Group Blog
 
 
มกราคม 2555
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
20 มกราคม 2555
 
All Blogs
 

หนึ่งความฝัน พันราตรี {บทที่ 3}

ก่อนอ่านบทที่ 3 : ได้แก้ไขบทที่ 2 ไปเล็กน้อย เพื่อความอ่านง่าย แต่ตัวเนื้อหายังคงเดิมนะคะ อ่านใหม่หรือไม่อ่านก็ได้ค่ะ ^^



บทที่ 3


ถ้าหากถามว่า “ราชินี” ในความคิดของมุกมณีเป็นแบบไหน หญิงสาวคงอ้างอิงเอาจากประสบการณ์เสพสื่อบันเทิงทั้งละครทั้งภาพยนตร์ มาประมวลผลเป็นสตรีที่อาจะสาวจนยากจะเดาวัย หรือไม่ก็อยู่ในช่วงกลางคน และถ้าไม่ดูสง่างามทรงอำนาจจนทำให้ผู้คนที่เห็นต้องครั่นคร้ามไปตามๆกัน ก็คงเป็นหญิงงามผู้อ่อนหวาน อ่อนโยนแต่แฝงกระแสที่ผู้คนไม่อาจแตะต้อง

ทว่า “ราชินีแห่งแคว้นปิง” เบื้องหน้า ทำให้มุกมณีนึกออกได้เพียงคำๆเดียว

คือคำว่า

“แม่”

คำดังกล่าวหลุดจากปากเด็กหญิงแผ่วเบา หากในใจมุกมณีกลับกังวานก้องจนสะดุ้ง และต้องเร่งปิดปากเงียบในบันดล

สตรีตรงหน้าไม่มีเค้าลางอะไรเหมือนมารดาของมุกมณีแท้ๆ....

หากท่วงท่าการก้าวเท้ายาวๆมานั้นเต็มไปด้วยความร้อนใจ และดวงตาที่ทอประกายของความห่วงใยนั่นอีก คือสัมผัสของความรู้สึกที่มุกมณีรู้จักดี และมีเพียงผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นที่ให้เธอได้

หญิงสาวกล้ำกลืนก้อนแข็งที่แล่นมาจุกในลำคอของเด็กหญิง หากมันกลับเป็นเรื่องยากยิ่งไปอีก เมื่อองค์ราชินีแห่งแคว้นปิงผู้นั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกให้สัญญาณรอบด้าน ส่วนอีกมื้อเอื้อมลูบเรือนผมที่เปียกชื้นของเด็กหญิง พร้อมคำถาม

“อวี้ซู่ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”

มุกมณีตอบ เมื่อฝืนกลืนก้อนสะอื้นลงไปในลำคอจนได้ หากเจ้ากรรมที่ร่างของเด็กหญิงไม่ได้ควบคุมได้ง่ายดังใจนึกนัก เพราะในขอบดวงตาเรียวยาวนั่นกลับร้อนผ่าวและมีหยาดน้ำคลอคลองขึ้นมาแทนที่

หล่อนบังคับให้อวี้ซู่กะพริบตาถี่ๆ พลางก้มหน้าและส่ายน้อยๆทั้งเพื่อตอบคำถามและเพื่ออำพรางสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน

มือบางที่อุ่นจัด เลื่อนลงมาจากเรือนผมซึ่งเปียกชื้นและยังมีหยดน้ำเกาะพราว ไล้สัมผัสแก้มที่ค่อนข้างเย็นของเด็กหญิงแผ่วเบาเหมือนปลอบประโลม

ทำนบน้ำตาของอวี้ซู่พังทลายทันที

มุกมณีได้แต่กัดฟันกรอด บอกตนเองว่าหล่อนกำลังเคืองใจที่ไม่สามารถควบคุมร่างของอวี้ซู่ได้ดังที่ควรเป็น หากแทบจะทันทีที่คิดเช่นนั้น หล่อนก็ตระหนักเช่นกันว่าความโหยหาที่ปะทุขึ้นมานั้นไม่ใช่ของอวี้ซู่

ทว่าเป็นของเธอเอง....เธอกำลังร้องไห้ด้วยความโหยหาสัมผัสอบอุ่นของมารดาราวเด็กๆ !

ระหว่างกลืนน้ำลายลงคอ แก้วหูก็ลั่นขึ้นอีกครั้ง จนจับความไม่ถนัด รู้แต่เพียงสัมผัสแผ่วที่หัวไหล่ ซึ่งผลักให้หล่อนเดินไปข้างหน้า

พร้อมกันนั้นเอง ร่างของขุนพลทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

และหลังจากนั้นเอง ที่น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยกับหล่อนอีกครั้ง

“เจ้าไปผลัดผ้าก่อนเถิดนะ แล้วเราค่อยมานั่งคุยกัน”

หญิงสาวในสภาพเด็กหญิงที่เปียกปอนไม่ได้ตอบคำใด นอกจากพยักหน้าเงียบๆและพยายามสะกดอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง



ครอบครัวของมุกมณีไม่ใช่ครอบครัวใหญ่มาก มีเพียงหล่อน พี่สาว และบิดากับมารดาสี่คนเท่านั้น

แม้ขนาดครอบครัวจะเป็นแบบสมัยใหม่ แต่ความสัมพันธ์ของครอบครัวกลับถือว่าสนิทแน่นแฟ้นกันเลยทีเดียว มุกมณีอายุห่างกับพี่สาว 4 ปี ดังนั้น มณีศิลาจึงพอจะช่วยมารดาดูแลน้องสาวได้โดยไม่ต้องจ้างคนมาเพิ่มเติม และผู้เป็นแม่เองก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้น

มารดาของมุกมณีเคยเป็นครู หล่อนถือว่าพื้นฐานสำคัญแรกสุดสำหรับเด็กนั้นคือครอบครัว ซึ่งเป็นด่านแรกในการจะสร้างผู้ใหญ่สักคน จากนั้นจึงค่อยมาเป็นสังคมที่ชื่อว่าโรงเรียน และการทำงานตามลำดับ

ดังนั้น คนเป็นแม่จึงให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูกด้วยตนเอง คอยใส่ใจพัฒนาการทั้งทางความคิดและอารมณ์ของลูกๆเสมอ หล่อนไม่มีนโยบายตามใจลูกๆ หรือคิดแต่จะให้ลูกฉลาดหรือเก่งด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว

พื้นฐานแรกที่ลูกสาวทั้งสองได้รับการกวดขัน จึงเป็นเรื่องของการทำงานบ้าน มุกมณีจำได้ว่าหล่อนมักจะถูก “ขอร้อง” ให้ช่วยทำโน่นนี่ให้เสมอ และเมื่อทำสำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยขนาดช่วยถือจานสักใบ หรือช้อนสักคัน มารดาก็จะออกปากชมลูกสาวเสมอ

พอโตมาหน่อย การกวาดบ้าน ถูบ้าน แม้กระทั่งซักผ้า ก็เป็นเรื่องปกติที่สองพี่น้องชาชินและคอยแบ่งกันทำ ไม่เคยมีข้ออ้างว่าต้องทำการบ้านแล้วจะทำงานบ้านไม่ได้ หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือผิดปกติใดๆ แม้กระทั่งตอนเป็นวัยรุ่นที่เริ่มมีการจับกลุ่มของเพื่อนฝูง มารดาหล่อนก็จะมีวิธีพูดยิ้มๆถึงภาระงานที่บ้าน หรือสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบไม่ให้มุกมณีลืม ก่อนอนุญาตให้ออกไปเที่ยวสังสรรค์เสมอ

และอาจเป็นเพราะคำชม...ที่มารดาเคยมอบให้ตั้งแต่เป็นเด็กหญิงเล็กๆก็ได้ ที่ทำให้หล่อนรู้สึกว่าการทำงานบ้านในขณะที่เพื่อนคนอื่นเรียนพิเศษ เรียนดนตรีหรืออื่นๆ เป็นเรื่องน่าอับอายอะไร

และเพราะอย่างนั้นเอง ที่ทำให้มุกมณีสนิทกับที่บ้านโดยไม่เคยมีช่องว่างของความสัมพันธ์เหมือนอย่างวัยรุ่นบางช่วง โดยเฉพาะผู้เป็นมาดาและพี่สาว จนบิดาต้องยกธงยอมแพ้เวลาสาวๆของบ้านออกคะแนนเสียงกันบ่อยๆ

และมาบัดนี้เอง...ที่มุกมณีตระหนักได้ว่า ความสนิทสนมนั้น มันจะแปรเป็นการกัดกร่อนความรู้สึกด้วยความโหยหาอย่างรุนแรง ยามต้องอยู่ไกลกัน !

ไกลแค่ไหน...หล่อนก็ไม่อาจบอกไม่อาจคำนวณถูก มันไม่เหมือนการเดินทางไปต่างประเทศ ที่ยังไงก็พอรู้ว่าตนเองต้องไปที่ไหน ต้องไปทางใด แต่มันคืออีกที่...

สถานที่ที่หล่อนไม่ใช่กระทั่งตัวเอง

เด็กหญิงที่บัดนี้ผลัดเปลี่ยนชุดใหม่ เป็นสีฟ้าสดใสสลับเหลือง ให้ความรู้สึกของสาวน้อยแรกแย้มที่แจ่มใสผิดกับเจ้าตัวลิบลับ ได้แต่เดินออกจากฉากบังตาผ้าปักไม้ฉลุออกมาหาคนที่คอย

กำแพงพระราชวังที่ได้เห็นแวบๆไม่ได้บอกสภาพของ “วังหลวงแห่งแคว้น” กับมุกมณีมากนัก หนำซ้ำในตอนที่เดินตัวเปียกมะล่อกมะแล่กมาอาบน้ำ หล่อนก็ยังมัวแต่จิตตกจนไม่มีกะใจจะดูรอบตัวอีกด้วย เพิ่งจะมาได้สติเอาตอนเห็นห้องอาบน้ำของที่นี่เอง

หนังจีนที่หล่อนเคยดู ซึ่งหญิงสาวอนุมานเอาเองว่าที่นี่ก็น่าจะคล้ายๆกัน มีแต่อ่างไม้ให้หล่อนเห็น หรืออีกทีก็เป็นคล้ายสระว่ายน้ำไปเลย ซึ่งอย่างหลังพบเห็นได้น้อย และมุกมณีก็ไม่มีความคิดอยู่ในหัวด้วยว่าตนจะมีวาสนาได้เห็น

ตอนที่เพิ่งฟื้น และแต่งตัว เจียเอ๋อร์ก็เพียงแต่เอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาให้หล่อนเช็ดหน้ากับเด็กสาวช่วยเช็ดแขนขาให้เท่านั้น หล่อนจึงไม่มีโอกาสพิสูจน์สมมตติฐานของตนเองที่ตั้งไว้

“ห้องอาบน้ำ” เรียกจิตที่ตกไปด้วยความคิดถึงให้กระเตื้องด้วยความคาดไม่ถึง ยามมองภายในห้องที่ไม่ใช่ห้อง...แต่คือสระน้ำที่มีไอร้อนลอยล่องไปมา จนลมหายใจพลอยเป็นไอไปด้วย แข่งกับควันจางของสายน้ำที่ไหลออกจากปากของสัตว์ทั้งสี่มุม ที่มุกมณีก็ดูไม่ถนัดว่าเป็นอะไร แต่จากที่เห็นคร่าวๆ ไม่น่าเป็นพวกมังกรหรือสิงห์ที่เคยเห็นจนชินแน่

น้ำที่อยู่ในสระก็อุ่นจัด...จริงเสียด้วย แต่ก็ไม่ถึงขนาดร้อนเกินไปจนลวกผิว ทั้งเมื่อแช่ไปทั้งตัวยังให้ความรู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว จนเหมือนกับทั้งร่างกายจะลอยล่องได้

มุกมณีอยากจะแช่น้ำและใช้ความคิดไปพลางๆสักพักด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าคนที่รอคอยหล่อนอยู่คือพระราชินี และเป็นเจ้าของห้องอาบน้ำแห่งนี้ตัวจริงล่ะก็....

หญิงสาวสะบัดผมยาวสยาย...แทบจะจรดบั้นเอวของอวี้ซู่ไปมา ตอนก่อนที่จะลงสระน้ำอุ่น สาวใช้หลายนางค่อยๆบรรจงแก้ผมมวยของเด็กหญิงออก ตอนนี้มันจึงทอดตัวยาวเปียกชื้นอยู่เบื้องหลัง ให้คนที่เป็นเจ้าของตอนนี้ได้แต่ถอนใจ เพราะรู้ดีว่าตนคงไม่สามารถจัดการมันได้โดยง่ายแน่นอน

“อวี้ซู่”

เสียงนุ่มนวลเรียกขาน กระตุกความคิดถึงที่กำลังจะลงไปนอนนิ่งตกตะกอนให้ฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครั้ง จนคนถูกเรียกต้องสูดลมหายใจเข้าลึก

องค์ราชินีแห่งแคว้นปิงกำลังคอยหล่อน...คอยอวี้ซู่ผู้เป็นหลานของพระนางอยู่

พระนางคอยอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลืองบานใหญ่ หากไม่ได้นั่งบนเก้าอี้เบื้องหน้า กลับยืนเยื้องอยู่ด้านข้าง มือหนึ่งถือบางอย่าง ส่วนอีกมือก็กวักพลางส่งเสียงเรียกต่อ

“มานั่งนี่สิ อวี้ซู่ ป้าจะรวบผมให้เจ้าเอง”

มุกมณีเดินไปนั่งหน้าคันฉ่องเงียบๆ พลางพยายามกะพริบตาถี่ไล่หยาดน้ำตาร้อนผ่าวของความคิดถึง

นานนักแล้วเหมือนกัน...ที่เคยมีคนมัดผมให้ ก่อนหล่อนจะต้องรีบไปเข้าเรียน

มือที่จับผมยาวเปียกชื้นของร่างที่นั่งลงนั้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอื้อมไปแตะแก้มเนียนเปล่งปลั่งเลือดฝาดเป็นสีระเรื่อ และจับให้เงยขึ้นโดยทันควัน

ในคันฉ่อง เด็กหญิงโฉมงามที่เคยมีใบหน้าคมจัดจนดูดุ บัดนี้ กลับคล้ายสวมหน้ากากของความเย็นชา เมื่อในดวงตายาวรีมีประกายของหยดน้ำแฝงอยู่ในแววเศร้าสร้อยจางๆ

และเมื่อเด็กหญิงกะพริบตา น้ำตาก็ร่วงหล่น

“เจ้าร้องไห้ทำไมกัน” เสียงถามไถ่อ่อนโยน นุ่มนวล เช่นเดียวกับมือที่เลื่อนไปเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา โดยมิให้แม้แต่ปลายเล็บสะเทือนผิวของเด็กหญิง “เด็กดี ไม่ต้องร้องหรอกนะ”

มุกมณีไม่อาจทนมองภาพสะท้อนตรงหน้าได้อีก หญิงสาวปิดเปลือกตาลงทันที

หล่อนอยากหลอกตัวเอง.. แค่ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวก็ยังดี ขอเพียงวินาทีที่ฝ่ามืออุ่นนี้แนบอยู่บนผิวพร้อมคำปลอบประโลมอ่อนโยน ก็เพียงพอที่จะทำให้หล่อนบอกตัวเองว่านี่คือมารดาของหล่อน...เป็นแม่ของหล่อนจริงๆที่กำลังลูบหัวและบอกว่าไม่เป็นไร

...ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะมุก ไม่ต้องร้องนะลูก เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเอง ไม่มีอะไรหรอก....


ชั่วพริบตาที่เสียงนุ่มนวลของคนเป็นแม่สอดแทรกผสานเข้ากับเสียงที่ดังอยู่ข้างหูได้อย่างแนบสนิท มุกมณีก็กลายเป็นเหมือนอวี้ซู่... กลายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ร้องไห้กระจองอแงให้แม่ของหล่อนปลอบอยู่เสมอ ไม่ว่าภายนอกจะอายุเท่าไรก็ตาม

หล่อนหันไป และกอดเอวบางของร่างที่กำลังปลอบตัวเองแน่นพลางร้องไห้โฮ

เหมือนจะรู้สึกในพริบตาว่าร่างที่หล่อนกอดอยู่ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย จนมุกมณีเกือบชะงัก หากชั่ววินาทีถัดมา อ้อมแขนบอบบางนั่นก็โอบร่างของเด็กหญิงไว้แน่น ทว่านุ่มนวล

“ไม่เป็นไร...” ในน้ำเสียงที่บอกมาคล้ายแฝงน้ำหนักบางอย่าง หากมุกมณีเองก็กำลังสูดจมูกอยู่ หล่อนจึงไม่แน่ใจว่าตนได้ยินผิดไปหรือไม่ “ไม่เป็นไรหรอกนะ...เจ้า...ไม่เป็นไรแน่ๆ”

“....แม่...” หญิงสาวใช้ปากของเด็กหญิงกระซิบคำนั้นแผ่วเบา ให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินมัน พร้อมเอ่ยต่อในใจ

...แม่ มุกคิดถึงแม่ มุกอยากเจอแม่ มุกไม่เคยคิดถึงแม่ขนาดนี้เลย มุกคิดว่ามุกจะกลับไปบ้านเมื่อไรก็ได้ แค่ไปค่ายเดี๋ยวก็กลับไปเจอแม่แล้ว มุกไม่เคยคิดว่า...มุกจะต้องมาอยู่ในที่ๆมุกไม่ได้เป็นมุก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปหาแม่เมื่อไร....

....เมื่อไรที่มุกจะเป็นมุก เมื่อไรมุกจะไปหาแม่ได้...

พี่มี่...แม่...พ่อ....


มือที่ลูบเรือนผมเปียกชื้นนั้นกดแน่นลงเล็กน้อย คล้ายพยายามส่งความอบอุ่นให้เด็กหญิงมากที่สุด และมุกมณีก็ขอเวลาเพียงแค่ครู่....ครู่นี้เท่านั้น ที่หล่อนจะขอรับความอบอุ่นนี้ไว้เอง

หลังจากนั้น... หล่อนจะพยายาม !

หญิงสาวให้คำมั่นกับตัวเอง เมื่อน้ำตาเริ่มแห้งเหือดเปลี่ยนเป็นดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้จนรู้สึกได้ กับลำคอที่แห้งผากจนไอโขลกๆ

ตอนนั้นเอง ที่ราชินีแห่งแคว้นค่อยปล่อยตัวหล่อนอย่างแผ่วเบา ก่อนเอื้อมไปเทน้ำชาใส่ถ้วยเล็กส่งให้

มุกมณีรับน้ำชาอุ่นจัดมาดื่ม เพิ่งสังเกตว่าในห้องมีเพียงตนกับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ ปราศจากแม้เงาร่างสาวใช้สักคน

ถึงตอนนี้ เธอค่อยใช้นัยน์ตาของเด็กหญิงแอบชำเลืองมองผ่านคันฉ่อง และพิจารณาอย่างจริงจังว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็มีรูปโฉมงดงามไม่เบาเลยทีเดียว ทั้งวงหน้าอ่อนหวานแบบที่หล่อนเคยคาดเดา กับความเด็ดขาดเฉียบคมจนแฝงแววดุรำไรที่มุกมณีคุ้นตา

หล่อนเลื่อนสายตาลงมา และมองเห็นแววเช่นนั้นในวงหน้าของอวี้ซู่

ใบหน้าคมเข้มของท่านแม่ทัพเว่ยผุดวาบมาในความคิด พร้อมประพิมพ์ที่คล้ายกับองค์ราชินีเป็นอย่างยิ่ง บอกให้รู้ถึงสัมพันธ์สายเลือดอันใกล้ชิดของบุคคลเหล่านี้

สมองของมุกมณีกลับมาทำงานอีกครั้ง หล่อนยังจำได้ถึงตอนที่บิดาของอวี้ซู่รับสาส์นจากที่คนในวังถือมาอย่างเร่งด่วน พลางทอดถอนใจ และปรายตามองที่ธิดาคนโตของตนชั่ววูบ

กับเสียงพึมพำแกมทอดถอน

‘ใต้ฝ่าพระบาทคงจะทรงกังวลมาก’

‘ใต้ฝ่าพระบาททรงเป็นห่วงเจ้ามาก’ คำพูดเมื่อตอนที่เด็กหญิงกำลังจะขึ้นรถม้าแว่วมาพร้อมกัน ‘เพียงแค่อยากแน่พระทัยเท่านั้น ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร’

ถ้อยความทั้งหมดล้วนบอกชัดถึงความห่วงใยที่มีต่อเด็กหญิง และมุกมณีเองก็เห็นด้วยตาของตนเองแล้ว ยิ่งสังเกตถึงเค้าประพิมพ์ประพายความเหมือน หล่อนก็เริ่มแน่ใจว่าอวี้ซู่คงเป็นคนโปรดของหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้จริงๆ

งั้นมุกมณีควรจะทำอย่างไรดีเล่า หล่อนถามตัวเอง ขณะที่มือก็ค่อยประคองถ้วยน้ำชาส่งคืน

ราชินีแห่งแคว้นปิงรับถ้วยด้วยมือตนเองอย่างไม่มีเกี่ยงงอน นางเห็นเด็กหญิงไม่มีทีท่าจะขอเพิ่มจึงวางถ้วยนั้นกลับลงบนโต๊ะ ก่อนหันมาถาม

“เจ้าเป็นอะไรไป อวี้ซู่”

หญิงสาวอยากหลบตา หากน่าแปลก...ที่ ‘อวี้ซู่’ ช้อนตาขึ้นมองคนถาม ก่อนขยับริมฝีปาก

“ข้า...” เธอชะงักถ้อยคำไปทันควัน ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย

ในดวงตายาวรีคมกริบที่มองมาของสตรีสูงศักดิ์แห่งแคว้นนี้สะท้อนภาพของเด็กหญิงที่สับสน และฉายแววแห่งความอาทรอย่างเด่นชัด ทั้งสัมผัสอบอุ่นเมื่อครู่ก็ยังหลงเหลืออิทธิพลมากกว่าที่คาด จนมุกมณีเกือบจะหลุดปาก

หลุดปากบอกออกไป ? จากนั้น....จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอล่ะ?

ภาพของหญิงสาวผู้เย็นเฉียบที่ถูกเรียกขานว่าเป็นผีร้ายนั่นยังติดอยู่ในนัยน์ตา มันฝังแน่นจนกระทั่งความอบอุ่นที่ได้รับก็ไม่อาจปลดปล่อยได้หมด

“เจ้าหันไปก่อนเถอะ” องค์ราชินีออกปากในที่สุด พลางจับเด็กหญิงให้หันหน้าเข้าหาคันฉ่องดีๆ “ข้าจะเช็ดผมแล้วก็รวบผมให้เจ้าเอง เดี๋ยวจะไม่สบายมากกว่าเดิมเสียเปล่าๆ”

เด็กหญิงที่ภายในเป็นหญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งอีกครั้ง เมื่อผ้านุ่มค่อยเลื่อนซับน้ำจากเส้นผมตัวเองช้าๆ ก่อนตามด้วยปลายนิ้วที่สอดแทรกสางคล้ายเพลิดเพลิน ก่อนถามไถ่

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง ?”

“ข้า....” มุกมณีเอ่ยคำเดียวที่นึกออก ก่อนชะงักหายไปอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกสับสนที่กำลังห้ำหั่นกัน

ใจหนึ่ง เธออยากบอกความจริง....ด้วยความรู้สึกที่ผุดพรายมาเพียงเสี้ยวในทีแรก ก่อนจะค่อยๆเอ่อล้นเหมือนน้ำเดือดที่พยายามดันฝาหม้อ อยากบอกอยากเล่าให้ใครสักคนฟัง อยากพูดอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับตนเอง ให้รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นมุกมณีอยู่ แม้จะเป็นเพียงแค่คำพูดก็ตาม

ขอแค่นิดเดียว...

หากอีกใจ...ที่หนักแน่นด้วยเหตุผลก็ย้ำเตือนว่านี่ควรเป็นเวลาที่เธอสอดส่อง คอยมองรอบตัวและพิจารณาอย่างรอบคอบ จะผิดพลาดไปไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วชะตากรรมของเธอก็อาจจะไม่แคล้วจมดิ่งลงไปในความเยือกเย็นและเจ็บปวดเกินทานทนนั่นอีก

บางอย่างแวบผ่านในความคิด หากก็บางเบาเกินกว่าจะจับต้องได้ถนัดมือ ผิดกับเสียงของสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งค่อยแหวกผ่านความกังวลทั้งมวลอย่างแผ่วเบา

“เจ้ายังรู้สึกไม่ดีหรอกหรือ ?”

ไม่พูดเปล่า มือบางนั้นยังเอื้อมแตะลำคอ...จุดซึ่งสามารถสัมผัสตำแหน่งชีพจรเต้น....

หัวใจของมุกมณีกระตุกวูบ...ด้วยลางสังหรณ์แปลกๆ

หากเพียงพริบตา ปลายนิ้วนั้นก็เลื่อนออก ไปหยิบปอยผมทัดหูให้เด็กหญิงแทน พลางถอนใจ

“เจ้าอย่าทำแบบนี้อีก รู้หรือไม่ ?” พระนางเปลี่ยนเรื่อง “ข้า...และท่านพ่อของเจ้าจะกังวลแค่ไหน เจ้าไม่รู้หรือ อวี้ซู่ ถ้าเกิดป่ายเสียนไปเห็นเจ้าช้าไปเพียงนิดเดียว....”

เว่ย ป่ายเสียน....หรือก็คือบิดาของอวี้ซู่ที่นั่งอยู่หน้าคันฉ่องนี่เอง ที่เป็นผู้พบ “สภาพ” ของลูกสาวเป็นคนแรก

“แม้มารดาของเจ้าจะอยู่อีกฝั่งภพ นางก็คงไม่ดีใจเป็นแน่ ถ้าหาก....”

ท้ายประโยค พระนางไม่ได้เอ่ยต่อ หากมุกมณีกลับเผลอพึมพำแผ่วเบาเสียเอง

“ถ้าหาก...ข้าตายไป...” ....หล่อนหรืออวี้ซู่กัน ที่จะตาย ?

มือที่เลื่อนลงไปจับบ่าเล็กเกร็งแน่นทันที

“อย่าพูดอย่างนั้น จงอย่าเอ่ยเช่นนั้นเด็ดขาด” ราชินีแห่งแคว้นเอ่ยเสียงเฉียบ ก่อนค่อยอ่อนลง “เจ้าอายุเพียงเท่านี้....อย่าเพิ่งมาพูดเรื่องเป็นตายจากลา ราวเป็นเรื่องปกติเลย เด็กเอ๋ย...”

คำขาน “เด็กเอ๋ย” แผ่วหวิว สะเทือนด้วยอารมณ์บางประการให้มุกมณีแอบลอบชำเลืองมองผ่านเงาสะท้อน ทันเห็นสิ่งคล้ายหยาดน้ำแวววาวในดวงตางาม ก่อนเลือนหายรวดเร็วเมื่อเอ่ยต่อ

“วันเวลาของเจ้าแสนสั้นนัก... จงอย่าได้ใช้ไปเช่นนี้เลย เกิดมาทั้งที ควรแย้มยิ้มหัวเราะให้มากวันที่สุด ยังดีกว่าจะมานั่งนึกถึงความเศร้าที่ไม่มาเยือนเหล่านั้นนัก”

ถ้อยคำนั้นฟังประหลาด...ขนาดที่กระทั่งหญิงสาวอายุยี่สิบปีอย่างมุกมณียังไม่อาจแปลความหมายได้หมด และยิ่งรู้สึกว่าหนักเกินไปสำหรับเด็กหญิงอายุน้อยกว่าหล่อนหลายปีอย่างอวี้ซู่

ยิ่งห้วงอารมณ์ที่แฝงอยู่ในคำอันไม่อาจบรรยายนั่นอีก มันราวกับ....มีเรื่องสำคัญบางเรื่องในถ้อยความเหล่านี้ ?

เกี่ยวพันกับอวี้ซู่ ?

“เอาล่ะ” องค์ราชินีประคองสองแก้มของเด็กหญิง พลางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆแต่แฝงแววจริงจังยากขัดขืน “เจ้าจงสาบานเสีย อวี้ซู่ ว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆเช่นนั้นอีกเด็ดขาด”

โดนคาดคั้นเช่นนี้ หญิงสาวย่อมไม่มีทางเลือกอื่นใด แม้ว่าความจริง ต่อให้อีกฝ่ายไม่เอ่ยปาก ต่อให้เธออยากลืมตาตื่นจากสถานที่สถานภาพพิลึกพิลั่นนี้เช่นไร มุกมณีก็ไม่ทางทำแบบอวี้ซู่แน่ๆ

เจียเอ๋อร์ได้บอกเล่ากึ่งสารภาพกับหล่อน ทั้งน้ำตาและเนื้อตัวที่สั่นเทิ้มเกี่ยวกับ “ภาพที่แม่ทัพเว่ยเห็นคุณหนู” ว่า

“คุณหนู...เอาผ้านวมห้าผืนมาซ้อนทับกันแล้วขดตัวเองอยู่ในนั้น ท่านแม่ทัพตรงเข้าไปรื้อกองผ้าก็เห็นคุณหนูตัวร้อนจัด ลมหายใจอ่อนเบามากเจ้าค่ะ....”

ทีแรกเมื่อตอนฟัง มุกมณียังพอมองเห็นผ้านวมที่กองอยู่ปลายเท้ารำไร และคาดคะเนความหนาของมันเปรียบเทียบกับร่างเล็กๆของอวี้ซู่ด้วยความสยองใจ กระทั่งสาวใช้เอ่ยต่อ

“นายท่านโกรธมาก เค้นถามพวกข้า...”

“จน...จน...พวกข้าต้องสารภาพว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณหนูแกล้งให้ตัวเองป่วยเจ้าค่ะ... ข้าผิดไปแล้วจริงๆ คุณหนูอภัยให้ด้วย!!”


มุกมณีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ให้กับคำสารภาพนั้นนับแต่ตอนที่ได้ยิน จนบัดนี้เมื่อองค์ราชินีผู้เป็นป้าของเด็กหญิงถาม หล่อนก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ กว่าจะตอบ

“สาบาน...” พูดไปแล้วหล่อนค่อยชะงัก ค่อยเรียงคำใหม่อย่างไม่แน่ใจแกมเงอะงะเป็น “หม่อมฉันสาบานเพคะ”

คิดไม่ถึง คำพูดที่น่าจะถูกต้องตามขนบธรรมเนียม กลับทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้วถาม

“เจ้าโกรธป้ารึ อวี้ซู่?” ร่างแบบบางในอาภรณ์บางเบาของราชินีก้าวไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆ เคียงข้างเด็กหญิง “นอกจากเคืองท่านพ่อแล้ว เจ้าก็จะพลอยโกรธป้าไปด้วยรึ เด็กคนนี้ ?”

แม้ถ้อยความจะแสดงถึงอาการไม่เห็นด้วยกึ่งไม่พอใจ แต่ในน้ำเสียงที่ได้ยินกลับไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวแฝงแม้แต่นิด เกือบพาให้มุกมณีถอนหายใจอีกรอบสลับกับหัวเราะขึ้นมาครามครัน

เธอพอจะเห็นภาพขึ้นมาแล้ว... ! ว่า “อวี้ซู่” ถูกเอาอกเอาใจและตามใจแค่ไหน แม้ตอนที่ฟังเจียเอ๋อร์เล่าตอนนั้นจะพอเดาได้รางๆก็ตาม ว่าเด็กผู้หญิงที่ชอบเรียกร้องความสนใจ จนถึงขนาดลงทุนทำให้ตัวเองป่วยคนนั้นคงไม่ใช่เล่นๆ สาวใช้รอบข้างถึงมีทีท่าสะทกสะท้านกันเป็นแถว เมื่อเด็กหญิงแค่พูดห้วนๆหรือทำท่าทางไม่ถูกใจนิดหน่อย

แต่หล่อนก็เพิ่งมาแน่ใจเอาเดี๋ยวนี้ ว่าต้นเหตุส่วนหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเด็กหญิงจริงๆ...แต่น่าจะเป็น “อำนาจเบื้องหลัง” เด็กหญิงนี่ต่างหาก

ทั้งพระราชินีก็ดี ทั้งแม่ทัพเว่ยก็ดี.....หล่อนยังไม่เห็นใครจะตำหนิอวี้ซู่เต็มปากเต็มคำสักคน !

ต่อให้เจียเอ๋อร์บอกว่าแม่ทัพเว่ยโมโหโกรธา ก็อาจเป็นไปได้มากตามประสาพ่อแม่ที่รักจนแทบจะเป็นหลงลูก ว่าความกราดเกรี้ยวนั้นอาจไปลงกับคนอื่น ไม่ใช่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน

มุกมณีแทบส่ายหน้า แต่เมื่อคิดขึ้นมาอีกที หล่อนก็ยอมรับว่าแบบนี้น่าพอใจกับตัวหล่อนเองมากกว่า

หล่อนน่าจะไม่ต้องระวังอะไรมาก....เพราะอย่างไร ฐานสนับสนุนของอวี้ซู่ก็คงพอไว้ใจได้อยู่

“อวี้ซู่ ?” หนึ่งในฐานเสียงส่งเสียงเรียก เมื่อเห็นเด็กหญิงเงียบไป

มุกมณีจึงลอบสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนระบายออกมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆบนเรียวปากของอวี้ซู่

“...ไม่ได้โกรธ...เจ้าค่ะ” หล่อนลองคำลงท้ายใหม่ และตามด้วย “สรรพนาม” ใหม่ “อวี้ซู่ไม่โกรธท่านป้าเจ้าค่ะ...”

ราชินีแห่งแคว้นในพิภพแปลกหน้าของมุกมณีกะพริบตาวูบ ก่อนคลี่ยิ้มแบบเดียวกับเด็กหญิงให้ และลูบหัวร่างน้อยที่อยู่เบื้องหน้า

“เด็กดี” พระนางชม “ป้ารู้ว่าความจริงแล้วเจ้าเป็นเด็กดี ป่ายเสียนเองก็รู้ดีเช่นกัน...”

คำพูดนั้นละม้ายกำลังเกลี้ยกล่อมเด็กเกเร...ซึ่งก็สาสมกับอวี้ซู่ดี ในความคิดของมุกมณี หล่อนจึงตั้งใจจะนั่งฟังเงียบๆ ไม่ออกปากอะไรที่อาจแสดงพิรุธออกไปอีก

ถ้าไม่ใช่เพราะประโยคถัดมาขององค์ราชินี...ผู้เป็นป้าแท้ๆและเป็นฐานเสียงสำคัญที่หล่อนเพิ่งหมายมั่น จะเอ่ยว่า

“แต่ทั้งป้าทั้งป่ายเสียน ก็เห็นว่าคงจะถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องจริงจังกับเจ้าเสียที...”




(โปรดติดตามต่อตอนถัดไปนะคะ >< )

มาส่งช้ากว่ากำหนดไปนิด ขออภัยด้วยนะคะ พอดีมัวไปแก้ไขตอนที่ 2 เล็กๆน้อยๆมาค่ะ

เรื่องนี้คนเขียนยังไม่ค่อยเข้าที่เท่าไร อ่านไปอาจมีสะดุด ติดขัออะไรบ้าง ถ้าหากคนอ่านท่านไหนแสดงความคิดเห็น หรือบอกว่าอ่านแล้วเ็ป็นอย่างไรแม้สักนิด ก็จะขอบพระคุณมากค่ะ

พบกันใหม่วันพุธหน้านะคะ




 

Create Date : 20 มกราคม 2555
0 comments
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 9:42:07 น.
Counter : 733 Pageviews.


XueYitan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add XueYitan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.