๔๘๔ ดินแดนของผู้ชดใช้ (ตอนที่ ๒ จบ) ชายนักเดินทางสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะได้ยินเสียงคล้ายหมาป่าหอนมาแต่ไกล มันทำให้กลางคืนที่ควรจะเงียบสงัดเกิดความวังเวงอย่างบอกไม่ถูก เขาลุกขึ้นจากที่นอน แสงไฟหรี่ ๆ ภายในบ้าน กับแสงจันทร์ในคืนเดือนหงายทำให้มองออกไปข้างนอกได้ค่อนข้างชัดเจน คุณลุง...? เขาตรึกนึกถึงคุณลุงคนนั้น ลองเดินไปในบ้านก็ไม่พบใคร แสดงว่าคุณลุงออกไปข้างนอกตั้งแต่ตอนค่ำแล้วยังไม่กลับมา ชายนักเดินทางรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากชายแปลกหน้าคนนั้น และมันก็ทำให้เกิดความระแวงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเสียงหมาหอนดังถี่มากขึ้น โดยปกติเขาใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในป่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกังวลได้มากเท่านี้ เขามองผ่านออกไปนอกหน้าต่าง เนื่องจากหางตาได้สัมผัสกับต้นไม้ที่ไหวเอนผิดธรรมชาติ มันบิดตัวหลบราวกับมีสัตว์ยักษ์ใหญ่ คลื่นไหวผ่าน การเคลื่อนที่ของมันไปทิศทางรอบ ๆ บ้าน อมนุษย์ ... เขาคิดไม่ผิดแน่ ๆ สิ่ง ๆ นั้นต้องเป็นอมนุษย์ เพียงแต่ตอนนี้เขายังมองไม่เห็นตัวตนของมัน สักพักก็บังเกิดเสียงโหยหวน ด้วยความเจ็บปวด ดังสะท้านไปทั่วป่า ราวกับสัตว์ตนนั้นต้องทุกข์ทรมานในแดนนรก เป็นอย่างนี้ไปสักพักหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบ พร้อมกับแสงรุ่งอรุณจากเช้าวันใหม่ ชายนักเดินทางลืมตาตื่นขึ้นมา แม้การนอนในค่ำคืนนั้นจะดูแสนสั้น เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งดังมาทางประตูหน้าบ้าน เดาไว้ก็คงไม่ผิดว่าต้องเป็นชายชราผู้นั้น ใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มตัดกับสีหน้าที่ดูซีดเผือก บ่งบอกถึงความขัดกันอย่างสิ้นเชิง สวัสดียามเช้าครับ คุณลุง... ชายนักเดินทางทักก่อน ทันทีที่ชายชราผู้นั้นเปิดประตูบ้านเข้ามา เป็นไงบ้าง พ่อหนุ่ม นอนหลับสบายไหม ... ชายชราเอ่ยถาม สบายกว่านอนอยู่ในป่านะ เมื่อคืนคุณลุงไปไหนมาครับ... ชายนักเดินทางถาม นี่พ่อหนุ่มไม่ได้ยินเสียงอะไรใช่ไหม...เมื่อคืน ชายชราถามกลับ ทำให้ชายนักเดินทางลังเล ว่าจะตอบความจริงหรือบอกเป็นนัยดี ผมเห็นอมนุษย์ตนหนึ่ง คุณลุงรู้ใช่ไหม... สายตาของชายนักเดินทางมองแบบเค้นหาคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม ฮ่า ๆ ... ใช่ ๆ ลุงเอง... เป็นคำตอบที่เปรยด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ หลังจากนั้นความเงียบของคู่สนทนาก็บังเกิดขึ้น ชายนักเดินทางเองไม่แน่ใจว่าจะถามคำถามอีกไหม เพราะเขาเองก็รู้โดยนัยอยู่แล้ว เนื่องจากการเดินทางที่ผ่านมาเขาได้เจอเรื่องราวประหลาด ๆ มากมาย พ่อหนุ่มมองไปนอกหน้าต่างนั่นสิ พระอาทิตย์กำลังขึ้นอยู่เหนือทิวเขา เช้าวันใหม่กำลังเริ่ม ชีวิตของลุงในแต่ละวันก็เช่นกัน กลางวันมีร่างกายเป็นมนุษย์ มีฤทธิ์สื่อสารกับเหล่าเทพได้ แต่กลางคืนต้องกลายร่างเป็นอสุรกายล่องหน ตาบอด เดินวนเวียนอยู่ในป่า น้ำลายที่กลืนกินเข้าไป กลายเป็นน้ำกรดที่กัดกินอวัยวะข้างใน ปวดแสบร้อนราวกับไฟนรกแผดเผากาย ชีวิตเป็นอย่างนี้นับร้อยนับพันปี แม้จะตายก็ตายไม่ได้ ลุงต้องใช้ชีวิตอย่างนี้จนกว่าจะหมดอายุขัย ซึ่งก็อีกยาวนานทีเดียว ชายชราเล่าแบบย่อ นั่นก็พอที่จะทำให้ชายนักเดินทางเกิดเวทนาสงสาร เพราะกรรมใช่ไหม ลุง... ชายนักเดินทางเปรยถามอย่างพอจะเข้าใจเรื่องราว นี่เป็นเพียงเศษกรรมของลุง กรรมหนักลุงชดใช้ไปแล้ว ชายชราตอบ ชายนักเดินทางคิดว่า นี่ขนาดเศษกรรมยังมีผลร้ายแรงขนาดนี้ ไม่อยากจะถามเลยว่าลุงไปทำกรรมอะไรมา มีอะไรให้ผมช่วยได้ไหม... ชายนักเดินทางถาม ไม่ต้องหรอกพ่อหนุ่ม ไม่มีอะไรช่วยลุงได้ตอนนี้ เพียงแต่อยากให้พ่อหนุ่มคิดไตร่ตรองการกระทำและผลของกรรมให้ดี ๆ ไม่อยากตกอยู่ในสภาพเดียวกับลุงนะ หากการเดินทางสำเร็จแค่คิดถึงลุงบ้างก็พอ ความทุกข์ในตอนกลางคืนคงจะพอบรรเทาลงได้บ้าง... ชายนักเดินทางพยักหน้ารับ ชายนักเดินทางถอนหายใจ รู้ปรงกับสภาพของคุณลุง และหวังว่าแกจะพ้นไปจากสภาพทุกข์นี้โดยไว ทุกการเดินทาง ทุกชีวิต มีกรรมเป็นที่รองรับ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สัตว์ทั้งหลายทำกรรมสิ่งใดไว้ ไม่ว่าชั่วหรือดี ก็จะได้รับผลของการกระทำเหล่านั้นในช่วงกาลเวลาหนึ่ง ๆ เหมือนดั่งบุรุษผู้โปรยผงฝุ่นขึ้นบนเหนือศีรษะ ไม่ช้าผงฝุ่นก็ตกลงมาเข้าตาบ้าง หล่นลงบนศีรษะบุรุษผู้นั้นบ้าง หรือ บุรุษผู้โปรยดอกไม้หอมขึ้นในอากาศ กลิ่นหอมจากดอกไม้นั้น ก็ตกลงสู่จมูกของบุรุษผู้นั้น กรรมหรือการกระทำจึงเปรียบเหมือนกฎสมดุลทางธรรมชาติ ซึ่งมีผลต่อที่ผู้ที่ยังข้องในวัฏสงสารนั้น ๆ |