Overload คืออุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้มอเตอร์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในเครื่องจักรเสียหายหากเกิดเหตุการณ์กระแสไฟฟ้าเกินพิกัด หากเกิดความเสียหายขึ้นกับมอเตอร์ไฟฟ้าคงจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้านั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญของเครื่องจักรในโรงงาน ดังนั้นการเลือกอุปกรณ์ป้องกันมอเตอร์ที่เหมาะสมและได้มาตรฐานจึงสำคัญเป็นอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Overload คืออะไร ทำหน้าที่แบบไหน มีความสำคัญกับมอเตอร์อย่างไร หาคำตอบได้จากบทความนี้ Overload คืออะไร
ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องจักรมักมีการป้องกันกระแสเนื่องจากเกิดภาระกระแสเกินในงานมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่บ่อยครั้ง โดยส่วนใหญ่จะมาจากการใช้งานมอเตอร์เกินพิกัดจนทำให้มอเตอร์เกิดความร้อนสูงส่งผลให้มอเตอร์เกิดความเสียหายได้ นอกจากจะต้องเลือกใช้ฟิวส์หรือเบรกเกอร์ที่มีพิกัดกระแสสูงแล้ว ยังต้องมีการติดตั้งโอเวอร์โหลดรีเลย์เพิ่มเพื่อทำหน้าที่ป้องกันมอเตอร์หากมีการใช้โหลดเกินอีกด้วย
โอเวอร์โหลดรีเลย์ (Over Load Relay) หรือ Overload คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้องกันมอเตอร์ไฟฟ้าไม่ให้เกิดความเสียหายเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลเกินพิกัดในการทำงานของโหลด หรือเรียกกันว่าอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าเกินกำลัง โดยโอเวอร์โหลดรีเลย์นั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ โอเวอร์โหลดแบบธรรมดา และ โอเวอร์โหลดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งโอเวอร์โหลดทั้ง 2 ชนิดนี้นั้นมีการทำงานที่แตกต่างกัน
สำหรับโอเวอร์โหลดแบบธรรมดาจะมีขดลวดความร้อน (Heater) พันอยู่กับแผ่นไบเมทัลหรือแผ่นโลหะเชื่อมติดกันอยู่ เมื่อได้รับความร้อนแผ่นโลหะนั้นจะโก่งตัวขึ้นดันให้หน้าสัมผัสปิด NC ของโอเวอร์โหลดที่ต่ออนุกรมอยู่กับแผงควบคุมไปเปิดวงจร และตัดกระแสไฟฟ้าจากคอยล์แม่เหล็กของคอนแทคเตอร์ทำให้หน้าสัมผัสหลักของคอนแทคเตอร์ปลดมอเตอร์ออกจากแหล่งจ่ายไฟเพื่อป้องกันมอเตอร์เสียหายนั่นเอง ส่วนหลักการทำงานของโอเวอร์โหลดแบบอิเล็กทรอนิกส์ มีความแตกต่างจากแบบแรกคือ ภายในโอเวอร์โหลดจะมีวงจรอิเล็กทรอนิกส์คอยตรวจสอบกระแสไฟฟ้าเพื่อไม่ให้มีกระแสไฟฟ้าเกินกำหนด โดยใช้ระบบไมโครโปรเซสเซอร์แบบ Fail Safe ที่จะตัดวงจรเมื่อเกิดความผิดพลาด มีความแม่นยำสูงอีกทั้งยังสามารถวัดค่ากระแสที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย
เครื่องสำรองไฟเกิดอาการโอเวอร์โหลด (Overload)
นอกจากมอเตอร์ในเครื่องจักรที่มีความสำคัญและสามารถเกิดการโอเวอร์โหลดได้บ่อยครั้งแล้ว เครื่องสำรองไฟก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่สามารถเกิดการโอเวอร์โหลดได้เช่นกัน ซึ่งการที่เครื่องสำรองไฟเกิดอาการโอเวอร์โหลดนั้นหมายถึงการที่เครื่องสำรองไฟเกิดภาระโหลดเกิน โดยมีอุปกรณ์ที่ต่ออยู่กับเครื่องสำรองไฟ (UPS) ใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าแรงดันไฟฟ้าที่สามารถจ่ายให้ได้เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้าเกินพิกัด (Overload)
กล่าวคือเมื่อมีอุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมากเชื่อมต่ออยู่และใช้งานอยู่ในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องสำรองไฟตัวที่คุณใช้อยู่อาจจะมีกำลังวัตต์อยู่ที่ 500 วัตต์ แต่คุณใช้งานอุปกรณ์ที่ต้องการไฟสำรองอยู่ที่ 600 วัตต์ ทำให้เกินกำลังวัตต์ที่ตัวเครื่องสำรองไฟสามารถรองรับได้ จึงเกิดเหตุการณ์โอเวอร์โหลด เป็นต้น ดังนั้น หากคุณต้องการเลือกซื้อเครื่องสำรองไฟ อย่าลืมดูรายละเอียดกำลังวัตต์ที่เครื่องสำรองไฟสามารถรองรับได้ รวมถึงควรคำนึงถึงกำลังวัตต์ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องจักรชิ้นนั้น ๆ ต้องการใช้งาน เพื่อความปลอดภัย
การคำนวณกำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าเราควรคำนวณกำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมในการเลือกซื้อเครื่องสำรองไฟที่จะนำมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่คุณต้องการ มาดูกันว่าเราสามารถมีวิธีคำนวณหากำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมได้อย่างไร
ในการเลือกกำลังไฟที่เหมาะสม กำลังไฟฟ้าที่อุปกรณ์ใช้นั้นจะต้องไม่สูงไปกว่ากำลังไฟฟ้าที่ UPS หรือเครื่องสำรองไฟสามารถจ่ายได้ ดังนั้นคุณจึงต้องคำนวณการใช้พลังงานของอุปกรณ์ให้ถูกต้อง โดยใช้สูตร VA = Voltage (RMS) x Current (RMS) หรือ VA = Watt x 1.4 มากไปกว่านั้น หากมีการใช้งานอุปกรณ์มากกว่า 1 ชิ้น หรือหลายอุปกรณ์ต่อเครื่องสำรองไฟหนึ่งเครื่องให้คุณนำค่า VA ของแต่ละอุปกรณ์มารวมกัน แล้วเลือกใช้ UPS ที่จ่ายไฟได้มากกว่าอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ของผลรวมอุปกรณ์เหล่านั้น
สัญญาณเตือนเครื่องสำรองไฟเกิดอาการโอเวอร์โหลด (Overload) มีอะไรบ้าง
แน่นอนว่าการที่เครื่องสำรองไฟโอเวอร์โหลดนั้นย่อมไม่เป็นผลดี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องสำรองไฟที่เราใช้อยู่นั้นเริ่มมีการโอเวอร์โหลด การส่งสัญญาณหรือแสดงอาการเตือนว่าไฟฟ้าโอเวอร์โหลดของเครื่องสำรองไฟแต่ละรุ่นนั้นไม่เหมือนกัน โดยคุณจะต้องศึกษาข้อมูลหรือรายละเอียดต่าง ๆ จากข้อมูลการใช้งานของ UPS แต่ละรุ่นโดยละเอียด หรือติดต่อเราเพื่อสอบถามข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม สำหรับเครื่องสำรองไฟ Smart UPS (SUA Product Family) จาก Schneider Electric คุณสามารถอ่านคู่มือรวบรวมสัญญาณเตือนความผิดปกติได้ทางลิงก์นี้ และสำหรับเครื่องสำรองไฟ Back UPS สามารถดูคู่มือได้ที่นี่