค่าแต่อย่างใด แต่คุณ อนุญาต ให้เกิดความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้เองต่างหาก
ถ้าคำว่า รัก คือการให้ คือการเสียสละ ถ้าเราอิ่มเอมกับการให้เช่นนั้นแล้ว..................................ร้องไห้ทำไมคะ
ถ้าเรา ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ถ้าเรา เห็นด้วยกับการให้อิสสระ ความสัมพันธ์แบบหลวมๆ ให้สิทธิ์กันและกัน
แล้วทำไมเราจิตตก ทำไมเราร้องไห้
เราหลอกตัวเองบ้างหรือเปล่า ใครหลอกเรากันแน่ เราอ่อนแอเกินไปจนต้อง หลอกตัวเองเพื่อการอยู่รอด เชียวหรือนี่