๔๘๒ - สายพานแห่งเวลา วันเวลาผ่านไปเกือบสองปี ที่ไม่ได้ทำการเขียนข้อมูลใหม่ ๆ ลง blog เลย มันดูเหมือนเวลาช่างนานแสนนานในมิติของ bloggang หากแต่มองจากมิติของกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องทำนั้น เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้ากลับหวนกลับมาคิดถึงเรื่องราวใน Blog หลังจากได้พักผ่อน 2-3 วัน ก่อนขึ้นปีใหม่ 2562 อยากจะเขียนเรื่องราวประสบการณ์ที่พบเจอมาในช่วง 2 ปี แต่เหมือนความกังวลในหน้าที่การงาน จะดูดกลืนความรู้สึกนั้นไปเสียแล้ว บางทีวันก็น่าเสียดายมาก อยากให้ความรู้สึกดี ๆ เหมือนเดิมกลับมา แต่มันก็เหมือนจะทำไม่ได้ เส้นทางธรรม ยังคงดำเนินต่อไป หากแต่ไม่เข้มข้นเหมือนเดิม แม้ว่าปี 2561 จะไปแสวงบุญที่อินเดียถึง 2 หน และวางแผนจะไปอีกในต้นปี 2562 แต่นั่นก็ยังไม่ได้เติมเต็มความรู้สึกที่มันขาดแคลนธรรมะ และการฟังธรรมะลดน้อยลงมาก ๆ โชคดีที่ยังระลึกถึงทุก ๆ วัน การปฏิบัติสมาธิก็หย่อนยานอย่างที่สุด ทุก ๆ วัน กามกิเลสเข้ามาครอบครองหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่การปฏิบัติรักษาศีลยังคงเหมือนเดิม ฟังเพลงมากขึ้น แต่ก็เป็นเพลงเก่า ๆ ความเครียดจากการทำงานเพิ่มเป็นทวีคูณ จากที่ผันตัวเองมาเปิดบริษัทรับเหมางานเองที่ช่วง 4-5ปีที่ผ่านมา นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เวลาสำหรับธรรมะลดน้อยลง แต่ก็อาจจะเป็นข้ออ้างก็ได้ กิเลสมันก็สามารถอ้างหรือแก้ตัวได้สารพัดอย่าง เรื่องราวการไปแสวงบุญที่อินเดีย ได้จดบันทึก ถ่ายรูป วีดีโอ ไว้มากมาย แต่ก็ยังไม่ได้มีเวลาเรียบเรียงข้อมูลลง Blog แต่คิดว่าจะนำเสนอในเวบพันทิปมากกว่า ก็รอติดตาม คิดว่าภายในปี 2562 ก็น่าจะทำข้อมูลได้สำเร็จ ข้าพเจ้ามักจะบ่นตัดท้อเรื่องราวของเวลาเสมอ เวลาเป็นสิ่งสมมติบ้าง เวลาเป็นฆาตกรบ้าง เวลาเป็นตัวละลายและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ บ้าง และอื่น ๆ อีกมากมาย สมมติว่าเวลาเป็นสายพานเลื่อน ที่มันเลื่อนไปข้างหน้าอย่างคงที่ เราต้องการถึงจุดหมายเร็วขึ้นก็เพียงวิ่งไปข้างหน้า แต่เราจะเหนื่อยและใช้พลังงานมาก เราไม่อยากถึงจุดหมายก็วิ่งไปตรงข้ามสายพาน แต่อย่างไรมันก็จะพาเราไปยังจุดหมายที่เราอาจจะไม่ต้องการเสมอ เราเร่งรัดสายพานให้มันช้าหรือเร็วได้ ไม่ว่าเราจะเคลื่อนที่เร็วหรือช้า สายพานที่เรายืนอยู่ก็จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เสมอ เหมือนกับความเร็วแสงในทฤษฏีฟิสิกส์ที่จะคงที่เสมอ ไม่ว่าเราจะเคลื่อนที่เข้าหาแหล่งกำเนิดแสง หรือ วิ่งออกห่าง สายพานแห่งชีวิต มันชัดนำเราเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ซึ่งวันหนึ่งมันก็จะสิ้นสุด แล้วเราก็ต้องกระโดดขึ้นยังสายพานเส้นใหม่ นั่นหมายถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และการเกิดในภพใหม่แบบทันที เป็นการนับหนึ่งของฐานเวลาใหม่ และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ นี่เป็นวัฏฏะสงสารในมิติของเวลา หากเราได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ก็สามารถเชื่อมโยงหาเหตุ เพื่อนำไปสู่ผล นำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใช้อธิบาย และประยุกต์ใช้จนเกิดความเข้าใจ ในกลไกของวัฏฏะที่หลอกลวงให้สัตว์ทั้งหลายติดข้องอยู่เป็นอันมาก |