Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
13 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
Shangrila สวรรค์บนดิน

ตุลาคม 2550

ตอนเด็กๆเคยอ่่านหนังสือ โลกพิศดาร แดนพิศวง แล้วมีสถานที่นึงเค้าพาดหัวไว้ว่า "แชงกรีล่า สวรรค์บนดิน" ก็น่าสนใจใช่ย่อยอยู่ (ตอนนั้นรู้จักแต่แชงกรีล่าที่เป็นโรงแรม กะร้านติ่มซำ) ..ในนั้นบรรยายซะเหมือนกับดินแคดนในตำนานที่ไม่ติดต่อโลกภายนอก มีความเป็นอยู่แบบชนพื้นเมือง แถมรูปที่ถ่ายมาก็เหมือนอาณาจักรในหมอก ..กระตุ้นต่อมอยากเที่ยวเป็นอย่างดี ปีนี้มีคนชวนไป เรื่องอะไรจะปฏิเสธล่าาาาา

ตอนแรกเรานึกว่า แชงกรีล่าจะเป็นแบบมองโกล (ประมาณนอนในกระโจมเลี้ยงสัตว์) แล้วชีวิตความเป็นอยู่ไม่ใช่แบบคนเมืองมาก ... แต่ว่าที่ไปมาเนี่ย มันผิดไปจากภาพที่คิดไว้เยอะทีเดียว เพราะว่าเค้าพาเราไปนอนในเมือง เห็นชีวิตแบบคนเมืองมากกว่าคนพื้นเมือง (เข้าใจว่าเพราะไปนอนในเมือง แต่จริงๆแล้วตามชนบทของแชงกรีล่าที่นั่งรถผ่านไปยังเห็นภาพของทุ่งหญ้าแบบที่จินตนาการอยู่)

อีกอย่างนึง ... ทุ่งหญ้าของแชงกรีล่าจะสวยเป็นฤดูกาล ...ตอนเราไปมันยังเป็นทุ่งหญ้าอยู่ แต่ว่าเคยเห็นภาพที่ทุ่งหญ้ามีดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่ง ฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ สวยมากๆๆๆ ถ้าใครไปจังหวะดีๆเจอภาพนั้นได้ ก็คงได้บรรยากาศของ"สวรรค์บนดิน" ได้เหมือนกันนะ

โปรแกรมคราวนี้เราจะเริ่มจากลี่เจียง แล้วค่อยไปแชงกรีล่า แล้วก็มาจบที่คุนหมิงจ้าา

วันแรก เราไปถึงคุนหมิงตั้งแต่บ่ายสองโมง แต่ว่าต้องรอเปลี่ยนเครื่องไปลี่เจียงตอนสี่โมงเย็น กว่าจะไปถึงลี่เจียงก็เย็นมากแล้่ว..อากาศหนาวเอาการอยู่เหมือนกัน คืนนี้นอนเอาแรงก่อน แล้วค่อยต่อกันพรุ่งนี้

เริ่มโปรแกรมการเที่ยวที่สาวนสาธารณะที่มี ห้วงน้ำมังกรดำ (เหยหลงถาน) ที่เคยมีตำนานว่ามีมังกรอาศัยอยู่ที่นี่ ...ก็เป็นสวนสาธารณะแบบจีนขนาดใหญ่ มีเก๋งจีน สะพานโค้งหินอ่อน แล้วก็ธรรมชาติๆ ตรงนี้ไม่มีอะไรมาก ถ่ายรูปๆๆๆ


บรรยากาศรอบๆเหยหลงถาน
ไม่แน่ใจว่าเทือกเขาข้างหลังคือเทือกเขาหิมะมังกรหยกรึเปล่า (เทือกเขาเยอะมาก จำไม่ได้)


บรรยากาศอีกมุม (อากาศหนาวพอควร ...ใส่เสื้อหนาวซะกลมเลย)

ต่อมาที่วัดยี่เฟิง เป็นวัดลามะธิเบตที่เก่าแก่ของที่นี่ ...บรรยากาศภายในวัดยังคงความเป็นวัดจีนมากกว่าวัดลามะ ไม่มีอะไรโดดเด่นมาก แต่ที่เป็นไฮไลท์ คือที่นี่มีต้นชาเก่าแก่ ที่มีอายุมากว่า 500 ปี (ที่นี่เค้าเรียกต้นคามีเลีย) ถือว่าเป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากโบราณเลย


รูปบนคือต้นชาขนาดยักษ์ (ต้นไม่สูง แต่ลำต้นใหญ่มาก)
ซ้ายล่าง คือทางเดินขึ้นวัด
ขวาล่างคือคุณลุงที่ทำหน้าที่ดูแลต้นชาต้นนี้


อีกอย่างคือมีเม็ด Walnut ขายเต็มไปหมด
ไม่เคยกินกันก็เลยลองซื้อมา ...แล้วก็เปิดโซ้ยทันที (^^)


รูปหมู่คณะทัวร์หน้าวัด
(ทัวร์นี้มีแต่คนรู็ตัก ก็เลยฮาเฮกันได้เต็มที่)

เสร็จแล้วก็พาไปกินข้าวเที่ยง ...เค้าบอกว่าพาไปกินที่ตมปา
"ตมปาคืออะไรคะ"
"เป็นอักษรโบราณของจีน"
"แล้วที่นี่เป็นเมืองโบราณหรอ"
"น่าจะใช่นะ"
.....แต่แบบว่าดูแล้วไม่เห็นเป็นเมืองเลย ไม่รู้ว่าคืออะไร ..คงเป็นที่พักกินข้าวของนักท่องเที่ยวธรรมดามั้ง


ตัวอักษรแบบตมปา .... วาดรูปสื่อความหมาย

เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวที่เทือกเขาหิมะมังกรหยกกัน ...วันนี้มีฝนตก ฟ้าไม่เปิด เลยขลุกขลักเล็กน้อย (ตอนไปจิ่วไจ้โกวก็เงี้ย วันที่ต้องขึ้นกระเช้าไปง้อไบ๊ก็ฝนตก) อันดับแรกเราต้องไปดูโชว์พื้นเมืองก่อน ...เป้นโชว์กลางแจ้งซะด้ววยยย ถึงฝนตกเค้าก็มีเสื้อฝนให้เสร็จสรรพ ... พอใส่เข้าไปแล้วนั่งบนตอที่เค้าจัดไว้ก็ดูละม้ายนกเพนกวินออกไข่ยังไงยังงั้น


สถานที่โชว์กว้างมาก
คนดูก็นั่งเป็นนกกกไข่ไป~~~~

เสร็จแล้วก็นั่งรถไปขึ้นกระเช้า เพื่อจะไปดู ทุ่งหญ้าหวินซานผิง..โปรแกรมบรรยายไว้ว่าเป็นทุ่งหญ้่ากว้างที่ด้านหลังมีภูเขาหิมะปกคลุมตลอดปี ความงดงามไม่แพ้สวิสฯ ฯลฯ แถมตามโปรแกรมเราจะไม่ขึ้นกระเช้าไปถึงยอด เพราะจะได้เดินชมธรรมชาติตามทางไปด้วย แต่ว่าฝนดันตก พอขึ้นไปกลางทางก็ไม่มีใครเดินต่อละ (เราเดินต่อไปหน่อย แต่ดูแล้วไม่มีอะไร แถมฟ้าปิดอีก คงไม่มีที่ให้ถ่ายรูปก็เลยเดินกลับ)


นั่งรถไปขึ้นกระเช้ากลางสายฝน

โปรแกรมคืนนี้ก็เป็นสถานที่ใฝ่ฝันอีกที่ ...อยากมาลี่เจียง เพราะอยากดูเมืองเก่า ....แต่ที่แอบขัดใจเพราะเค้่าพามาตอนกลางคืน (พี่เค้าบอกว่ามาที่นี่ต้องมากลางคืน ไม่มีใครมากลางวันหรอก... แต่เราเห็นรูปตอนกลางวันนี่น่า จะไม่มีใครมาได้ไง)

ที่นี่คือ "ต้าเอี่ยนเจิ้น" เป็นเมืองโบราณตั้งแต่ราชวงศ์หยวน ซึ่งตอนนี้กลายสภาพเป็นแหล่งชอปปิ้งไปเรียบร้อย (เค้าเรียกว่าตลาดสี่เหลี่ยม)... เราอยากมาดูสถาปัตยกรรมที่นี่อ่ะ แบบว่าแอบรู้สึกว่าผังเมืองที่นี่น่าสนใจ แถมมีการขุดร่องน้ำเป็นที่บอกทางได้อีก (ไกด์บอกว่าถ้าหลงทาง ให้เดินตามน้ำ(หรือทวนน้ำหว่า??)มาเรื่อยๆ เดี๋ยวจะเจอทางออกเอง )

อ้อ ลืมบอกไป ที่นี่เป็นมรดกโลกด้วยนะ (^^)


ร้านค้าในย่านต้าเอียนเจิ้น


คูน้ำ และพื้นให้บรรยากาศความเป็นเมืองโบราณดีจัง~~
(ลืมบอกว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ในที่ลุ่มระหว่างเขาซีอาน และเขาช้างนอน มีแม่น้ำล้อมรอบคล้ายหินฝานหมึกของจีน)

หมดโปรแกรมวันแรก .... วันรุ่งขึ้นประเดิมด้วยการไปนวดเท้า + แมะ (ตามอัธยาศัย)


เอาถังยามาตั้งให้แช่เท้า (ร้อนพอควร)
ซักพักก็จะมีพนักงานมานวดให้ทุกคน ...สบาย~~~~

จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่โค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียงกันเล้ย~~~
เค้าบอกว่าถ้าไม่มีโค้งแม่้น้ำอันนี้ ก็จะไม่มีแม่น้ำแยงซีเกียงอันยิ่งใหญ่ของจีน .. ต้นน้ำมาจากที่ราบสูงธิเบต เข้ามณฑลยูนนาน แล้วมาตีโค้งแรกไปทางทิศตะวัีนออกที่นี่ (แต่ไปเมืองไหนนี่ไม่รู้) ...จะว่าไปเค้าก็สรรหาที่เที่ยวดีนะ ..บ้านเราไม่เห็นมีโค้งแรกของแม่น้ำเจ้าพระยามั่งเลย


จุดชมวิวก่อนถึงที่หมาย
(วันนี้แม่ลูกแต่งตัว match กันโดยมิได้ตั้งใจ)


โค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง (ฉางเจียงตี้ยี่วาน)

จากนั้นไปหมู่บ้านสือกู่ (หมู่บ้านกองหิน) ที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆในชนบทตรงจุดที่เป็นโค้งแรกฯ (จริงๆเหมือนมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับกอง แต่แอบจำไม่ได้)
ปล. เหมือนแปลตามชื่อมันต้องแปลว่า"กลองหิน" แต่ไกด์บอกว่าเค้าสะกดว่า "กอง" ไม่รู้ทำไม


หมู่บ้านสือกู่ + กองหิน

จากนั้นก็ไปชมช่องแคบเสือกระโดดกัน ตรงนี้ถือว่าเป็นช่องแคบที่แคบที่สุดของแม่น้ำแยงซีเกียงทีเดียว เค้าว่ากันว่าเมื่อก่อนเสือจะกระโดดผ่านช่องแคบนี้ได้ เพราะตรงกลางแม่น้ำจะมีหินสามเหลี่ยม เป็นจุดพักอยู่

มีเรื่องเล่าว่าเมื่อก่อนมีพี่น้อง 3 คน คนนึงคือเทือกเขาฝั่งขวาของแม่น้ำแยงซีเกียง (คาดว่าเป็นเทือกเขามังกรหยก) อีกคนคือเทืิอกเขาฝั่งซ้าย (จำขื่อไม่ได้) แล้วึนสุดท้องเป็นน้องสาว คือแม่น้ำแยงซีเกียง เมื่อก่อนพี่ชาย 2 คนสูงเท่ากัน (เทือกเขาสูงเท่ากัน) แต่วันนึงไม่รู้น้องชายไปทำอะไรให้พี่โกรธ เลยโดนพี่ตัดหัว ทำให้เทืิอกเขาฝั่งซ้ายจะเตี้ยกว่าฝั่งขวาเล็กน้อย มาจนถึงทุกวันนี้ (เชื่อละว่าทุกที่ในเมืองจีนจะมีตำนาน...เหอๆๆ)

พอรถจอด ไกด์ก็ให้พักผ่อนตามอัธยาศัย แต่ว่าใครอยากลงไปดูหินสามเหลี่ยมใกล้ๆก็สามารถลงไปได้ แต่เตือนไว้ก่อนว่าอากาศที่นี่บาง จะเหนื่อยง่าย ถ้าไม่แข็งแรง ก็อย่าลงไปจะดีกว่า หรือว้่าถ้าอยากลงไปจริงๆก็มีลูกหาบนั่งเกี้ยวลงไปได้

ดูแล้วไม่ไกลมาก ..ลองเดินลงไปดูหน่อยจะเป็นไร (ผู้ใหญ่ส่วนมากไม่ลง) ....ขาลงไม่เท่าไหร่ ..ขาขึ้นนี่แทบตาย ...ทำเอาเกือบจะเป็นลม พอขึ้นมาถึงฝั่งแ้ล้วแแวบไปเห็นมันเผา แอบอยากกินขึ้นมาตะหงิดๆๆ แต่สภาพร่างกายตอนนั้นพูดไม่ออกอย่างแรง ...เข้าใจแล้วว่าเหนื่อยจนจะเป็นลมเป็นยังไง (หน้ามืดมากๆๆจริงๆนะ หายใจไม่ทัน ต้องนั่งเฉยๆ พูดไม่ได้อยู่หลายนาที) <<< ไม่เจียมตัวเองจริงๆๆ

ปล. พี่ไกด์ขึ้นมาช้ากว่าเราอีก ...แว่วมาว่าเห็นนอนแผ่อยู่ตรงจุดที่นั่งพักได้ 555


ถ้าสังเกต รูปซ้ายบนจะมีรูปปั้นเสืออยู่ มันจะกระโจนลงมาตามแนวที่วาดไว้
(อันนี้ขีดเองนะ ไม่รู้ว่าจริงๆมันกระโดดทิศไหนหรอก)
ซ้่ายล่างเป็นหินสามเหลี่ยมที่ให้ดูเทียบกับขนาดของคน (ใหญ่ใช่ย่อย)
ขวาบน คือเกี้ยวที่พร้อมแบกลงไปส่ง และร้านขายมันเผา (เฮือกสุดท้ายที่ถ่ายรูปละ จากนี้ไปจะนั่งเฉยๆ)
ขวาล่างคือวิวแม่น้ำ ที่ถ่ายตอนอยู่ข้างล่าง

จบจากโปรแกรมนี้ ก็เดินทางเข้าสู่แชงกรีลากันเล้ยยยยย

จริงๆคำว่าแชงกรีล่า (Shangrila) ไม่ใช่ชื่อเมืองในจีน แต่เป็นคำที่อยู่ในนิยายเรื่อง The Lost Horizon แล้วทำให้มีการค้นหากันว่าดินแดนตรงไหนที่เรียกกัีนว่า แชงกรีล่า กันแน่ ภายหลังจีนได้ให้ข้อสรุปให้ถือดินแดนรอยต่อระหว่างธิเบต-ยูนาน-เสฉวนเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียกว่า แชงกรีล่า (เซียงเก่อหลี่ล่า) โดยเมืองที่ว่านี้ก็คือ เมืองจงเตี้ยนในมณฑลยูนานนั่นเอง

ปล. ทั้งนี้ ยังมีคนคิดว่ามีแชงกรีลาอีกที่นึงอยู่ทางตะวันตกเแียงใต้ของเสฉวน แต่ที่น่นยังไม่มีการประชาสัมพันธ์มากเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่

จริงๆเราข้าเขตที่เป็นแชงกรีล่าตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว แต่ต้องนั่งรถเข้าที่พักในตัวเมือง ทำให้วันนี้ไม่ได้เที่ยวเพิ่ม ... ระหว่างนั่งรถนี่จะเห็นภาพการเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้่าตลอดทาง ..ลองจินตนานการถึงพวกมองโกล ...ได้อรมรณืประมาณนั้นเลย


บรรยากาศระหว่างทาง
รูปเล็กเป็นน้ำโสมที่ต้องกินทุกเช้า เพราะว่าอากาศบาง
(ถ้ามั่นใจว่าแข็งแรงไม่ต้องก็ได้ แต่ขนาดกิน ยังมีคนเป็นลมเลย)

เข้าที่พักก็เย็นมากแล้ว คืนนี้ก็พักผ่อน + ชอปปิ้งตามอัธยาศัยก่อน


โรงแรมที่พัก + ย่านชอปปิ้ง (เดินออกมาได้ )

เช้าววันนี้ เริ่มจากการไปวัดลามะซางจ้างหลิง ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี โดยมีโครงสร้างตามแบบวังโปตาลาของธิเบต (ข้างในวัดถ่ายรูปไม่ได้ เลยไม่มีบรรยากาศในวัดมาให้ดู)

ที่นี่เค้าื่เชื่อว่า คนที่จะเป็นทะไลลามะ นี่มีคนเดียว แปลว่าถ้าองค์เดิมตายไปแล้ว จะกลับมาเกิดเพื่อเป็นทะไลลามะเรื่อยๆ ...วิธีการของเค้าคือ ตอนที่องค์เดิมจะตาย เค้าจะบอก Hint อะไรบางอย่าง แล้วพอตายไป คณะสงฆ์ต้องไปสืบมา แล้วเอาเด็กมาทำการทดสอบ โดยให้หยิบเครื่องใช้ขององค์ก่อนให้ถูกต้อง (เอ..อย่างนี้แปลว่ามันต้องมีช่วงที่ไม่มีทะไลลามะเป็นพักๆน่ะสิ ?? )

ปล. เหมือนไกด์เล่าว่า ในธิเบตนี่จะนับถือลามะ และอีกองค์นึงชื่อว่าอะไรจำไม่ได้แฮะ ประมาณจุมปา จุมปาบาล อะไรเนี่ยและ (บอกทำไม??)


วัดซางจ้่างหลิง

จากนั้นก็ไปดูบ้านเศรษฐีของธิเบต (สรรหาที่เที่ยวไปมะ ?? ) เ้ค้าบอกว่าจะดูว่ารวยแค่ไหนให้ดูจากเสา ..เสายิ่งใหญ่แปลว่ายิ่งรวยจ้าาา


โอบเสาไม่รอบแบบนี้ แปลว่ารวยจริง (^^)


แอบจำไม่ได้ว่าที่ไหน คาดว่าเป็นจุดชมวิวระหว่างเส้นทางธรรมดา
(ระหว่างทางนี้ขึ้นภูเขาเยอะมาก ถึงมากที่สุด เลยมีวิวสวยๆให้ดูเป็นระยะๆ)

เที่ยงวันนี้มากินข้างที่หมู่บ้านหมิงหย่ง ที่เป็นหมู่บ้านธิเบตโบราณ (แต่ตอนนี้ไม่โบราณแล้ว) อยู่ริมแน่น้ำีที่ละลายจากธารนำแข็งจากภูเขาหิมะเหมยลี

กินข้าวเสร็จพี่ไกด์ก็ปล่อยให้ Shopping กันกระจาย (ของที่นี่จัดว่าถูกกว่าหลายๆที่ แต่ว่าต้องต่อเก่งๆนะ) ลืมบอกไปว่าคนที่นี่พูดอังกฤษไม่ได้เลย ใครพูดจีนไม่เป็นก็เตรียมภาษามือไปดีๆล่ะ ~~~


บรรยากาศหมู่บ้านและการ Shopping (เมามันส์ไปมั๊ยแม่???)


สินค้าหลากหลายให้เลือกชม

เสร็จจาก Shopping ก็มาจุดชมวิวอีกที่นึง ตรงนี้เราจะมองเห็นยอดเขาของภูเขาหิมะไป๋หม่างได้ (ภูเขานี้น่าจะสูงประมาณ 4500 ม. จากระดับน้ำทะเล) แต่ว่ามันมีเมฆบังตลอด เลยมองไม่เห็นยอดซักที เราก็ตั้งหน้าตั้งตารอต่อไป กะว่าเดี๋ยวซักพัก ฟ้าจะเิปิด (คนจีนถือว่า ถ้าเห็นยอดเขาจะถือว่าโชคดี ก้เลยตั้งใจรอกันหน่อย)


แถวที่ชมวิวรอดูภูเขาหิมะไป่หม่าง

วันต่อมา เดินทางเข้าเมืองเต๋อซิน (เทือกเขาธิเบตฝั่งจีน) เมืองนี้เป็นเมืองในหุบเขา ตอนเดินทางจะเห็นได้ชัดมากๆ ว่าต้องขึ้นเขา แล้วก็ลงไปหาเมือง

เริ่มที่วัดตงจุ๊เฟยไหล ซึ่งเป็นวัดธิเบตนิกายหมวกเหลืองที่สำคัญที่สุดของยูนาน ตัววัดตั้งอยู่หน้าหุบเขา วิวสวยมากๆๆ (วัดนี้ไม่ใหญ่มาก แต่ทำเลที่ตั้งสวยสุดๆ)


บริเวณวัดมีแค่นี้เอง (ด้านล่างซ้ายคือกุฎิลามะ)


มาวัดธิเบตต้องมีระฆัง หรือไม่ก็ธง
วัดนี้มีระฆังรอบวัดเลย ...เค้าให้เดินวน 3 รอบ
แ้ล้วอย่าลืมท่องว่า "โอม มา นี เป เม โฮ" ไปด้วยนะ


ระหว่างทางเดินลงวัด (บรรยากาศสวยมาก)

โปรแกรมต่อไปเราจะไปขี่ม้าขึ้นเขากัน แต่ระหว่างทางเดินไป ยอดภูเขาหิมะไป๋หม่างก็โผล่ออกมาให้เห็น (ไกด์กรี๊ดออกมาเลย ...บอกว่านานๆจะได้เห็นที) ก็เลยไปแวะที่จุดชมวิวอีกครั้ง (อ้อมไปเล็กน้อย) แต่ว่าพอไปถึง เมฆน้อยก็ลอยมาบังซะแล้ววว แต่ไม่หยุดความพยายาม เราก็เลยรอ ร๊อ รอ ให้เค้าโผล่มาอีกรอบ


ระหว่างรอ เมฆน้อยก็ไม่ยอมลอยไปซะที
สุดท้่ายเลยตัดสินใจกลับขึ้นรถ


พอขึ้นรถได้ไม่ทันไร ยอดเขา็้เผยออกมาให้เห็น
(นั่งจ้องอยู่ตลอด แต่รถวิ่งโค้งไปโค้งมา กว่าจะจับภาพได้ ก็เหลือแค่เนี้ยยย)
ปล. ตอนแรกสุดก่อนที่เราจะไปแวะเนี่ย โผล่ออกมาเยอะมาก แบบว่าเห็นทั้งแท่งเลย เสียดายมากที่เก็บภาพไม่ทัน

เอาล่ะ ...มาโปรแกรมไฮไลท์ของวันนี้แล้ววว ไปขี่ม้าขึ้นเขากันเถอะ ~~~~
เที่ยงนี้มากินที่หมู่บ้านหมิงหย่งเหมือนเดิม ..กินเสร็จก็สวมเสื้อทหารทับ แล้วเค้าก็จะแจกเบอร์ แล้วไปรับม้าตามเบอร์ที่แจก (คนเยอะกว่าที่คิดมากกก)


แต่วตัวเสร็จก็เดินไปรับม้ากัน


ม้า่น้อยก็จะเดินไปตามทางเรื่อยๆ (มีคนจูงให้)

ไกด์บอกว่าให้ซื้อขนมไปให้คนจูงม้าด้วย เพราะเค้าจะได้จูงให้เราดีๆ แต่เอาจริงๆซักพักคนจูงก็จะปล่อยให้ม้ามันเดินเองแล้ว (ตอนแรกแอบเสียว แต่ว่าโชคดีไม่ม้าน่ารัก ไม่ค่อยพยศ ก็เลยโอเค)

ทางที่เดินที่มันเป็นเขา แต่ม้ามันจะชอบเดินเลียบเหว ตอนแรกเสียวมาก ไม่รู้ทำไมม้าต้องเดินแบบนั้น แต่ตอนหลังเค้ามาอธิบายให้ฟังว่าต้องเดินอย่างนั้น เพราะเวาม้าตกใจเค้าจะเบี่ยงเข้าข้างใน แต่ถ้าม้าเดินข้างใน เวาตกใจแล้วเค้าจะเบี่ยงออกนอก อันตรายกว่า

อีกอย่าง ม้ามันจะเดินไปอึไปตลอดทาง ถ้าม้าเราเดินไปใกล้ๆตูดม้า้างหน้าก็พึงระวังไว้ให้ดี เหอๆๆๆ

เดินไปซักระยะใหญ่ๆ ก็ถึงที่ให้ม้าพัก ...ตรงนั้นจะมีวัดโอรสสวรรค์ (วัดเทียนจื่อ) ให้เข้าไปไหว้ แล้วก็ถ้าใครอยากเดินไปใกล้ๆยอดภูเขาหิมะเหมยลี่ ก็เดินต่อไปกันเองได้
เค้าบอกว่าบริเวณนี้จะเห็นยอดเขาหิมะ 13 ยอด เลยเรียกบริเวณนี้ว่าเทือกเขาโอรสสวรรค์ด้วย
(จะบอกว่าแทบไม่รู้เลยว่าวัดนี้อยู่ในโปรแกรมเที่ยว...มารู้เอาตอนกลับมาอ่านโปรแกรมทัวร์เขียน Blog เนี่ยแหละ)


หยุดให้ม้าพักก่อน เดี๋ยวเราเดินขึ้นไปต่อกันเอง


คนที่ไม่ไปก็นั่งรอแถวๆวัดได้จ้าาา


คุณแม่ยังไหว ก็เลยเดินขึ้นมาจนสุดเลย
(เจ๋งมากแม่..ทางไม่ใช่ใกล้นะนั่น)

ด้านหลังเป็นธารน้ำแข็งหมิงหย่ง และก็ภูเขาหิมะ เหมยลี่ ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 6740 เมตร


รวมพลคนที่เดินขึ้นมาก้เท่านี้แหละ
อ้อ ..จริงๆมีอ.นูญ กะภรรยาอีก ตามมาทีหลัง (2คนนี้แข็งแรงมาก แก่กว่าแม่อีก น่าจะเกือบๆ 80 ได้ละ แต่ว่าลุยทุกที่ ..ตอนลงไปช่องแคบเสือกระโดด ภรรยาแกก็ลงไปด้วย...แข็งแรงมาก!!!!)


ได้เวลาก้กลับลงมา ... คนลงมาก่อนก็ถ่ายรูปตามอัธยาศัย
รูปซ้าย คือพยายามถ่ายม้ากะคนจูงจากบนหลังม้า
รูปขวาบน คือคนจูงม้าของเรา
ขวาล่างคือกลุ่มสุดท้ายที่ลงมา (คนถือไม้เท้าคืออาจารย์นูญ แต่ว่า ญ ทางซ้ายมือนี่คือหัวหน้าไกด์เราเอง เหอๆๆ)

เสร็จแล้วก็หมดแรงไปตามๆกัน กลับโรงแรมพักผ่อนก่อนละกันเน้อ (คืนนี้เรานอนกันที่เมืองเต๋อซินนะ) ~~~~

ปล. ในโปรแกรมบอกว่ามีเที่ยวแม่น้ำหลันชาง ที่ไหลไปเป็นแม่น้ำโขงของไทยด้วย แต่จำได้ว่ามันแ่ค่ไปแวะเข้าห้องน้ำแถวนั้น แล้วไกด์บอกว่าแมน้ำข้างๆห้องน้ำเนี่ยแหละที่ไหลเข้าไทย

วันนี้ก็เดินทางออกจากเต๋อวิน กลับเข้าจงเตี้ยน (เดินทางนานมากกกก แถมไม่มีห้องน้ำอีก ใครทนไม่ไหวก็ต้องยอมเข้าทุ่งละนะ ^^) แวะจุดชมวิวเป็นระยะๆ อากาศค่อนข้างเย็น สามารถเห็นแม่คะนิ้งได้เป็นหย่อมๆ


ของจริงตรงนี้สวยมากนะ แต่ถ่ายรูปออกมาแล้วไม่ค่อยได้วิวกว้่าง

ช่วงบ่ายๆก้เดินทางมาถึงทะเลสาปน่าพาไพ่ ที่อาณาเขตประมาณ 5930 เอเคอร์ อยู่สูงจากน้ำทะเล 3260 เมตร ปกติเวลาหน้าร้อน น้ำแข็งจะละลายลงมา ทำให้ตรงนี้กลายเป็นทะเลสาป แต่ว่าพอหนาหนาวน้ำแห้งไป ตรงนี้จะกลายเป็นทุ่งหญ้าแทน (สามารถขี่ม้าข้ามผ่านได้)


ฟ้าสวยมาก

ตอนเย็นกลับมาถึงจงเตี้ยน ก็เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เมืองจงเตี้ยนซะหน่อย ที่นี่ก็รวบรวมของโบราณไว้เหมือนพิพิธภัณฑ์ทั่วไปแหละ ไม่มีไรมาก


รูปบนนี่ ฉากหลังเป็นภาพวาดนะ
ส่วนรูปล่างนี่เป็นอักษรตมปาที่เค้าเรียนกัน (ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน)


นึกสนุกทำท่าเลียนแบบรูปในพิพิธภัณฑ์
(อ่านไม่ออกว่าในรูปต้นแบบเค้าหมายถึงอะไรรึเปล่า ??)

และแล้วก็สิ้นสุดการเดินทางในแชงกรีล่าแล้ว~~~
แต่ว่าโปรแกรมเรายังไม่หมด พรุ่วนี้จะไปเที่ยวคุนหมิงอีกวันก่อนกลับกทม.

พอลงจากเครื่องบินปุ๊บก็เที่ยวเลย ...ตามเดิมเราต้องไปเที่ยวเขาซีซาน แต่ลูกทัวร์ไม่อยากไปภูเขาแล้ว ไกด์ใจดีเลยเปลี่ยนให้ไปตำหนักทองจินเตี้ยน ซึ่งเดิมเคยเป็นที่พักของอู๋ซานกุ้ย ทั้งฝาผนังและหลังคาสร้างด้วยทอง

อู๋ซานกุ้ยเดิมทีให้มาอยู่ที่นี่เพื่อปกครองด่านซานไห่กวาน ที่คอยป้องกันผู้รุกรานจากทางเหนือ แต่ต่อมากล่ยเป็นว่าทำให้แมนจูเขามายังเมืองจีนได้ซะนี่ ~~~

ในตำหนักจะมีรูปเล่าเรื่องราวของอู๋ซานกุ้ยและแม่นางเฉินหยวนหยวน ตั้งแต่รักกันยันตาย คร่าวๆที่จำได้ก็คือว่า อู๋ซานกุ้ยนี่เดิมเป็นขุนนางของจีน (ซึ่งตอนนั้นจีนเองมีกบฎชาวนาเป็นศึกภายใน และถูกแมนจูรุกรานเป็นศึกภายนอก ) ต่อมาทางกบฎชาวนากบฎสำเร็จและจับแม่นางเฉินคนรักไปเป็นนางบำเรอ อู๋เลยพยายามหาทางช่วย โดยไปร่วมมือกับแมนจูเสนอว่าถ้าเปิดประตูเมืองให้ แล้วให้แมนจูช่วยพาตัวแม่นางเฉินกลับมาให้ พอช่วยพาแม่นางเฉินกลับมาได้จะออกไป อู๋ซานกุ้ยก็เลยเปิดประตูเมืองให้ แต่กลายเป็นว่าพอช่วยเสร็จแล้ว แมนจูไม่ยอมออกจากเมือง แถมสุดท้ายยังได้เข้ามาปกครองเมืองจีนซะอีก เค้าก็เลยถูกประนามว่าขายชาติไปโดยปริยาย~~~


ที่ท่องเที่ยวในตำหนักทอง ฯ


ออกมานอกตัวปราสาทก็มีสวนหย่อมสวยๆให้เก็บภาพเต็มไปหมด

หมดแล้ว~~~~ โปรแกรม 6 วันคราวนี้ถ่ายรูปเต็มอิ่มไปเลย

ปล. งวดนี้เอาน้องนิค D-80 ของแมกซ์มาใช้ กดซะเพลิน แต่แอบถ่ายไม่ค่อยเป็น หลุดโฟกัสกระจาย เหอๆๆๆ (แต่ภาพไม่เห่ยมากใช่มะ ?? ) คราวหน้าฝึกฝนฝีมือใหม่ละกันนะ





Create Date : 13 เมษายน 2551
Last Update : 23 เมษายน 2551 14:21:57 น. 4 comments
Counter : 783 Pageviews.

 
อยากไปบ้างจังเลย สุขสันต์วันสงกรานต์คะ


โดย: สายฝน (i am saifon ) วันที่: 13 เมษายน 2551 เวลา:21:55:03 น.  

 
เพิ่งได้ดูรูปนะเนี่ย

คุณแม่ผมสีได้ใจมากๆ !


โดย: ไอซ์ที วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:9:51:45 น.  

 
ไปกับบริษัททัวร์ชื่ออะไรคะ บอกหน่อย ขอเบอรืด้วยคะ


โดย: นัท IP: 58.9.201.166 วันที่: 2 สิงหาคม 2551 เวลา:17:02:44 น.  

 
บ. ทัวร์ชื่อนอร์ทไทยทัวร์ค่ะ แต่ขอสารภาพว่าไม่มีเบอร์ เพราะว่าเพื่อนแม่จัดการให้หมดเลยค่ะ


โดย: เด็กข้างหน้าต่าง วันที่: 9 สิงหาคม 2551 เวลา:22:52:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เด็กข้างหน้าต่าง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์ภาพถ่ายทุกภาพใน blog นะคะ

Friends' blogs
[Add เด็กข้างหน้าต่าง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.