บทที่ ๒ การเล่าเรื่องประทับใจ ... ร่างบทพูดของผม ![]() เมื่อ ๓๔ ปีที่แล้วเด็กประถมเกือบทุกคนในจังหวัดกำแพงเพชร ใฝ่ฝันที่อยากจะเข้าเรียนต่อชั้นมัธยม ในโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมทั้งจากชื่อเสียงของโรงเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดนักเรียนที่สามารถเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัย รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่กว้างขวาง มีตึกใหญ่โต ( สมัยนั้นมีอาคารเป็นตึก อยู่ ๒ หลัง และอาคารไม้ ๑ หลัง ) ตัวผมเองก็เช่นกันหลังจากเรียนจบโรงเรียนวัฒนศิริวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนประถม ของเอกชน อยู่ที่บ้านปากดง ต.ไตรตรึงษ์ ผมก็สอบเข้าเรียนต่อที่ โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมจากโรงเรียนประถมนักเรียน สองร้อยกว่าคน มาสู่ โรงเรียนมัธยมนักเรียนเกือบสองพันคน จากโรงเรียนที่มีอาคารเรียนชั้นเดียวสองหลังมาสู่โรงเรียนที่มีตึกสี่ชั้นสองตึก อาคารไม้สองชั้น จากโรงเรียนพื้นที่ขนาด ๑สนามฟุตบอล มาสู่โรงเรียนขนาด ๕ สนามฟุตบอล แต่เมื่อได้เข้ามาเรียน ผมก็พบว่า โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมไม่ได้มีแค่ชื่อเสียงและสถานที่เท่านั้น ยังมีความรักความเอื้ออาทร ของครูอาจารย์ที่มีให้ ศิษย์ ผ่านการดูแล อบรมสั่งสอนและ ไม้เรียว ( ที่ตีด้วยความรัก) มีครูอาจารย์หลายท่านที่ฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวย แต่ท่านก็เสียสละเวลามาสอนเพิ่มเติม สอนพิเศษให้กับนักเรียนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นในบางครั้งยังเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมอีกต่างหาก หลายท่านนอกจากสั่งสอนวิชาการในห้องเรียนแล้วก็ยังอบรมดูแล การแต่งกาย กริยามารยาท การปฏิบัติตัว และให้อภัยกับศิษย์ ที่ทำผิดถึงแม้ว่าความผิดนั้นจะรุนแรงถึงกับผิดกฎหมาย ( ลักขโมย ทำร้ายร่างกาย ทะเลาะวิวาท) ก็ตาม ซึ่งถ้าท่านยึดระเบียบทำตามกฎหมาย ก็คงมีหลายคน ที่หมดอนาคต ไม่ได้เป็นหมอ ครู ตำรวจ นักธุรกิจ ฯลฯ เหมือนในปัจจุบัน ตอนเป็นนักเรียน ผมเรียนเก่งบางวิชาเช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ วิชาที่เรียนไม่ค่อยดี เช่น บัญชี วิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคม กีฬากรีฑาสรุปว่า โดยรวมแล้วผมก็ไม่ได้เรียนเก่งที่สุด หรือ สมองดีที่สุด แต่สิ่งที่ผมคิดว่าแตกต่างจากคนอื่นก็คือ ความมุ่งมั่น ซึ่งแรงผลักดันอย่างหนึ่งก็คือความยากจน ถ้าไม่เรียนให้ดี สอบเรียนต่อมหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้ ก็ต้องออกไปทำงานรับจ้างเพราะ ไม่มีความรู้ทักษะอาชีพเลย และพ่อแม่ก็ไม่มีกิจการร้านค้าให้ทำ ไม่มีเงินที่จะส่งผมเรียนมหาวิทยาลัยของเอกชน (พ่อแม่ผมต้องส่งน้องอีก ๓ คน ) ขอแทรกเทคนิคการเรียนที่ผมใช้ในการเรียนเช่น ผมอยู่ปากดงต้องนั่งรถโดยสารไปและกลับโรงเรียน ผมจดโน้ตใส่กระดาษ แล้วพับเล็กๆ เอามาเปิดอ่านตอนเวลานั่งรถโดยสารกลับบ้าน ทำข้อสอบเก่า ทำแบบฝึกหัด แทนการอ่านหนังสือนอนตอนหัวค่ำแล้วตื่นตอนดึกเพื่อมาอ่านหนังสือติวให้เพื่อนนอกจากได้ความรู้สึกดีจากเพื่อนแล้วตัวผมเองก็ยังได้ฝึกหัดแก้ปัญหาทบทวนความรู้อีกด้วย ความพยายามของผมก็ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าคือ ผมสอบติดทั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ โครงการแพทย์ชนบทมหาวิทยาลัยมหิดล ผมเลือกเรียนต่อที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ยังมีปัญหาใหญ่ตามมาก็คือผู้ที่สอบได้คณะแพทย์ จะต้องทำสัญญาชดใช้ทุน โดยเมื่อเรียนจบต้องทำงานในโรงพยาบาลของราชการอย่างน้อย ๓ ปี หรือ ถ้าไม่รับราชการ ก็ต้องเสียค่าปรับสี่แสนบาท การทำสัญญานี้ จะต้องใช้หลักฐานการเงินหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งพ่อแม่ผมไม่มี จึงต้องใช้วิธีให้ข้าราชการ ซี ๖ ขึ้นไปมาเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งพ่อแม่พี่น้องญาติ ก็ไม่มีใครเป็นข้าราชการ อีกเช่นกัน แต่โชคดีที่ได้รับความกรุณาจากอาจารย์ วัฒนา ขอนทอง เดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อเซนต์สัญญา ค้ำประกัน (ขนาดจบแล้วก็ยังต้องรบกวนอาจารย์)ซึ่งถ้าพูดไป อาจารย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้ เพราะทำไปอาจารย์ก็ไม่ได้อะไรตอบแทน แถมต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และ ที่หนักที่สุดก็คือ อาจต้องเสียเงิน สีแสนบาท ถ้าผมเรียนจบแล้ว ไม่ยอมออกไปชดใช้ทุนตามสัญญาซึ่งสัญญานี้ มีผลต่อเนื่องไปอีก ๖ ปีจนกว่าที่ผมจะเรียนจบอาจารย์ก็ต้องลุ้นอีกนานว่า ผมจะเรียนจบหรือไม่ จบแล้วจะใช้ทุนหรือไม่
สิ่งที่โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมในขณะนั้น แตกต่างจากโรงเรียนอื่น ก็คือ การทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ทั้งกีฬาสีกองเชียร์ กิจกรรม ที่ยังประทับใจ จนถึงตอนนี้ เช่น · การแข่งขันกีฬาสี ภายในโรงเรียนขณะนั้นมี ๔ คณะสี ตอน ม.๕ ผมได้เป็นประธานสี ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่มีใครอยากรับตำแหน่งนี้ แต่ เพื่อนทุกคนช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ · การเชียร์และแปรอักษรในการแข่งขันกีฬาจังหวัด ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของจังหวัดด้วยทำได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก งานนี้ต้องยกเครดิตให้อาจารย์และรุ่นพี่ · เข้าค่ายกิจกรรมลูกเสือเนตรนารีนอกสถานที่ ลูกเสือขี่จักรยานไปจากโรงเรียนถึงแก่งเกาะร้อย ส่วนเนตรนารีนั่งรถไป · การทัศนศึกษา นอกจากผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วผมยังได้เห็น ทะเล เป็นครั้งแรก · เป็นไกด์นำเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ ด้วยเกวียน ในงานกล้วยไข่ งานนบพระเล่นเพลง · กิจกรรมหารายได้ เช่น จัดฉายภาพยนต์แสดงดนตรี รับฝากรถในงานกล้วยไข่ เดินขอรับบริจาค จากห้างร้าน เป็นต้นเพื่อนำมาทำกิจกรรมกีฬาสี และ จัดสร้าง ศาลาศิลาแลง(ที่ตั้งอยู่กลางสนามฟุตบอลในขณะนี้ )
ในขณะนั้นทำกิจกรรมเพราะความสนุก ได้เที่ยวได้เล่นกับเพื่อนกับพี่กับน้องไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ จึงได้เข้าใจว่า กิจกรรมนอกห้องเรียนเหล่านี้มีส่วนสร้างให้เกิดทักษะการดำรงชีวิตในสังคม ทักษะในการทำงานเป็นทีม การบริหารจัดการฯลฯ ซึ่งไม่สามารถหาได้จากหนังสือ จากการเรียนการอ่านจะต้องเข้าร่วมทำกิจกรรมด้วยตนเองเท่านั้น แต่เป็นส่วนที่สำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิตและทำงานก็ต้องขอบคุณ ครูอาจารย์ทุกท่านที่ช่วยกันผลักดันให้คำปรึกษากับนักเรียนนักกิจกรรมทั้งหลายได้มีโอกาสทำกิจกรรม
สิ่งที่ผมมีในวันนี้ สิ่งที่ทำให้นักเรียนหลายต่อหลายรุ่นเมื่อจบออกไปแล้ว มีรายได้มีอาชีพ มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จตามสมควร ก็คือ “ ครู อาจารย์ “ ที่ให้ความรู้ ให้ความรัก เสียสละทุ่มเท ให้กับ ศิษย์ นั่นเอง ไม่ใช่จากสิ่งของ อาคารสถานที่แต่อย่างใด พระคุณของ ครู ยังอยู่ในใจศิษย์เสมอ
ปล. เชิญชม ประวัติโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม เรื่อง หนึ่งศตวรรษ วัชร นารี คือศักดิ์ศรีกำแพงเพชรพิทยาคม โดย อ.สันติ อภัยราช https://www.youtube.com/watch?v=j8wXebswwVE&feature=share&list=UUEC99ENc2JvV-L7u1caskpg |
บทความทั้งหมด
|