Group Blog
 
 
มกราคม 2555
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
5 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
หนึ่งความฝัน พันราตรี {เริ่มเรื่อง + บทที่ 1}

หนึ่งความฝัน พันราตรี



เริ่มเรื่อง

มุกมณีพลิกกายกระสับกระส่าย หล่อนรู้สึกแปลกๆเหมือนนอนไม่สบายตัว ความอึดอัดบางอย่างผนวกกับอากาศที่หนาวเย็น ทำให้หญิงสาวถอนหายใจเฮือกด้วยความหงุดหงิด

หล่อนเขยิบอีกนิด พอจะจำได้ว่าหมอนข้างใบโปรดของตนเองเพิ่งนำไปผึ่งแดดไม่กี่วันก่อน และหล่อนก็เปิดม่านให้แดดส่องเข้ามาในห้องนอนทุกวัน มันน่าจะมีความอบอุ่นเหลือบ้างหรอก

สัมผัสที่ได้รับมานั้นน่าพึงใจ ความร้อนผ่าวแตะสัมผัสผิวแก้ม สลายความหนาวเย็นจนหล่อนขยับเบียดแนบชิดเข้าไปอีก

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหูแว่วๆ พร้อมลมร้อนที่เป่าพัดผ่านเคลียหลังใบหูไป

หญิงสาวขมวดคิ้ว หากคร้านจะลืมตาทำเพียงส่งเสียงในลำคอให้รู้ว่าหล่อนไม่พอใจและไขว่คว้าหาความอบอุ่นอีก

ผ้าผืนหนาหนักเลื่อนเข้ามา มุกมณีเพิ่งรู้สึกว่าผ้านั้นเดิมทีกองอยู่ที่บั้นเอวหล่อน ก่อนจะถูกดึงมาคลุมห่อถึงหัวไหล่จนมิดชิดและช่วยรั้งร่างหล่อนเข้าหาความอบอุ่นอันชวนสบายใจนั้นด้วย

ความอบอุ่นที่ไม่นุ่มเหมือนผืนผ้า แต่แข็งแกร่งและมีเลือดมีเนื้อ

หล่อนซุกซบอยู่ครู่ใหญ่ๆกว่าจะรู้ตัวถึงสัมผัสแปลกปลอมนั่น

ความอบอุ่นของร่างกาย....ใครกัน !

ไวเท่าความคิด หญิงสาวลืมตาโพลงขึ้นทันที หากแสงสว่างที่ส่องต้อนรับนัยน์ตาทำให้ต้องครางหนักๆและปิดเปลือกตาลงเกือบจะทันที

เสียงหัวเราะที่กังวานแว่วๆ...หนนี้ชัดเจนขึ้น เช่นเดียวกับการสั่นกระเพื่อมของแผงอกที่หล่อนแนบแก้มอยู่จนผิวหน้าร้อนผ่าวไปหมด

แผงอก...ของผู้ชาย อย่าว่าแต่ฝันเลย กระทั่งนิตยสารไว้เล็มเป็นอาหารตาชัดๆหล่อนยังไม่ยอมเสียเงินสักแดงเดียวแท้ๆ แล้วจะมี...

เจ้าของเสียงปริศนาคล้ายพูดบางอย่างเบาๆ แต่มุกมณีจับความไม่ถนัด และรู้สึกแปลกหูกับคำพูดนั้นเกินกว่าจะรู้เรื่องอีกด้วย หล่อนสัมผัสแต่เพียงปลายนิ้วแกร่งที่เขี่ยปลายจมูกแผ่วเบาอย่างเย้าแหย่และสนิทสนมเท่านั้น

หญิงสาวกัดริมฝีปาก ข่มหัวใจที่เต้นระรัวแทบจะออกมาด้านนอกให้สงบลงสักนิด ขณะค่อยๆปรือตาขึ้นหมายจะเพ่งมองให้ชัดเจนถึงสภาวะและสถานะของตนเอง

แม้ยังมองเห็นไม่ถนัด แต่จากอิริยาบถของร่างกายที่แนบชิดจนเกินควร มุกมณีก็รู้ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างๆนั้นขยับออกเพื่อให้หล่อนเงยหน้าขึ้นได้ชัดๆเช่นเดียวกับที่เขาก้มลงมาและส่งยิ้มให้พร้อมคำเรียก

เป็นคำเรียกที่ทำให้มุกมณีตาสว่างโดยไม่ต้องอาศัยแสงใดเลยทั้งสิ้น

เมื่อเขาเอ่ยชื่อที่หญิงสาวไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต !



“คุณหนูอวี้ซู่ ?”



หญิงสาวแทบจะตะกายลุกจากเตียงไม่ทันเมื่อเสียงเรียกนั้นสะท้อนไปมาจนหัวแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

แต่สุดท้ายหล่อนก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาจริงๆ มุกมณีหอบหายใจเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองยังนอนหงายอยู่บนเตียงแข็งๆและทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆปรับโฟกัสสายตาก่อนจะเห็นขื่อคานที่ไม่คุ้นตา

หญิงสาวยกมือขยี้ตา...รับรู้ถึงความประหลาดบางอย่างที่การตื่นจากความฝันที่พร่าเลือนทำให้ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัด แต่ลางสังหรณ์บางประการ...กับหัวใจที่เต้นผิดแผกนิดๆก็ทำให้หล่อนต้องเร่งทบทวนความทรงจำอย่างเร่งด่วน

ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปอีกนิดจนหล่อนต้องส่งเสียงครางที่แปลกแปร่งหูอีกครา พร้อมน้ำขมๆที่พุ่งขึ้นมาในลำคอจนต้องรีบพยายามยันตัวลุกขึ้นมาให้ได้จริงๆพลางพยายามมองหาถุงพลาสติกสักใบไว้เป็นที่รองรับ

หากหญิงสาวไม่ต้องทำดังนั้น รอบข้างหล่อนมีเสียงความเคลื่อนไหว ก่อนบางอย่างคล้ายกะละมังจะถูกยื่นมารองไว้พร้อมเสียงพูดฟังไม่ได้สรรพ และมุกมณีไม่คิดสนใจฟัง หล่อนคว้าข้อมือที่ดูเหมือนเล็กบางแต่พอจับจริงกลับกุมได้ไม่รอบที่ถือกะละมังเอาไว้ ดึงมาใกล้ๆและโก่งคออาเจียนทันที

น้ำขมปร่าและรสชาติพิกลพุ่งออกจากปากจนหล่อนแทบเบ้หน้า แต่จนใจที่ยังเอามันออกมาไม่หมด กระทั่งเรี่ยวแรงของหล่อนพลอยถูกสูบออกไปด้วยนั่นแหละ มุกมณีถึงยอมปล่อยมือที่หล่อนเผลอยึดเอาไว้และผลักกะละมังนั้นออก

ขันน้ำเป็นอย่างต่อมาที่ถูกประคองส่งให้บ้วนปาก ลิ้นที่เพิ่งผ่านของขมๆมารับรู้ได้ถึงความสดชื่นอย่างประหลาดของน้ำนั้นจนพอใจที่จะบ้วนไปอีกสองสามครั้งและค่อยส่งขันคืนให้

ผ้าสีขาวหนานุ่มถูกยื่นมาให้...มุกมณีเริ่มจะขมวดคิ้ว หล่อนไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับการบริการดีขนาดนี้ หากแม้สงสัยแต่เมื่อมีคนส่งหญิงสาวก็รับมาเช็ดรอบปากและส่งกลับ

ต้องกะพริบตาอีกหลายครั้ง...กว่าสายตาของมุกมณีจะเข้าที่ หญิงสาวขยับจะควานมือหาแว่นสายตาตามความเคยชินก่อนชะงักไปเมื่อเห็นพื้นอิฐหน้าตาประหลาดและชายกระโปรงยาวพลิ้วหลากสีอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีพยาบาลหรือคนรู้จักของหล่อนที่ไหนสวม

หลายสิ่งที่เห็นทำให้หล่อนสะบัดหน้าไปมา ก่อนสายตาไปสะดุดกึกเข้ากับบางอย่าง

สิ่งนั้นตั้งอยู่มุม...และน่าจะเป็นฟากด้านเดียวกับหัวนอนของหล่อน หากเมื่อมุกมณีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ริมเตียงและหันซ้ายทีขวาทีก็ไม่ยากจะเห็นมัน

และหล่อนเห็นมัน...ทั้งที่ไม่ได้สวมแว่นสายตาเพื่อปรับระยะการมองซึ่งสั้นกว่าปกติเกือบสี่ร้อย

หล่อนมองเห็น....เด็กหญิงที่ไม่น่ามีวัยเกิน ๑๒ ปี เค้าหน้างดงามด้วยโครงรูปไข่ กับดวงตายาวเรียวคมกริบแวววับ รับด้วยจมูกโด่งเชิดกับริมฝีปากบางเฉียบประกอบเป็นส่วนสัดชวนมองจ้องยากมองผ่าน

เด็กหญิงผู้นั้นจ้องหล่อนเขม็ง แม้โดยส่วนประกอบจะทำให้สีหน้าน่าจะเป็นดุ แต่มุกมณียังเห็นชัดถึงแววตื่นตะลึงในดวงตาเด็กหญิงเมื่อมองตอบ

เด็กหญิงยกมือขึ้นค่อยแตะแก้มตนเองอย่างไม่แน่ใจ จากนั้นก็จับลงบนผมสีเข้มสนิทที่ทอดยาวตั้งแต่ช่วงหัวไหล่ไปแทบจรดบั้นเอว ก่อนสีหน้าจะแปรเป็นยากแก่การบรรยาย

เรียวปากบางบิดเบี้ยว ก่อนอ้ากว้างแล้วหุบลงใหม่ หนนี้สีหน้าของเด็กหญิงบอกแววตื่นตระหนกตกใจสุดขีด ปลายนิ้วที่เรียวยาวได้รูปชี้ที่ใบหน้าของตนเองราวกับชี้สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ทุกอากัปกิริยาของเด็กหญิง ล้วนเป็นสิ่งเดียวกับมุกมณี รวมถึงจังหวะที่พร้อมกันจนไม่คลาดเคลื่อนแม้เศษเสี้ยววินาทีนั่น

เด็กหญิงคนนั้นเลียนแบบมุกมณี...หญิงสาวอยากเชื่อเช่นนั้น หากความคิดนั้นก็ถูกปัดเป่าออกไปเร็วพอๆกับขามา เมื่อหล่อนไล่สายตาที่แจ่มชัดไปยังสถานที่ที่เด็กหญิงอยู่อย่างแผ่นทองเหลืองขัดเงาที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากกระจก

เด็กหญิงคนนั้นคือตัวหล่อนเอง !






บทที่ 1

แสงแรกของวันเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าสาดกระทบกำแพงคฤหาสน์ได้ไม่เท่าไร ผู้คนในบ้านเว่ยก็ต้องวุ่นวายกันยกใหญ่
เคหาสน์ของแม่ทัพเว่ยกว้างขวาง ผู้คนก็มากมาย ย่อมจะดูครึกครื้นวุ่นวายอยู่เสมอเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็มีบางคราอย่างเช่นวันนี้ที่ดูจะยุ่งยากกว่าทุกวัน

แม่ทัพเว่ยเป็นผู้คุมกองทัพสำคัญของแคว้นปิง โดยปกติมีหน้าที่ประจำการรักษาเขตแดนทางเหนือของแคว้นอันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งลำพังตำแหน่งนี้ก็บ่งบอกความสำคัญของเขาแล้ว แต่ผู้คนในเมืองหลวงทั้งหมดก็ยังรู้ด้วยว่า ความสำคัญอีกอย่างของแม่ทัพเว่ยคือเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับองค์ราชินีแห่งแคว้นปิง

องค์ราชินีมีพระโอรส...ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท เพียงองค์เดียวเท่านั้น ขณะที่แม่ทัพเว่ยก็มีแต่บุตรีที่เกิดจากภรรยาทั้งห้าอยู่ห้าคน พระนางจึงมักโปรดให้หลานสาวมาเข้าเฝ้าในวังอยู่บ่อยๆ

และหลานสาวคนที่พระนางโปรดปราณที่สุด ก็คือคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากภรรยาเอกซึ่งล่วงลับไปแล้วของท่านแม่ทัพ เว่ย อวี้ซู่

ดังนั้น...ทันทีที่แม่ทัพเว่ยผู้เพิ่งกลับจากทางเหนือ พบว่าบุตรสาวคนโตของตนเอง “ล้มป่วย” บ้านตระกูลเว่ยทั้งหมดก็เหมือนถูกเขย่าด้วยมือยักษ์ที่มองไม่เห็นจนสั่นสะท้านกันไปทั้งหมดทันที

และคล้ายจะยังไม่หนำใจ... ข่าวคราวการ “ล้มป่วย” นี้ ได้ล่วงรู้ถึงหูองค์ราชินีแห่งแคว้นในเวลาไม่กี่อึดใจถัดมาเช่นกัน

แต่อย่างน้อยก็นับเป็นเรื่องน่ายินดี...ที่หมอได้ยืนยันในเวลาอันรวดเร็วหลังถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วนว่า คุณหนูใหญ่ไม่เป็นอะไรมาก

เว้นเพียงคนเดียวที่ยินดีไม่ออก

คือตัวคุณหนูใหญ่ของท่านแม่ทัพ เว่ย อวี้ซู่เอง




เด็กหญิงอายุ 12 ปีที่นั่งอยู่หน้าทองเหลืองขัดเงาเป็นคันฉ่องมีวงหน้างดงาม...แม้จะเพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่วัยดรุณีและยังไม่ถึงช่วงเวลาเกล้าผมปักปิ่น แต่เค้าลางของความงามก็ปรากฏอย่างเด่นชัดในโครงหน้ารูปไข่ และดวงตายาวเรียวคมกริบราวนางหงส์ ยิ่งมาประกอบกับจมูกโด่งเชิด และกลีบปากบางเฉียบแล้ว ล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่าเด็กหญิงจะต้องเติบโตมาเป็นหญิงงามคนหนึ่งไม่ผิดแน่

แม้ในเวลาที่ทำหน้าตาประหลาด...อันบ่งบอกถึงความแปลกใจและยากจะเชื่อ เว่ย อวี้ซู่ก็ยังเป็นคนงามอยู่ดี

นั่นคือสิ่งที่มุกมณีเห็น...และคิด

หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกเช่นเดียวกับเด็กหญิง ปล่อยให้สาวใช้ที่เพิ่งได้ยินชื่อแว่วๆว่าเจียเอ๋อร์ค่อยๆหวีสางผมก่อนจะรวบเป็นทรงซาลาเปาคู่สองลูกสองข้างให้อย่างเบามือ

“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู”

ทรงผมแบบเด็กๆนี้ไม่ได้ทำให้อวี้ซู่ดูเป็นเด็กหญิงเท่าไรนัก แต่หล่อนก็ไมเชิงเป็นเด็กสาว มุกมณีรู้สึกว่าสาวน้อยที่จ้องหล่อนกลับด้วยนัยน์ตายาวรีนั่น...มีบางอย่างที่ทำให้คนดูรู้สึกก้ำกึ่งกับเจ้าหล่อนอย่างไรชอบกล

“คุณหนูเจ้าคะ...” เจียเอ๋อร์ลองเรียกอีกครั้ง เมื่อเห็นคุณหนูของตนเองยังเงียบกริบ สองตาเอาแต่จ้องคันฉ่องไม่เว้นวาง

เด็กสาวกลืนน้ำลาย สองมือเริ่มพันกันด้วยความกริ่งเกรงจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจออกปากต่อด้วยน้ำเสียงที่ใส่ความเกรงใจนอบน้อมให้มากที่สุด

“คุณหนูเจ้าคะ....ไม่ถูกใจตรงไหนหรือเจ้าคะ”

เว่ย อวี้ซู่ยังคงไม่ตอบคำ ขณะที่มุกมณีได้ยินคำถามที่เป็นภาษาแปลกหูนั้นแว่วๆ แต่คร้านจะจับความจนฟังรู้เรื่องอันเป็นสิ่งที่น่าประหวั่นใจมากสำหรับหล่อน

สุ้มสำเนียงของภาษาที่สาวน้อยผู้เกล้าผมนั้นเอ่ยฟังคล้ายๆภาษาจีนที่เคยได้ยินได้ฟังเวลาดูตัวอย่างภาพยนตร์หรือดูซีรีย์ซับไทย แต่มุกมณีไม่ได้สนใจศึกษา การฟังพูดอ่านเขียนภาษาจีนจึงไม่เคยเป็นหนึ่งในความสามารถของหล่อน ดังนั้น หญิงสาวก็ไม่ควรฟังที่สาวน้อยคนนั้นเอ่ยได้เข้าใจด้วย

“คุณหนูเจ้าคะ....” เจียเอ๋อร์เรียกอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้เสียแล้ว

มุกมณีไม่อยากได้ยินแม้แต่น้อย แต่หล่อนดันเข้าใจจนต้องทอดถอนใจเฮือกใหญ่

อวี้ซู่ถอนหายใจเช่นกัน

“อวี้ซู่” เสียงเรียกดังอีกครั้ง แต่คราวนี้แตกต่างจากทุกเสียงที่หนักแน่นและทรงอำนาจจนมุกมณีและอวี้ซู่ต้องหันกลับไปมอง

ผู้ที่สามารถเรียกคุณหนูใหญ่ได้เช่นนี้ย่อมมีเพียงคนเดียว คือบิดาของเด็กหญิงเอง

เจียเอ๋อร์ย่อตัวลงทันที เตือนให้มุกมณีคิดว่าหล่อนควรจะย่อตัวทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน

แม่ทัพเว่ยจึงมองอากัปการอันอ่อนน้อมกว่าทุกทีของบุตรสาวด้วยแววแปลกใจ แต่เขาไม่แสดงอะไรออกมามากไปว่าแววที่ปรากฏในดวงตาวูบ ก่อนเอ่ยคำ

“เจ้าพร้อมแล้วไม่ใช่รึ ? คิดจะให้องค์ราชินีคอยเจ้าไปอีกนานแค่ไหนกัน !”

ท่านพ่อของอวี้ซู่สมเป็นแม่ทัพใหญ่ที่รักษาการณ์ชายแดนอย่างแท้จริง ในสายตาของมุกมณี ชายที่ยืนผึ่งผายตรงหน้ายังดูหนุ่มแน่นกว่าที่เธอคิดไว้ จนอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นเขาในครั้งแรก และมาครั้งนี้ หญิงสาวก็ค้นพบเพิ่มเติมด้วยว่านอกจากรูปลักษณ์แล้ว แม้แต่น้ำเสียงของท่านแม่ทัพที่พูดกับลูกสาวก็ยังเกือบจะทำให้เธอนึกถึงเสียงครูฝึกทหารวิชารด.อย่างไรอย่างนั้น

และจากประสบการณ์ของมุกมณี คนแบบนี้น่าจะชอบ...ลูกสาวที่พูดจาตอบได้ฉะฉานมากกว่าลูกสาวที่ก้มหน้าเงียบ

แต่หล่อนไม่ใช่ลูกสาวของเขานี่ !

ส่วนหนึ่งในใจของหญิงสาวค้าน ขณะที่ท่านแม่ทัพเอ่ยต่อเสียงเข้ม

“เจ้าไม่ได้ยินงั้นรึ อวี้ซู่?”

อวี้ซู่ควรตอบไปสักอย่าง...

“ลูกพร้อมแล้ว ขออภัยท่านพ่อด้วย...เจ้าค่ะ”

เด็กหญิงตอบตามที่มุกมณีคิด เสียงใสกังวานไพเราะ กับถ้อยคำอันฟังดูอ่อนหวานนอบน้อม แต่สุ้มเสียงที่เรียบเฉยหนักแน่นไม่มีทีท่าประหวั่นลนลานหรือตกใจก็ดูจะเป็นสิ่งน่าพึงใจสำหรับท่านแม่ทัพอยู่บ้าง

ถ้าไม่ใช่แววตาแปลกๆที่มองมา...เหมือนกับใคร่ครวญบางอย่างเกี่ยวกับลูกสาวของตนเองจนมุกมณีหนาวๆร้อนๆนั่น ?

ท่านแม่ทัพไม่เอ่ยอะไรอีก นอกจากกลับหลังเดินจากไป....จนครู่หนึ่งนั่นเองที่มุกมณีค่อยกล้าถอนหายใจไล่หลัง

เจียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ฟังคุณหนูใหญ่ของตนทอดถอน สายตาแฝงแววเคลือบแคลงแกมหวั่นเกรงผสานกัน แต่เมื่อเห็นสาวใช้อีกคนขึงตาให้ด้วยสีหน้าร้อนรน เด็กสาวก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองอยู่ดี

“คะ...คุณหนูเจ้าคะ....ได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ”

มุกมณีเหลือบมองสาวน้อยที่ยังคุกเข่าอยู่ข้างตัว ก่อนขยับโบกไม้โบกมือให้ อีกฝ่ายจึงค่อยลุกขึ้นและเดินตามหลังหล่อนที่ก้าวออกไปจากห้อง

สาวใช้ที่หน้าประตูค้อมศีรษะ

“คุณหนู เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”

คุณหนูที่ถูกเชิญ...หรืออวี้ซู่ก้าวออกไป นำพาสายตาของมุกมณีให้ออกมาเบื้องนอกพร้อมสัมผัสถึงการก้าวเท้าออกนอกห้องที่เสมือนสถานพักฟื้นและป้อมปราการอันปลอดภัยชั่วคราว

ชั่ววูบหนึ่ง มุกมณีอยากให้อวี้ซู่ถอยหลังกลับเข้าไป ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แล้วจากนั้นตื่นมา เรื่องของอวี้ซู่ก็เป็นเรื่องของอวี้ซู่ ส่วนหล่อน...ก็จะตื่นมาพบกับฝ้าสีขาวสะอาดตาของโรงพยาบาล หรือไม่ก็เพดานห้องที่คุ้นเคย หรืออย่างน้อยก็ขอเป็นเพดานอะไรก็ได้ที่มีหลอดไฟติดอยู่

แต่มันเป็นไปไม่ได้ หญิงสาวรู้ดีว่าในความจริง หล่อนไม่เหลือทางให้ถอยหลังกลับอีกต่อไปแล้ว

มุกมณีจึงได้แต่ย่างเท้าเดินออกไป บนแผ่นหินที่ปูลาดเป็นเส้นทางตรงไปสู่รถม้าที่กำลังจะพาหล่อนไปเข้าเฝ้าพระราชินีแห่งแคว้นปิง

ในฐานะ และในรูปลักษณ์ของเว่ย อวี้ซู่




หากมีใครสักคนเอ่ยปากถามหล่อนว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร มุกมณีเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหล่อนจะลำดับเรื่องราวได้ถูกต้อง

มุกมณี เป็นนักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ที่กำลังเข้าค่ายของภาควิชาในช่วงฤดูร้อน นั่นเป็นสิ่งแรกที่หล่อนคงพยายามอธิบายกับคนอื่นและลำดับเรื่องให้ตัวเองฟังไปพลางๆด้วย....หล่อนเพิ่งจะมาถึงหมู่บ้านเล็กๆบนดอยทางเหนือของประเทศไทยได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

แล้วหลังจากนั้น....ความทรงจำของมุกมณีค่อนข้างจะสับสน แม้กิจกรรมที่หล่อนเลือกมาทำของทางภาคจะไม่เกี่ยวกับการเรียนด้านประวัติศาสตร์โดยตรง แต่โดยวิสัยของหนุ่มสาวที่มีความชอบในด้านเดียวกันจนเลือกมาศึกษาต่อก็อดทำให้ใครบางคนเปิดหัวข้อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ขึ้นมาระหว่างกำลังกางเต็นท์เตรียมที่พักกันไม่ได้

แต่จะคุยกันอย่างไรก็ตาม ความจริงก็มีแค่ว่าพวกหล่อนกำลังมาสร้างอาคารที่นี่ โดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการขุดค้นหรือแหล่งประวัติศาสตร์อะไรสักอย่างเลย

และยังไม่มีใครค้นพบวัตถุต้องสงสัยอายุเกินคะเน....ให้มุกมณีเข้าไปแตะต้องเสียด้วย

หญิงสาวไม่ได้เตรียมอาคารที่พักกับคนอื่นๆ หล่อนกำลังหอบเอกสารให้รุ่นพี่คนหนึ่ง และเดินตามหาตัวเขา....

และแล้ว.....

หล่อนก็จมดิ่งลงไปในความฝัน





หญิงสาวค่อนข้างจะประทับใจกับหมู่บ้านที่ตนเองมาทำกิจกรรม มือขยับแว่นสายตาขณะขาเดินลัดเลาะไปทางท้ายหมู่บ้านอย่างสบายอารมณ์ แม้จะเป็นหน้าร้อน แต่ความสูงของภูเขาที่พวกหล่อนอุตส่าห์มาเยือนก็ทำให้สายลมที่รำเพยผ่านผิวกายไม่แสบร้อนเกินไปนัก หนำซ้ำยังมีต้นไม้สูงใหญ่พอให้เดินอาศัยร่มเงาไปได้แทบไม่ต้องโดนแดด

หล่อนเลือกจะปล่อยวางเสียงเอะอะของเพื่อนร่วมคณะไว้ด้านหลัง รู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าแต่ละคนเอะอะมะเทิ่งอะไรกัน แต่ก็คร้านจะใส่ใจฟัง ถือว่าอุตส่าห์มาเยือนธรรมชาติทั้งที อย่างน้อยก็น่าจะหาเวลามาเพลิดเพลินบ้างไม่งั้นคงเสียเที่ยวแย่

เรื่องกลับไปหาคนอื่นนั้น....เก็บไว้ทีหลังจากนี้ก็ยังได้

แม้ไม่ใส่ใจเสียงจากเพื่อนๆ แต่เสียงจากเจ้าของพื้นที่นั้น มุกมณีเต็มใจรับฟังอย่างยิ่ง หล่อนชี้ถามพ่อเฒ่าที่ออกมานั่งหน้าบ้านของตนเองว่าจะเดินไปได้ถึงตรงไหน และส่วนไหนที่ไม่ควรเดินไปและยิ่งกว่ายินดีปฏิบัติตาม

ชายชราเองก็ตอบคำถามของมุกมณีอย่างดีเช่นกัน แม้การสื่อสารจะขลุกขลักบ้างเป็นบางขณะเพราะคำพูดบางคำที่ไม่ชัดเจนของแก แต่ก็ถือว่าเป็นไปอย่างราบรื่น และแกยังแสดงน้ำใจกับคนต่างถิ่นอย่างหล่อนด้วยการตักเตือนข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคืออากาศบนดอยนั้นแปรปรวนบ่อย ต่อให้เป็นฤดูร้อน แต่บางทีก็อาจมีพายุฝนหลงฤดูได้ และยามเย็นบางครั้งก็มีหมอกลงมากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นหญิงสาวควรเดินระวังๆและอย่าไปไกล

มุกมณีจึงเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น....ยิ้มและโบกมือให้ชายชรากับเด็กบางคนที่แอบมองด้วยความสนใจเป็นบางขณะ

จนกระทั่งเมฆครึ้มลอยมา พร้อมเสียงคำรามครืนจากที่ไกลๆ ตามด้วยฝนห่าใหญ่ที่กระหน่ำตามหลังลงมาแทบไม่ทันพ้นนาทีดีด้วยซ้ำ

รองเท้าผ้าใบที่ภาคภูมิใจกลายเป็นภาระในพริบตาสำหรับมุกมณี หญิงสาวแทบอยากถอดมันทิ้งแล้วใช้เท้าเปล่าเดินเอา ถ้าไม่เกรงเศษไม้อะไรจะบาดเข้าและกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าเดิม จึงได้แต่ทนลากเท้าที่เต็มไปด้วยน้ำขังเดินแกมวิ่งอยู่ใต้เงาไม้กลับมาทางหมู่บ้านที่อยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบก้าว

เสียงฟ้าผ่าไล่หลังไม่ห่างจนแผ่นดินสะเทือน และตอนนั้นเอง ที่ชายคาบ้านหลังที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างแค่ก้าวเดียว แว่นตาเจ้ากรรมก็เลื่อนหลุดพาให้ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปหมด

บ้านไม้ตรงหน้าเหมือนถูกบดบังด้วยม่านพรายของสายฝน หญิงสาวต้องกะพริบตาถี่ๆก่อนก้มควานมือเปะปะกว่าจะสัมผัสแว่นตาที่เลอะน้ำโคลน

และตอนนั้นเองที่มุกมณีก็เจ็บแปลบขึ้นมา

เป็นความเจ็บที่ไม่เคยคุ้น ไม่เคยสัมผัส

ความเจ็บที่สาหัสราวใครบิดอะไรบางอย่างในร่างกาย ก่อนกระชากออกไปอย่างไม่ปราณีจนหล่อนสิ้นสติ

จากทรวงอกข้างซ้าย....




น่าแปลกที่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ชัดเจนนัก มาลำดับตอนนี้มุกมณีก็ยังรู้สึกตงิดๆและไม่แน่ใจในอีกหลายอย่าง แต่เรื่องราวถัดจากนั้น หล่อนกลับจำได้แม่นยำเลยทีเดียว

เสียงถามหนี่งได้ทำให้หล่อนรู้สึกตัว

“เจ้าอยากตายหรือไม่ ?”

คำถามนั้นง่ายดาย ตอบไม่ยากแม้แต่น้อย หากความหมายของมันหนักหน่วงจนมุกมณีรีบตอบแบบทันควัน ชนิดไม่ต้องคิดมาก

“ไม่สิ”

เหมือนคาดเดาได้อยู่แล้ว...ซึ่งก็ไม่ยากเช่นกัน ว่าคำตอบจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ เสียงถอนหายใจได้กังวานดังเฮือกใหญ่ สะท้อนซ้ำไปมา

“เช่นนั้นรับปากข้าหนึ่งเรื่อง ได้หรือไม่ ?” คำถามกลับมาอีกครั้ง หากคราวนี้แฝงอารมณ์เร้นลึกบางอย่างและทำให้มุกมณีเพิ่งสังเกตเห็นความไพเราะของน้ำเสียงที่อ่อนหวานและกังวานเหมือนเครื่องดนตรีที่ทำจากแก้วที่เคยได้ฟังมาจากที่ไหนสักแห่ง

“ช่วยเหลือข้า เรื่อง........แล้วข้าจะให้เจ้ามีชีวิต แม้จะไม่มี.....ก็ตาม”

หนนี้แม้เสียงจะยังกึกก้อง แต่บางคำกลับพร่าเลือน ราวผู้พูดเจตนาลดเสียงลงจนมุกมณีขยับปากจะถามให้ได้ใจความกว่านี้ หากก็ทำได้เพียงอ้าปาก

เพราะวินาทีนั้น อยู่ๆหญิงสาวก็ตระหนักว่าตนเองกำลังอยู่ท่ามกลางความมืด

แต่แรกสุดหล่อนไม่รู้ตัว ไม่คิดเลยด้วยซ้ำ อาจจะเพราะมั่นใจว่านี่เป็นเพียงความฝันเรื่องหนึ่ง จึงไม่แปลกที่จะมองไม่เห็นอะไร

ทว่า.....ทันทีที่ส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์เบื้องหน้าแปรเปลี่ยน...ด้วยแสงสีขาวที่ตัดกับความมืด มุกมณีจึงรู้ว่าหล่อนอยู่กลางความมืดมาตลอด

กับอีกหนึ่งอย่าง....ที่ทำให้คำถามทั้งหมดของมุกมณีกลืนหายลงไปในลำคอก็คือกลางแสงสว่างที่นุ่มนวลไม่บาดตานั่น

มีสตรีนางหนึ่งอยู่ ณ ที่นั้น

อยู่ๆมุกมณีก็นึกถึงมังกรหยก ....ฉบับหนังสือที่ตนเองเคยอ่าน กิมย้ง ผู้ประพันธ์ได้เขียนถึงฉากหนึ่งเอาไว้ว่า “ชนชาวโลกมักใช้คำว่างามปานเทพธิดามาบอกเล่า แต่ที่แท้เทพธิดางามเพียงใด ผู้คนล้วนไม่รู้ จนกระทั่งได้พบนาง...”

สตรีผู้นั้นทำให้มุกมณีประหวัดนึกถึงข้อความดังกล่าว และทำได้เพียงอ้าปากตะลึงงันมองเสี้ยวหน้างดงามแช่มช้อยปานรูปนิรมิตกลางแสงสว่างที่ดังกลายเป็นม่านขาวพร่างพรายคลี่คลุมบดบัง สร้างความรู้สึกคล้ายจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็เหมือนไกลเกินสุดมือคว้า เสริมสร้างราศีให้ดูราวกำลังมองเทพธิดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน !

สตรีผู้โสภิตค่อยเบือนหน้ามา จากเดิมท่วงท่าเดิมที่เป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนเท้าแขนเอนกายอยู่บนแท่นสีขาวอันใหญ่ จนคล้ายกำลังลอยอยู่บนอากาศ

บนวงหน้างดงามที่หันมา ในดวงตายาวรีสีดำจัด ปรากฏประกายแวววาวราวหยาดมณี

หัวใจคนมองเจ็บจี๊ด คล้ายถูกกระชากจากความฝันแล้วสาดน้ำเย็นเฉียบใส่กลางฤดูหนาว ยามมองมณีสุกสกาวสะอาดตานั้นร่วงหล่นลงมาแช่มช้า

หยาดน้ำตาที่งดงาม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสิ่งสำแดงถึงความเศร้าสร้อย

มือบางกวัดไกว ปลายนิ้วเรียวได้รูปขยับงอรองรับมณีน้ำตานั้นเอาไว้แล้วผลักไสให้มันขยับเคลื่อนลอยออกมา...

ประกายแสงนั้นลอยเลื่อนมาใกล้จนหญิงสาวต้องหรี่ตาลง เช่นเดียวกับที่รูปลักษณ์ของสตรีผู้ออกปากแต่แรกเริ่มเรือนลางให้ขยับจะเรียกขาน แต่ยังช้าเกินการณ์

แสงของดวงมณีน้ำใสนั้นเปล่งจัดจ้าขึ้นชั่วแล่น ก่อนดับวูบลงกะทันหันและดึงทุกอย่างให้กลับสู่ความมืดมิดอันว่างเปล่า

มีเพียงคำทิ้งท้ายที่แผ่วเบา...

“เรื่องราวมากมายนัก.... เมื่อถึงวันนั้น เจ้าจะเข้าใจได้เอง....”

ถ้อยคำค่อยเลือนหาย เหมือนวงน้ำกระเพื่อมที่จางลงไปในที่สุด ขณะพรายแสงสีขาวนวลก็ค่อยหรี่ลง แต่ก่อนหน้านั้นมันกลับค่อยเคลื่อนมาโอบล้อมหญิงสาวอย่างอ่อนโยนราวปลอบประโลมให้เคลิบเคลิ้มสู่นิทราและความฝันพิสดารอีกหน

และหลังจากนั้น มุกมณีก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกที่หล่อนไม่รู้จัก ในนามเว่ย อวี้ซู่

(ติดตามต่่อตอนถัดไป)

อา...พูดลำบากจัง ท่านที่ผ่านเข้ามาก็ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ จะมาอัพเดททุกวันพุธค่ะ (แต่อาจกลางคืนบ้างอย่างคราวนี้ ^^)


Create Date : 05 มกราคม 2555
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 9:41:32 น. 0 comments
Counter : 409 Pageviews.

XueYitan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add XueYitan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.