Group Blog
 
 
มกราคม 2555
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
12 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
หนึ่งความฝัน พันราตรี {บทที่ 2}

บทที่ 2


บทที่ 2

ภายนอกแหล่งกบดานอันปลอดภัยที่มุกมณียึดถือ หรือก็คือนอกห้องพักของอวี้ซู่ ให้บรรยากาศที่เจนตาแต่ไม่คุ้นเคย ทั้งแผ่นอิฐที่ปูลาด หรือต้นไม้ที่ปลูกประดับเป็นสวนระหว่างทาง สะท้อนถึงการดูแลเอาใจใส่ที่น่าจะต้องอาศัยอำนาจเงินทองมากพอสมควรเลยทีเดียว

มุกมณีพอจะเคยเห็นของพวกนี้มาบ้าง แต่น่าเสียดายที่ปราศจากความรู้พอจะแยกแยะรายละเอียดหรือระบุอะไรลงไปให้ชัดเจนกว่านี้ได้

คฤหาสน์หรือที่น่าจะเรียกอีกอย่างได้ว่าหมู่ตึกของแม่ทัพเว่ย ชวนให้มุกมณีนึกถึงบรรยากาศในหนังจีนที่เคยดูในวัยเด็กและมอมเมาให้หล่อนติดขนาดยอมนั่งดูแบบซับภาษาอังกฤษจนถึงทุกวันนี้

ชั่ววูบที่หล่อนนึกอยากเหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่ก ทำตนให้ตื่นตาตื่นใจสมกับการได้มาเห็นบรรยากาศที่อาจเรียกว่าเป็นของจริงเช่นนี้

แต่แค่เหลือบสายตาไป ไม่ต้องถึงขั้นซ้ายขวา เพียงสายตาสบกับหลังเหยียดตรงของสาวใช้ที่เดินนำหน้าอย่างเป็นระเบียบ และเลยไปอีกไม่ไกล คือร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพเว่ยที่ยืนตระหง่านใกล้รถม้า คอของมุกมณีก็แข็งเกร็งตั้งตรงจนขยับไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว

หล่อนจะทำท่าทางอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ภัยได้มาถึงตัวแน่....แค่รัศมีเค้าไอของท่านแม่ทัพที่คุกรุ่นในอากาศ ชวนให้นึกถึงตอนเพิ่งฟื้นมาใหม่ๆเมื่อไม่นานนี้ ก็ทำให้หล่อนย่นระย่อจนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองเต็มทีแล้ว

นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอวี้ซู่ล่ะก็.....

หญิงสาวไม่มีเวลานึกอะไรในใจนานกว่านั้น เพราะขบวนแถวนำทางรับส่งที่อยากขนานนามกลายๆว่าขบวนคุมตัว พาหล่อนมาหยุดอยู่หน้ารถม้าคันเล็ก จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นรถม้าที่มารับหลานสาวของพระราชินีเข้าไปพบป้าในวังหลวงของแคว้น

“เป็นอะไรไป อวี้ซู่” ท่านแม่ทัพเอ่ยเสียงหนัก เมื่อเห็นธิดาคนเดียวหยุดยืนเบื้องหน้ารถม้านิ่งงัน

มุกมณีเกือบจะหันสายตาที่ไม่ทันซ่อนประกายงุนงงไปจับจ้องอีกฝ่ายอยู่หรอก แต่ท่านแม่ทัพเว่ยกลับชิงเอ่ยต่อเสียก่อน ว่า

“ใต้ฝ่าพระบาททรงเป็นห่วงเจ้ามาก” สุ้มเสียงนั้นอ่อนโยนลงเล็กน้อย จนคนฟังรู้สึกได้ “เพียงแค่อยากแน่พระทัยเท่านั้น ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร จงรีบขึ้นไปเถิด”

“เจ้าค่ะ”

คือคำตอบเดียวที่มุกมณีนึกออกในเวลานั้น อวี้ซู่ก้มหน้าตอบขณะค่อยๆเดินย่างเท้าขึ้นบนรถ แต่ชั่วพริบตาก่อนที่ม่านจะปิดลง สายตาของมุกมณียังทันเห็นแววแปลกใจครามครันในดวงตาที่มองมาของผู้มีศักดิ์เป็นบิดาของเด็กหญิง

ม่านปิดฉับลง กั้นเธอไว้จากทุกคน ให้มุกมณีคลายนิ้วที่เพิ่งรู้สึกว่ากำเข้าหากันแน่น ขณะที่รถม้าค่อยๆเคลื่อนที่ไปช้าๆ อย่างนุ่มนวล

หล่อนต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกถึงมุกมณีในตัวอวี้ซู่ !





ในตอนนั้น หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาพร้อมอาเจียนออกไปจนเกือบหมดเรี่ยวแรงแล้ว มุกมณีก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าหล่อนกำลังฝันอยู่

เพราะหากเป็นความฝัน หล่อนจะเอาอะไรมาอธิบายหัวใจที่เต้นรัวเพราะความเหนื่อยหอบ รสขมฝาดที่แล่นผ่านลำคอและยังคละคลุ้งอยู่ในปากพวกนั้นเล่า ?

หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจ ปรับท่วงทำนองที่ระรัวในอกให้เป็นปกติ ขณะที่สาวน้อยหน้าตาหมดจดข้างตัวทำหน้าตาตื่น

“คุณหนู” หล่อนเรียกด้วยภาษาที่มุกมณีไม่คุ้น แต่กลับเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี “อดทนอีกครู่นะเจ้าคะ ท่านหมอกำลังจะมาแล้ว”

หล่อนไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบ และไม่แน่ใจว่าตนเองจะตอบได้ จึงเพียงพยักหน้า

อีกครู่ของเด็กสาวไม่นานจริงๆ เพราะหญิงสาวเพิ่งจะรู้สึกว่าหล่อนหลับตาพักไปได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ก็แว่วเสียงรายงานแว่วจากหน้าประตู พร้อมที่สาวน้อยประจำหน้าเตียงปราดเข้ามาจัดผ้าห่มคลุมตัวให้ และกระซิบ

“คุณหนูเจ้าคะ ท่านหมอเกอมาแล้วเจ้าค่ะ”

แม้บรรยากาศโดยรอบจะไม่ใช่สิ่งที่รู้จัก แต่มุกมณีมีความเชื่อว่ามารยาทเป็นสิ่งสามัญที่ปฏิบัติได้โดยไม่เสียหาย อย่าว่าแต่ หล่อนไม่มีทางไว้ใจหมอในโลกใหม่จนยอมหลับตาให้ตรวจเด็ดขาด

และแม้จะยังเหน็ดเหนื่อย แต่สายตาของเด็กหญิงยังคมชัด จนมุกมณีอดแปลกใจไมได้ เมื่อเห็น “ท่านหมอ” ที่เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน

หญิงสาวยอมรับว่าขื่อคานไม้แบบโบราณ กับเครื่องแต่งตัวกรุยกรายพร้อมคำพูดคำจาเว้นจังหวะจะโคนเรียงประโยคเช่นที่ได้ยิน ทำให้หล่อนไม่มีจินตภาพเกี่ยวกับหมอเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อกาวน์สีขาวแม้สักนิด

ดังนั้น เมื่อชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมดูเป็นสุภาพชนก้าวเข้ามาในห้องด้วยความเร่งรีบทว่าสำรวม หญิงสาวจึงไม่อาจหักห้ามความแปลกใจบนสีหน้าได้ ทั้งไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องกลบเกลื่อนด้วย

หมอหนุ่มหลบตาลงต่ำ และเอ่ยคำคารวะเด็กหญิงที่ดูอย่างไรก็อ่อนกว่าเขาเป็นสิบปีเบาๆ เปิดโอกาสให้มุกมณีได้ใช้สายตาสอดส่องมองขึ้นมองลงอย่างไม่ต้องคำนึงถึงมารยาทมากนัก

นอกจากรูปลักษณ์ที่ดูหนุ่มแน่นแข็งแรงอย่างถึงที่สุดแล้ว หมอเกอก็ไม่ได้มีอะไรขัดหูขัดตาอีก เขาสะพายกระเป๋าไม้มาด้วยหนึ่งใบ ชวนให้หล่อนนึกถึงกระเป๋าปฐมพยาบาล แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังรู้สึกขัดแยกแปลกแปร่งอยู่ดี

หากหมอเกอได้เอ่ยทำลายความคิดหล่อนลงเสียก่อนว่า

“ขอเสียมารยาทด้วย”

เป็นคำพูดง่ายๆไม่บ่งบอกอย่างอื่น แต่ท่าทางคล้ายรอคอยบางสิ่งบางอย่าง

หญิงสาวในร่างเด็กหญิงไม่มีทางเลือกอื่น เจียเอ๋อร์ก็ถอยกลับไปยืนอยู่ท้ายเตียงเสียแล้ว แต่ถึงอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ มุกมณีก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ประโยชน์อะไรอยู่ดี

หล่อนยื่นแขกไปให้อีกฝ่ายเงียบๆ

ก่อนลอบระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อหมอเกอพยักหน้าและวางปลายนิ้วแตะชีพจรเด็กหญิงเงียบๆ

ใช้เวลาไม่ถึงอึดใจด้วยซ้ำ หมอเกอก็ถอนนิ้วออก พลางเอ่ยอย่างถนอมเสียง แต่แฝงกังวานพิกลปนอยู่เล็กน้อย

“คุณหนูยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก ‘หัวใจ’ ไม่แข็งแรงอย่างทุกที คงต้องระมัดระวังและกินยาสักสองหม้อ”
ในตอนนั้น สมองมุกมณียังแล่นได้ไม่เร็วนัก แต่แค่คำเอ่ยนี้ของท่านหมอก็ทำเอาหล่อนแทบสะดุ้งเฮือกเสียแล้ว
ความรู้สึกที่เหมือนบางอย่างถูกควักออกไปจากทรวงอกด้านซ้ายนั่น ...ติดตรึงมากกว่าที่หล่อนคาดและเจ็บปวดยิ่งกว่าที่คิดฝัน

ทุกอย่างอาจเริ่มจากตอนนั้น




คิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็เอนร่างพิงหมอนที่ถูกจัดวางในรถม้า...ซึ่งเอาเข้าจริงเมื่ออยู่ในร่างของอวี้ซู่ ก็จัดว่ากว้างขวางจนพอให้หล่อนทิ้งตัวลงนอนได้อย่างสบาย

ชีวิตเป็นเพียงคล้ายฝันตื่นหนึ่ง

คนฝันว่าเป็นผีเสื้อ ล่องลอยในภาพฝันไร้คน แต่ยามลืมตาตื่นกลับคืนเป็นคน ใช่ผีเสื้อ หากยังมีคำถามตามมา ที่แท้คนฝันเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อฝันเป็นคน ?

คำถามที่แต่ก่อนหล่อนฟังแล้วผ่านเลย เพราะเป็นเพียงแต่เรื่องบอกเล่าในวิชาปรัชญาที่ตนไม่ถนัด มาบัดนี้กลับสะท้อนก้องในหัวไปมาอย่างน่าประหลาด

นี่หล่อนหลับฝันว่าเป็นอวี้ซู่....หรืออาจกล่าวได้ว่ามุกมณีเป็นความฝันตื่นหนึ่งของอวี้ซู่หรือ ?

เปลือกตาที่ปวดร้าวและร้อนผ่าวกะทันหันทำให้หล่อนเลือกจะปิดมันลง กล้ำกลืนในพริบตา ก่อนลืมขึ้นด้วยแววแข็งกร้าว

ถ้าหากจะมีเวลาว่างสงสัยล่ะก็ หล่อนสู้เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า !

อย่างน้อย...ตอนนี้เห็นทีจะต้องผ่านด่านราชินีของแคว้นปิงผู้เคยโปรดปราณคนอย่างอวี้ซู่ให้ได้ก่อน...

คิดมาถึงตรงนี้ ผู้ที่อยู่ในร่างอวี้ซู่ก็เผยอรอยยิ้มทั้งที่ขบกรามแน่น

คนอย่างอวี้ซู่ !





“เจ้าจงสารภาพมา”

มุกมณีรอจนหมอเกอกลับออกไป และสาวใช้คนอื่นถอยออกไปยืนห่างนอกห้องแล้วนั่นแหละ หล่อนจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ยามเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงของเด็กหญิง มันกลับฟังชาเย็นยิ่งกว่าขั้วน้ำแข็งเสียอีก

จึงไม่น่าแปลกใจ ที่เจียเอ๋อร์จะตัวสั่นเทิ้มและคุกเข่าตึงลงพร้อมฟูมฟาย

“คุณหนู” หญิงสาวในร่างเด็กหญิงสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงโขกศีรษะกับพื้น....หินแข็งๆ “ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขออภัยจริงๆเจ้าค่ะ”

“หยุด!” หล่อนในตอนนั้นที่ยังมีมโนธรรมและความตกใจตวาดทันที ทั้งนึกขอบคุณฟ้าดินที่อีกฝ่ายก็ชะงักค้างทันตาเหมือนกัน “เจ้ายืนขึ้น แล้วเล่าเหตุการณ์ยามที่เจ้าเห็นข้าป่วยมาตามตรง”

หญิงสาวสังเกตเห็นท่าทีของท่านหมอเกอที่ทำท่าระมัดระวังเป็นพิเศษ....ชนิดที่มุกมณีซึ่งเคยฟังข่าวเรื่องร้ายๆของหมอมากก็มากยิ่งรู้สึกพิเศษ ไม่นับคนอย่างเด็กสาวเจียเอ๋อร์ที่มีท่าทางยิ่งกว่าระวัง แต่เรียกว่าเป็นระแวงภัยกันเลยทีเดียว

และอย่างไรหล่อน....ก็อายุ 20 ปีแล้ว กับแค่การเกริ่นถามเด็กสาวที่อ่อนกว่าตั้งหลายปีอย่างเจียเอ๋อร์ในเรื่องที่อยากรู้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เรื่องที่ว่า....อวี้ซู่ป่วยเป็นอะไรกันแน่

มันไม่ใช่การระวังต่อคนป่วยเท่านั้น แต่มีบางอย่าง ที่ไม่ใช่ความอาวรณ์หรือเห็นใจต่ออาการของเด็กหญิง

มันสอดแทรกด้วยความหวาดกลัวจนแทบเป็นประหวั่นพรั่นพรึงต่อบางอย่าง....

“คุณหนู....ข้า... ข้าจำต้องบอกนายท่านไปตามตรงจริงๆเจ้าค่ะ” นางเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตมีน้ำใสคลอคลอง “อีกอย่าง วันนั้นคนของคุณหนูห้าทุกคนล้วนเห็นคุณหนู...ไปที่สวนและทุ่มเถียงกับคุณหนูห้าทั้งสิ้น แล้ว...แล้ว...พอกลับมาคนสวนทั้งหมดก็ได้ยินเสียงคุณหนูตะเพิดพวกข้าออกจากห้องจนหมด ก่อนปิดประตูอยู่ในนั้นจนเย็น..”

เจียเอ๋อร์สะอื้นอีกที เมื่อเหลือบเห็นคุณหนูของนางมีสีหน้านิ่งสนิทราวรูปสลัก ได้แต่กล่าวต่อทั้งปากคอสั่น

“ข้า...ข้าคิดจะเข้าไปหาคุณหนูก่อนเวลาอาหารเย็น แต่นายท่านกลับมาด้วยตัวเอง แล้วก็พังประตูเข้าไป...” นางเว้นช่วง ทำท่าคล้ายกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆกว่าจะค่อยๆตะกุกตะกักว่าต่อ “พอเข้าไป...นายท่านก็เห็นคุณหนูแล้ว...”






“ขบวนคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเว่ย มาเข้าเฝ้าพระราชินี”

เสียงตะโกนจากหน้ารถม้าหยุดภวังค์ความคิดของมุกมณีไว้เพียงแค่นั้น

หญิงสาวพลิกตัวนอนคว่ำ แหงนหน้ามองผ้าม่านที่ปิดสนิท กั้นหล่อนจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่อาจปกปิดเสียงที่ดังจ้อกแจ้กได้

หล่อนรู้ว่าด้านนอกมีการตรวจตราบางอย่าง ก่อนจะปล่อยผ่านโดยง่าย จนคนในรถอดคิ้วกระตุกไม่ได้

ก็ถ้าเธอซ่อนซุกคนร้ายไว้...ไม่มีเรื่องกันทีหลังหรือไร ?

ถึงจะคิดวูบขึ้นมา...แต่มุกมณีก็ปรามตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว หล่อนยังไม่รู้จักที่นี่ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกใบนี้ เห็นคนยังไม่ถึงสิบคน คุยกับคนไม่ถึงยี่สิบประโยค ส่วนจะบอกว่ารู้จักใครรู้จักอะไร ยิ่งไม่มีให้นับเข้าไปใหญ่

มีแต่ทุ่มสมาธิจดจ่อให้เรื่องราวตรงหน้าเท่านั้น ที่จะทำให้ผ่านไปได้

และเมื่อตัดสินใจได้อย่างนั้น หญิงสาวที่จับจ้องผืนผ้าม่านหน้ารถอยู่ จึงไหวตัวตวัดลุกขึ้นนั่งพับเพียบเรียบร้อยได้ทันเวลาที่ม่านถูกกระตุกด้วยมือของทหาร พร้อมคำกล่าวเชิญ

มุกมณีลงจากรถ และแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครามที่สาดแสงแจ่มใส คล้ายกล่าวคำต้อนรับหล่อน สู่พระราชวังหลวง ตำหนักของราชินีแห่งแคว้นปิง

แสงอาทิตย์ส่องกระทบดวงตา จนต้องเลื่อนสายตาลงแลเลยไปยังเบื้องหน้าที่เป็นทางเดินหินทอดยาวผ่านประตูบานใหญ่ซึ่งเปิดรอคอยอยู่

หญิงสาวค่อยๆเดินตรง ผ่านประตูอย่างราบรื่นและพบกับสายลมอ่อนโยนลูบไล้แผ่วเบา

สายลมพัดโลมลูบ จนเผลอหรี่ตาลงเกือบเป็นปิดสนิท และในวินาทีนั้นเองที่สายลมแปรเปลี่ยนจังหวะ โยนร่างของหล่อนโครมลงสระน้ำทันที
มุกมณีว่ายน้ำเป็นมาตั้งแต่สมัยอนุบาล พี่สาวของหล่อนชอบแกล้งดึงห่วงยางออกจากตัวเด็กหญิงเสมอ จึงทำให้หล่อนฮึด หัดตีขาลอยตัว จนกลายเป็นว่ายน้ำคล่องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

เสียแต่หล่อนไม่เคยคิดไม่เคยฝัน ว่าในเสื้อผ้าหนาทับด้วยผ้าอ่อนบางอีกหนึ่งชั้น หล่อนจะต้องลงไปว่ายในสภาพนั้น ทั้งยังเป็นร่างที่ตนเองกะเกณฑ์อะไรไม่ถูก เพราะเพิ่งสัมผัสยังไม่ทันข้ามวันดี

หญิงสาวจึงกลืนน้ำลงไปหลายอึก ตะเกียดตะกายตีขาอยู่พักใหญ่ๆจนหน้าอกแน่นร้าว อึดอัดไปหมดทั้งตัวจนแทบคลุ้มคลั่ง จึงค่อยถูกดึงพรวดกระชากขึ้นมาสัมผัสอากาศเบื้องบนอีกครั้ง

หล่อนสำลักเอาน้ำที่เพิ่งกลืนไปออกมาเป็นอย่างแรก ขณะผ้าห่มอบอุ่นถูกคลุมทั้งกายทันที หูค่อยๆสำเหนียกถึงเสียงจ้อกแจ้กของผู้คนกับเสียงกระทบกันของคมดาบกังวานอยู่ไม่ไกล

แพขนตาที่เปียกชื้นด้วยน้ำทำให้เด็กหญิงที่มีขนตางอนยาวต้องกะพริบถี่ๆ กว่าจะเพ่งมองเบื้องหน้าได้ชัดเจน ทันเห็นวงหน้าถมึงทึงที่จับจ้องมาด้วยความมาดร้าย

“ผีร้าย บังอาจนัก !”

เสียงตะโกนก้องข่มขวัญ ขับความเย็นเยือกยิ่งกว่าสายน้ำให้ออกพ้นกายที่สั่นเทิ้ม มุกมณีเพิ่งตระหนักว่าหล่อนกำลังสั่นไปทั้งตัว แม้กระทั่งฟันก็ยังกระทบกันกึกๆเหมือนคนเป็นไข้หนักทั้งที่เพียงลงไปสัมผัสน้ำเย็นในสระข้างทางเท่านั้น

แต่ทันทีที่มีเสียงตะโกน บริเวณรอบตัวก็คล้ายจะอุ่นวูบขึ้นมา เด็กหญิงหลับตาปี๋ รับรู้ถึงไอร้อนผ่าวที่ค่อยๆถ่ายทอดมาให้ และสูดลมหายใจเอาอากาศอุ่นสบายเข้าไปในร่างกาย

ชั่วแล่น หัวใจกระตุกวูบ ตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน

เสียงที่เย็นเยียบถึงกระดูกสันหลัง บีบหัวใจจนปวดแปลบ ก่อนถูกต่อต้านด้วยขุมพลังงานร้อนผ่าวที่ปกปักษ์ทั้งร่างกาย ขับไล่ความเย็นทั้งหมดให้หลุดออกไปพร้อมการกระอักไอ

มุกมณีกะพริบตาปริบ ขณะที่ภาพเบื้องหน้าชัดเจนและชิดใกล้

ตรงหน้าหล่อนคือหญิงงาม หล่อนสามารถกล่าวเช่นนั้นได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นหญิงงามที่มีวงหน้าน่ารัก เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดู ควรชวนให้นึกถึงสาวน้อยแรกแย้มที่เริงร่า

แต่สตรีเบื้องหน้าไม่ใช่นกน้อยเริงร่า กลับเป็นทูตมรณะที่มีดวงตาเย็นเยียบยิ่งกว่าสิ่งใด วงหน้าที่น่ารักกลับกลายเป็นเย็นชาไร้แววไร้อารมณ์ มีเพียงความพยาบาทขุ่นข้นคลั่งซ่อนอยู่ใต้แววตาเรียบเฉยที่จับจ้องมาอย่างไม่พรั่นพรึง

ไม่หวาดหวั่นแม้คมดาบที่จดจ่ออยู่ลำคองามระหง

“เจ้าจะฆ่าข้าอีกหรือ...” เสียงถามเย็น...ลอยล่องปะทะจนความร้อนรอบกายมุกมณีสูงขึ้นอีกหลายเท่าคล้ายจะต่อต้าน “จะฆ่าข้าอีก จะทรมานข้าอีกหรือ...”

“ผีร้าย” ชายที่เห็นชัดว่าเป็นขุนพลแผดเสียงเฉียบอีกครา “ไปรับโทษทัณฑ์โดยดี หาไม่ข้าจะทำให้เจ้าแตกเป็นชิ้นๆ”

สตรีเย็นเฉียบผู้ถูกกล่าวว่าเป็นผีร้ายหันดวงตามา จ้องเขม็งละไล่ผ่านวงหน้าแข็งขันที่รายล้อมเด็กหญิง ก่อนตวัดนัยน์ตามองกลับมายังเด็กหญิงที่จับตนอย่างกะทันหัน

มุกมณีได้แต่เบิ่งตากว้าง ร่างทั้งร่างเหมือนจะโดนสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบในพริบตา ก่อนเสียงตวาดกึกก้องราวคำรามจะตัดความรู้สึกนั้นออกไปพร้อมร่างของสตรีที่ไหวตัววูบและกลายเป็นกลุ่มควัน

เด็กหญิงได้แต่นิ่งงัน ขณะที่มุกมณีได้แต่กรีดร้องอึงอลอยู่ในใจ ถึงโลกใบใหม่ที่หล่อนกำลังเผชิญ

ด้วยคำถามที่หนักหน่วงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกว่า นี่คือที่ไหน และเป็นยังไงกันแน่!

ชั่ววูบหนึ่งของความคิดที่กำลังแล่นไปมาอย่างสับสน หญิงสาวหวนนึกถึงความฝัน...แม้ความฝันก่อนตื่นจะเป็นสิ่งที่มุกมณีจำได้แช่มชัด ทั้งถ้อยความปริศนาประหลาด กับข้อความที่น่าจะส่งผลอะไรสักอย่างให้หล่อนมาโผล่ที่นี่ แต่ครั้นมาพิจารณาจริงๆ หญิงสาวก็ยังไม่กล้าปักใจเชื่อ “ความฝัน” เต็มร้อยอยู่ดีนั่นเอง

หล่อนเติบโตมากับความคิดที่ว่า ฝัน...ยังไงก็เป็นฝันมานานเกินไป

นอกจากนี้ถึงแม้จะอยากอธิบาย หากหล่อนยังโดนย้ำเองแท้ๆว่ามีเรื่องราวอีกมากที่ไม่เข้าใจ ได้แต่รอกาลเวลา

มุกมณีคิดอยู่แล้วว่า อย่างไรหล่อนก็ต้องค่อยๆมอง ค่อยๆคิดและสรุปสถานการณ์ตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น ห้ามแตกตื่นเด็ดขาด

แต่ความคิดดังกล่าว ได้มลายหายไปทันทีที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นต่อหน้าหล่อน

มันเหมือนหล่อนเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากที่หลบภัยของตนเองได้ไม่กี่ก้าว ก็เกิดเรื่องใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินขึ้นจนพื้นที่ยืนอยู่ทรุดลงไปในพริบตา และเมื่อตะกายขึ้นมาได้อีกที ก็พบว่ารอบด้านย้อนเวลากลับไปสมัยไดโนเสาร์ครองโลก ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่สามารถขับไล่ “ความใจเย็น” ของหญิงสาวให้แตกกระเจิงได้ในพริบตา

หล่อนคิดว่าตนเองไม่ได้เปรียบเทียบเกินจริงแต่อย่างใด เพราะอย่างน้อย สำหรับมุกมณี เรื่อง “ผี” เป็นเรื่องที่อยู่ห่างไกลจากความคิดชนิดที่ว่านอกจากเสพความบันเทิงเป็นภาพยนตร์แล้ว หล่อนไม่เคยสนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

ผู้เป็นพี่สาวอีกนั่นแหละ... มณีศิลาเคยเป็นคนแกล้งเล่าแกล้งหลอกเรื่องพวกนี้กับหล่อนเมื่อครั้งยังเล็ก เคยทำให้หล่อนทำไม่ได้แต่แม้แต่นอนคลุมโปงเพราะกลัวผีจะโผล่พรวดมาในผ้าห่ม หากกระนั้น เมื่อความกลัวของคนเราสะสมนานเข้าๆโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันหนึ่งมันก็จางหายไปดื้อๆอย่างแทบจะไร้ร่องรอย

มุกมณีไม่เคยเห็นผี และไม่สนใจเรื่องพวกนั้นอีกเลยก็จริง แต่อย่างน้อย หล่อนก็ไม่คิดว่าในวันที่แสงแดดแจ่มใส อากาศเย็นสบาย จะเป็นวันที่หล่อน หรือเว่ย อวี้ซู่ ถูกผีผลักตกน้ำและเกือบตาย

แม้ส่วนหนึ่งในหัวใจ หญิงสาวที่อยู่ในร่างเด็กหญิงจะเกิดสงสัยขึ้นมาเลือนๆ ว่าหากหล่อนจมน้ำ “ตาย” ไปจริงๆ หล่อนจะเป็นยังไงก็ตาม...

แต่ก็เหมือนกับความคิดอย่างอื่น เธอไม่มีเวลามาคิดอะไรต่ออีก เพราะอวี้ซู่ไม่เคยว่างเว้นจากการอยู่คนเดียวหรืออยู่เงียบๆได้นาน

เมื่อพยักหน้าตอบรับต่อคำถามว่าเดินไหวหรือไม่ และเพิ่งถูกพยุงให้ลุกขึ้น ทหารทุกนายที่ช่วยหล่อนไว้ก็คุกเข่าลงกะทันหัน

ขณะที่มุกมณีได้แต่นึกลังเล จนกลายเป็นยืนเก้งก้างอยู่ลำพังคนเดียว

เสียงห้าวที่เคยกังวานดุดันข่มขวัญได้แม้แต่เสียงเย็นเยียบ บัดนี้แฝงแววนอบน้อมภักดี แม้จะยังกึกก้องไม่ผิดแผกจากเดิม ยามถวายความเคารพผู้ที่ปรากฏกายขึ้นกะทันหัน

เรือนร่างอรองค์โสภาในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนใสราวท้องฟ้ายามไร้เมฆหมอกปกคลุม และสะท้อนลงบนผืนน้ำอันสง่างาม สมบุคลิกและทีท่านั้น ทำให้เดาไม่ยากว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด

นางย่อมจะเป็นอื่นใดไม่ได้ นอกจากพระราชินีแห่งแคว้นปิง



(ติดตามต่อตอนถัดไป)





สวัสดีค่ะ หนนี้มาช้าไปหน่อย ล่วงเข้ายามเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีแทน ขออภัยท่านที่อุตส่าห์แวะเวียนมาเหลือบมองดูด้วยนะคะ ><


ตอนนี้เรื่องราวยังไม่ค่อยมีอะไรมาก คนเขียนเองก็ยังกะจังหวะ จับจุดเดินเรื่องไม่ค่อยเก่งเท่าไร ถ้าหากท่านไหนมีข้อแนะนำหรือคำติใดก็ขอน้อมรับและขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งนะคะ

พบกันใหม่ วันพุธหน้าค่ะ


Create Date : 12 มกราคม 2555
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 9:41:47 น. 0 comments
Counter : 388 Pageviews.

XueYitan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add XueYitan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.