Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2555
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
9 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 

หนึ่งความฝัน พันราตรี ลำนำที่ ๑ / บทที่ ๑

.
.




ลำนำที่ ๑ – เหมันต์วนเวียน –


บทที่ ๑ งานเลี้ยงเที่ยงวัน



ในวันก่อนผลัดเข้าฤดูหนาวของแคว้นปิง ๑ วัน เป็นโอกาสแห่งการเฉลิมฉลอง เนื่องจากแคว้นปิงอยู่ทางตอนเหนือ ติดกับแนวเทือกเขาหิมะใหญ่ ดังนั้น อากาศส่วนใหญ่จึงผูกพันกับความหนาวเหน็บ ผู้คนคุ้นชินกับสายลมของเหมันต์ที่มักจะวนเวียนมาเยือนไม่ขาดระยะ และนับถือหิมะแรกของปีในฐานะของกำนัลจากเทพภูผาหิมะ

หากงานฉลองปีนี้ก็ยังจัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เนื่องด้วยราชาแห่งแคว้นปิงถือโอกาสฤกษ์งามยามมงคล หมายมั่นจะประกาศแต่งตั้งองค์ชายรองอันเกิดแต่พระราชินีรัชกาลปัจจุบันขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาทพร้อมประทานคู่สมรส ทั้งยังผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นน้องชายของพระราชินีอีกชั้น ด้วยการรับธิดาคนโตผู้กำพร้าแม่ของท่านแม่ทัพมาเป็นบุตรีบุญธรรม สถาปนาตำแหน่งองค์หญิง

ดังนั้น เมืองหลวงแห่งแคว้นจึงคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนออกมาร่วมดูขบวนนำราชโองการแต่งตั้งคุณหนูคนโตของท่านแม่ทัพหน้าจวนเนืองแน่นในเวลากลางวัน และรับพืชผลพร้อมอาหารแจกที่มีมากมายเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสวันมงคลของรัชทายาทที่มีพร้อมกันอย่างเปรมปรีดิ์

และเมื่อตกเวลากลางคืน....ทั่วทุกแห่งหนจะช่วยกันประดับโคมไฟสีฟ้า กินดื่มคึกคัก แผดเผาสุรารสแรง รอรับหิมะแรกของปีที่จะมาเยือน

หากยามนี้ยังเป็นเวลากลางวัน...พ้นเที่ยงวันไปเล็กน้อย ราชโองการแต่งตั้งไปถึงมือคุณหนูของแม่ทัพผู้กล้า นางจะออกมาจุดธูปกราบไหว้ฟ้าดิน เทพภูผาหิมะ ก่อนกลับเข้าไปเพื่อใช้เวลาทั้งวันนี้อยู่กับครอบครัวของตนเอง จนในเช้าวันฤดูหนาวแรกค่อยออกมาคำนับพ่อแม่ ก้าวขึ้นเกี้ยวเข้าวังกลายไปเป็นองค์หญิง

นี่เป็นเวลาเดียว ที่ชาวเมืองหลวงมีสิทธิ์ยลโฉมคุณหนูผู้กำลังจะกลายเป็นเชื้อพระวงศ์ของแม่ทัพใหญ่สกุลเว่ย

เว่ย อวี้ซู่

ความจริงลำพังแค่ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพ ก็มากพอจะให้ชาวเมืองทุ่มเทความสนใจให้แล้ว นี่ยังไม่นับคำร่ำลือปากต่อปากที่ไม่ทราบแพร่กระจายจากไหนว่า ธิดาคนโตกำพร้าแม่ของท่านแม่ทัพนั้นเป็นหญิงงามยากจะหาตัวจับได้ ประชาชนที่ส่วนใหญ่ก็ว่างงานในวันฉลองอยู่แล้ว จึงถือโอกาสไปร่วมใจกันมุงเผื่อเล่าสู่กันฟังเสียเรียกได้ว่าแทบหมดเมือง

ในส่วนนอกกำแพงเมือง บนทุ่งสนสูงที่มีแต่ครอบครัวเล็กๆเปิดร้านน้ำชาอยู่ก็ยังพลอยปิดไปกับเขาด้วย ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าไม่ไกลนัก มีม้าสีดำพ่วงพีตัวหนึ่งเหยาะย่างมองมาด้วยนัยน์ตาแสนรู้

มันควบเท้ามาใกล้ทุกขณะ หากครั้นแน่ใจว่าปราศจากผู้คนจริงๆก็กลับหยุดเท้า หันหลังหายหลับแนวสนไปเสียดื้อๆ

แต่เพียงพริบตามันก็โผล่มาใหม่ หากคราวนี้ บนแผ่นหลังกว้าง...ได้ปรากฏผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่งถูกทอดทิ้งไว้

ม้าดำตะกุยเท้า เหยาะย่างเร้นกายกลางหมู่สน อย่างที่คงมีเพียงมันเท่านั้น ที่มิได้ใส่ใจ่ต่อคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ย ที่กำลังเป็นที่สนใจของทั้งเมืองในยามนี้

คงมีเพียงมัน...ตัวเดียว


<>:<>:<>:<>:<>



หากนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด ! เพราะจริงแท้แล้ว ยังมีอย่างน้อยอีกผู้ที่ไม่คิดใส่ใจการปรากฏตัวของคุณหนูอะไรนั่นแม้แต่น้อย นางถึงขนาดภาวนาแทบจะเป็นสาปแช่งให้หิมะตกก่อนกำหนด ไต้ฝุ่นเข้า แผ่นดินไหวด้วยซ้ำ เผื่องานพิธีดังกล่าวจะยกเลิกไปได้ !

คนดังกล่าว...กลับเป็นเด็กสาวที่ควรจะยินดีที่สุดในวันนี้ แต่กลับนึกยินดีไม่ออก

นางคือเว่ย อวี้ซู่

เด็กสาวที่เค้าหน้าน่ารักน่าเอ็นดูราวตุ๊กตาน้อย กลับกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด งอกเขี้ยว คิ้วขมวดและหน้าตาถมึงทึงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ชนิดว่าหากสามารถแอบเร้นออกไปปะปนผู้คนข้างนอก ผลัดผ้าผ่อนได้ ย่อมไม่มีใครจับได้เป็นแน่ ว่านางคือ ธิดากำพร้าโฉมงามของท่านแม่ทัพ

“เธอ” มั่นใจ...ว่าขอเพียงมีโอกาสที่ว่า “เธอ” จะทำได้ แน่นอน !

แต่ทว่าบัดนี้...อย่าว่าแต่โอกาสเลย แค่ความคิดจินตนาการ ก็ไม่แน่ว่าจะมีสิทธิ์สำเร็จด้วยซ้ำไป เพราะเพียงหญิงอ้วนท้วมสมบูรณ์ กับหญิงร่างโปร่งระหงราวนางละครวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องขยับตาปรายมา เธอก็ต้องรีบปัดความคิดดังกล่าวทิ้ง ทำเป็นทบทวนสิ่งที่ตนเองต้องทำ ก่อนค่อยแยกเขี้ยวใส่ เมื่อทั้งคู่หันกลับไป

นี่นับเป็นการสถาปนาองค์หญิงบ้าบออะไรกัน...พิธีแต่งตั้งนักโทษอย่างเป็นทางการโดยแท้ !

ความจริง หากเป็นเด็กสาวอายุ 16 ...มีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าสีที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์ใช้ได้ รับชุดเครื่องประดับพระราชทานทองคำประดับมุกขางามตามทั้งชุด ใครบ้างเล่าจะไม่ตื่นเต้นดีใจ ปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่คาดหวังก็นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วนั่นแหละ

ทว่า....เรื่องเหล่านั้นกลับไม่ใช่ความจริง !

เพราะเมื่อหญิงสาวอายุ 20 คนหนึ่งได้รับของแบบนั้นมา เธอกลับมองเห็นได้ในพริบตาถึงเงื่อนไข กฎกระเบียบ รวมถึงเค้าอายแปลกประหลาดชวนให้ระมัดระวังตัวที่แนบมาพร้อมของเหล่านั้นอย่างไม่อาจแยกกันออก

ใครใช้ให้เธอดันพ้นวัยสาว 16 ย่างเข้าสู่วัย 20 ที่เลิกคิดถึงเรื่องความรักความสวยงามแบบนั้น เป็นวัยที่ต้องการแสดงความสามารถให้เห็นด้วยการทำงานกันเล่า ?

แล้วที่สำคัญ....ใครกัน...ที่ใช้ให้เธอไม่ใช่อวี้ซู่ บุตรีสุดสวาทของท่านแม่ทัพ ว่าที่องค์หญิง พระน้องนางในองค์รัชทายาท

แต่เป็นนางสาวมุกมณี วายุกูล อายุ 20 ปี ศึกษาคณะศิลปะศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์ ปี 4 สัญชาติไทย และที่อยู่ตามทะเบียนบ้านอยู่ที่กรุงเทพมหานคร !

สถานที่ซึ่งอยู่คนละโลกโดยสิ้นเชิง...กับแคว้นปิงแห่งนี้

มุกมณีแน่ใจ ว่าเธออยู่คนละโลกแน่ๆ หลังจากได้สติ...เมื่อร้องกรี๊ดโวยวายจนพอใจ และรับการมองแปลกๆจากผู้คนรอบตัวคล้ายกับว่าเธอเสียสติไปแล้วนั่นแหละ หญิงสาวจึงหุบปากและนิ่งเงียบทบทวนเรื่องที่ผ่านมาอย่างเอาเป็นเอาตาย

วันเวลาเป็นสิ่งแรกที่มุกมณีนึกถึง หากที่นี่ไม่มีทั้งนาฬิกาดิจิตอล กระทั่งปฏิทินหญิงสาวก็ยังมองไม่เห็นและไม่มีความกล้าพอจะถาม ได้แต่พยายามนึกลำดับเอาเองให้ได้มากที่สุด และก็นับเป็นเคราะห์ดีจริงๆที่ความทรงจำของเธอไม่ได้จากเธอไปเหมือนร่างกายดังที่เธอกังวล

หล่อนจำได้แม่นยำว่าวันนี้เป็นวันที่ทุกคนเพิ่งสอบปลายภาคเสร็จ แต่ยังไม่หมดกำหนดส่งรายงานประจำวิชา หากทว่าก็นั่นแหละ พวกเธอเป็นนักศึกษาปี 3 กำลังยุ่งได้ที่ทั้งเรียนทั้งกิจกรรม รายงานก็ต้องส่ง แต่กิจกรรมเข้าค่ายก็ต้องไป แล้วค่อยวกกลับมาส่งรายงานในวันเส้นตายสุดท้ายพอดีเมื่อออกจากป่า

จริงๆในความคิดส่วนตัวของมุกมณีเอง หล่อนไม่ถือว่าสถานที่แห่งนั้นนับเป็น “ป่า” อะไรนักหนา เพราะมันมีความสะดวกสบายหลายอย่าง ไม่ต้องคว้านน้ำขึ้นมาอาบเอง ไม่ต้องก่อกองไฟทุกคืนในตอนดึกๆ เว้นจากเสียงหรีดริ่งเรไรสลับอึ่งอ่างคางคกในบางคืน ก็ไม่มีสรรพสำเนียงจากสัตว์ชนิดใดรบกวนอีก

ควรบอกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนแบบใกล้ชิดธรรมชาติ ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกสมัยใหม่สอดแทรกไปไม่ให้เสียอรรถรสมากกว่า

การเข้าค่ายนั้นผ่านไปโดยเรียบร้อยจนถึงกิจกรรมรอบกองไฟในคืนสุดท้าย

ไม่สิ...ก่อนจะถึงเวลาค่ำคืนต่างหาก

ตอนนั้นมันก็เกิดเรื่องขึ้น....

หญิงสาวเม้มปากแน่น หลุบตาลงต่ำเมื่อความทรงจำของเรื่องราวนั้นไหลบ่าชัดเจน...โดยเฉพาะในตอนก่อนที่หล่อนจะกลับเข้าไปนอนในที่พักคนเดียว และหลับไปในที่สุดนั่น

ใครจะไปคิดกันล่ะ ว่านั่น...จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของหล่อน...

ก่อนที่จะสะดุ้งตื่น...ที่นี่ สภาพนี้...พร้อมความเจ็บปวดนั่น !

มุกมณีกำมือแน่น ปลายนิ้วของอวี้ซู่เรียวยาวและบอบบางจนเพียงปลายเล็บแตะเล็กน้อยก็ทำให้หล่อนเจ็บจนแทบแยกเขี้ยว ต้องรีบคลายมือ หากยังไม่คลายความมุ่งมั่นในจิตใจ

จะให้หล่อนยอมอยู่รับสภาพนี้น่ะหรือ ? ให้หลับฝันแล้วตื่นมาอีกทียังไม่มีทางเลย !

หล่อนมีเรื่องต้องกลับไป...จัดการ

“ต้อง” กลับไป ให้จงได้ !

“คุณหนู” สาวใช้ร่างอ้อนแอ้นร้องเรียก สุ้มเสียงอ่อนหวาน แต่กังวานหนักแน่นเรียกความเย็นเยียบให้ไต่เดี๊ยะตามสันหลังคนฟังอย่างประหลาด “ใกล้ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ”

หญิงสาวหันหน้าไปมอง สาวใช้ผู้พ่วงตำแหน่งทวารบาลและผู้คุมทั้งสองยืนคอยอยู่พร้อมรอยยิ้มที่แลเลยไปถึงดวงตา

มุกมณีผุดลุกขึ้น พาเรือนร่างระหงบอบบางราวกลีบดอกไม้อ่อนหวานในชุดสีฟ้าสลับส้มแซมเหลืองของอวี้ซู่ก้าวเดินออกไปเบื้องหน้า ออกพ้นประตูรับรองไปในที่สุด...

ตอนนี้...เห็นมีแต่ต้องตามน้ำไปก่อนเท่านั้นแหละ

หากอย่าให้หล่อนมีโอกาสแล้วกัน !


<>:<>:<>:<>:<>



ยามเที่ยงเป็นเวลาตะวันตรงหัวดูจะเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่แปรเปลี่ยนไม่ว่าที่ไหน แสงแดดที่ยังเหลือแรงร้อนแม้ใกล้เวลาหนาวเหน็บทุกขณะแผดจ้า ทว่าสายลมเย็นพัดโชยจากทิวเขาก็ทอนอำนาจนั้นไปไม่น้อย ชาวชุมชนในเมืองหลวงของแคว้นปิงจึงไม่ยี่หระต่ออิทธิพลธรรมชาติดังกล่าว และยังคงตั้งหน้าชะเง้อคอมองไปที่ถนนหน้าจวนแม่ทัพเว่ยที่บัดนี้กำลังจะเปิดรอรับราชโองการแต่งตั้ง

เสียงฆ้องลั่นจากวังหลวงที่อยู่อีกฟากข้างดังแว่วมาก่อน ตามธรรมเนียมกึ่งส่งสัญญาณแจ้งการมาเยือน และยามนั้นเองที่ประตูไม้บานใหญ่สองฟากข้างค่อยเคลื่อนออกจากกัน

คุณหนูใหญ่ของท่านแม่ทัพเว่ย จะเป็นผู้ก้าวออกมารอรับราชโองการด้วยตนเอง

ฝูงคนสงบเสียงลง หนึ่งนั้นเพราะเสียงตีฆ้องที่กำลังเข้ามาใกล้ทุกขณะ หากอีกส่วน...ที่คงน้ำหนักมากกว่า ย่อมไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเป็นเพราะร่างแช่มช้อยที่ค่อยก้าวออกมา

ในวัย 16 ปี ดรุณีที่ก้าวออกมาดูคล้ายพร้อมเบ่งบานเต็มที่ เรือนผมสีดำสนิทเกล้าปักปิ่นเงินสลับแซมมุกสวยสะกระจ่างตา และขับเน้นวงหน้าเรียวได้รูปทรงไข่ที่แต้มติดความอ่อนหวานด้วยนัยน์ตากลมโต กับจมูกโด่งและปากเล็กๆจิ้มลิ้มพริ้มเพรา

แพรอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้า...อันเป็นโทนสีที่อนุญาตให้เชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงสวมใส่เท่านั้นขับเน้นผิวขาวผ่องผุดผาดไม่แผกผิดหิมะของนาง ข้อมือเล็กๆที่โผล่พ้นชายเสื้อสวมใส่กำไลหยกสีเขียวจัดแลคล้ายบ่วงประดับเกาะเกี่ยวนางนกน้อยผู้งดงามเริงร่า

ผู้คนที่มาเฝ้าจับจองที่จนได้ทำเลดีพอจะมองเห็นชัดสูดลมหายใจ เมื่อนางกะพริบตาปริบให้แพขนตางอนยาวกระพือไหวคล้ายปีกผีเสื้อ ก่อนหลุบตาลงอย่างสะทกสะท้อนเอียงอาย

ไม่มีผู้ใดกังขาอีกต่อไป....ว่าคุณหนูเว่ย อวี้ซู่ จะไม่ใช่ยอดหญิงงาม...เกรงว่าถ้าไม่มีราชโองการโปรดเกล้าฯลงมาเสียก่อน ภายในไม่กี่วันถัดจากมีผู้พบเห็นนางเช่นนี้ จวนของแม่ทัพเว่ยเห็นจะมีแขกไปเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายเป็นแน่ !

แต่บัดนี้ เมื่อโองการแต่งตั้งกำลังเดินทางมาเยือน เห็นโคมสีฟ้าอ่อนสลับขาวนำทางมาแต่ไกล ผู้คนก็ล้วนได้แต่จับจ้องติดตรึงความงามของนางไว้ในความคิดเท่านั้นเอง

เมื่อต่างคนต่างพยายามจ้องมอง ชะโงกชะเง้อให้เห็นชัดกันที่สุด ด้านหลังจึงปลอดโปร่งโล่งสบาย พอให้ร่างสูงสันทัดร่างหนึ่งยืนเอนอิงพิงไปพลางควักถุงหนังใส่น้ำกรอกใส่ปากและเทราดหน้าตนเองส่งท้ายได้อย่างสบาย

ความจริง ไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนมัวแต่ฮือพยายามมองไปข้างหน้าเท่านั้น ที่ทำให้ตรงนี้ปราศจากผู้คน แต่ยังเป็นเพราะร่างที่ยืนอยู่นั้น... แม้คราบน้ำจะเพิ่งช่วยชำระล้างใบหน้าไปหมาดๆ แต่ก็ยังไม่อาจลบคราบเปื้อนหรือรอยแผลขีดข่วนบนวงหน้าเข้มแลเห็นไรหนวดเคราจางๆ จนทอนความน่ากลัวลงไปได้อยู่ดี

มันยกฝ่ามือขึ้นปาดหยาดน้ำบนหน้าผาก ก่อนชะงักอย่างนึกได้ ลดมือลงมามอง...แลเห็นคราบสีดำที่เคยแข็งจับฝ่ามือ มาบัดนี้ค่อยๆละลายและคงหายไปบนหน้าผากที่เพิ่งสัมผัสเมื่อครู่ จึงได้แต่ทอดถอนแล้วทิ้งมือลงอย่างไม่คิดสนใจเช็ดหน้าเช็ดตาอีก

ไม่เพียงใบหน้าเท่านั้น หากเสื้อผ้าสีน้ำตาลขะมุกขะมอมมัวหมองด้วยฝุ่นทรายที่เห็นได้ชัดว่าติดเต็มเนื้อตัวของมันทำให้หลายคนถอยห่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนบอกชัดว่ามันเป็นคนผ่านทางมาจากแคว้นอื่น

ที่จริงชาวแคว้นปิงไม่มีใครรังเกียจคนต่างถิ่น แต่คนที่แทบเรียกได้ว่าสกปรกมอมแมมเช่นนี้....คงต้องรอไล่ให้มันไปอาบน้ำผลัดผ้าก่อน ผู้คนที่แต่งตัวอย่างดีในงานฉลองจึงจะยินดีสนทนากับมัน

แต่คล้ายคนผ่านทางก็ไม่ใส่ใจจะให้ใครมาสนทนากับตนเช่นกัน นี่กับเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องออกปาก ใช้สายตามองไปเบื้องหน้าได้อย่างเต็มที่

ในดวงตารีสีดำเข้มจัดนั้นหรี่ลง เขม้นมองผ่านช่องว่างเพียงชั่วหยิบมือ พุ่งตรงข้ามผ่านฝูงชนออกไปเบื้องหน้า

เรือนร่างแบบบางชวนทะนุถนอม....ของคุณหนูเว่ย อวี้ซู่ !

สีดำที่เข้มจัดกลับผุดภาพสะท้อนขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เห็นชัดถึงแม้เพียงแพขนตาหนาที่กระพือขึ้นลงอย่างพยายามซ่อนเร้นแววบางอย่างในดวงตาของสาวน้อยโฉมงาม

ความกังวลอันไม่อาจซ่อนเร้น !

คนจรต่างถิ่นขบกรามแน่นกับภาพที่เห็น ยกถุงน้ำขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ ข่มคลื่นอารมณ์อันพลุ่งพล่านที่มีแต่ตนที่รู้สึก ท่ามกลางความยินดีของฝูงชนที่ชื่นชมขบวนราชโองการที่มาถึงในที่สุด

ธงทิวสีฟ้าหน้าเกี้ยวราชโองการปลิวสะบัด ก่อนคำอ่านจะกึกก้องไปทั่วบริเวณ และร่างอรชรของสาวน้อยผู้นั้นก็ก้มหน้ายอบตัวรับพระราชทานตำแหน่ง

น้ำหยดหมดถุงในที่สุด ให้เจ้าของทิ้งมือหยาบใหญ่ลง ในดวงตาที่มองไปเห็นอะไร คาดคะเนสิ่งใด...ยังคงมีแต่มันที่รู้เพียงผู้เดียว

มันเร้นกาย...หายไปในที่สุด


<>:<>:<>:<>:<>



มุกมณีได้แต่ทอดถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อนที่สะสมมาตั้งแต่สองสามวันก่อนในช่วงเตรียมงานพิธี มาบัดนี้หญิงสาวได้แต่ครุ่นคิดเพ้อหาหมอนนุ่มๆที่นอนที่แม้ไม่มีสปริง แต่อย่างน้อยผ้าปูรองก็หนาสบายตัวนี้แล้ว

อย่างน้อยไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านเดิม โลกเดิม ขอเธอพักเอาแรงแบบมนุษย์ปกติชนทั่วไปเขาพักกันก็อย่างดี....เป็นความปรารถนาสูงสุดที่มาก่อนการกลับบ้านเสียอีกในเวลานี้ แต่กว่ามันจะเป็นจริงได้ ก็ทำให้มุกมณีซาบซึ้งกับคำว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆไปอีกนานแสนนาน

เธอรู้มาก่อนแล้วว่าธรรมเนียมของพิธีแต่งตั้ง...หลังจากไปยืนโชว์ตัวคล้ายแพนด้าในสวนสัตว์เชียงใหม่เมื่อตอนเที่ยงเสร็จ ก็จะเป็นเวลาของครอบครัว ทีแรกหล่อนหลงดีใจว่าท่านแม่ทัพยังติดราชการอยู่ แม่ของอวี้ซู่ก็ชิงเสียไปตั้งแต่ตอนคลอดเด็กหญิงได้ไม่เท่าไร เรื่องนี้ก็คงเป็นได้แค่ธรรมเนียมแต่ในนาม

หากที่ไหนได้ .....ขนบอย่างหนึ่งของโลกได้ปรากฏให้เห็นอย่างรวดเร็วทันใจ ทำให้คนดูแทบตาเหลือก ยามเมื่อทั้งของกำนัลทั้งอาหารถูกส่งจากภรรยาน้อยทั้งห้าคนและน้องสาวของอวี้ซู่ในช่วงเวลาไม่ห่างกันนัก

พรุ่งนี้ไปเป็นองค์หญิง แต่วันนี้ยังเป็นครอบครัว ...ได้รับของมาต้องตอบแทนกลับ เป็นสิ่งที่ผู้ดูแลทั้งสองที่มุกมณีได้รับมาชี้แจงนักหนา ดังนั้นถึงแม้หล่อนจะไม่ต้องใช้เวลาไปกับครอบครัว แต่ก็ต้องจัดของตอบแทนกลับให้จนหมดเวลาช่วงบ่ายไปจนหมดอยู่ดี

แต่ที่นอนก็ยังไม่ยอมลอยมาหา....เพราะหลังจากนั้น คุณหนูผู้ต้องงดงามอยู่เสมอก็โดนจับเคี่ยวเข็ญไปอาบน้ำ ก็ยังดีหรอก ที่ตอนเย็นนี้อากาศหนาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงต่อรองขอแค่เอาน้ำเช็ดๆเนื้อตัว ก่อนจะได้นั่งกินอาหารเย็นในที่สุด

คิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็ถอนหายใจอีกเฮือก ใช้ตะเกียบคีบชิ้นไก่ตุ๋นรสดีเข้าปากเป็นการระบายอารมณ์ พลางปลอบใจตัวเองอย่างแกนๆว่าอย่างน้อยค่าอาหารตอบแทนความเหนื่อยของหล่อนมื้อนี้ก็ไม่เลวนักหรอก

ยังดี...ที่สองสาวนั่นพอจะรู้มารยาท หรือไม่ก็อาจดูออกว่าถ้าเธอยังถูกตามติดประหนึ่งมีผู้คุมคุมแจทุกสถานการณ์อย่างนี้ ขีดความอดทนของหล่อนอาจจะ “ขาดเปรี้ยง” ลงได้ มื้ออาหารนี้จึงมีเพียงหญิงสาวผู้เดียวในห้องเล็กๆที่อบอุ่นตัดกับอากาศหนาวเย็นภายนอก

ฟังว่าแคว้นนี้ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของแผ่นดิน ภูมิอากาศค่อนข้างหนาวเหน็บ และมักมีหิมะตกจนผู้คนนับถือ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับสังคมที่มีรูปแบบละม้ายคล้ายคลึงสมัยโบราณเช่นนี้

เพราะมนุษย์พึ่งพิงธรรมชาติ ดังนั้นจึงให้ความนับถือ

เพราะมนุษย์ไม่อาจควบคุมธรรมชาติ จึงกลัวเกรงเสมอมา

ความจริงที่หล่อนแอบสนใจ ไม่ใช่ความเชื่อถือของคนที่นี่เสียทีเดียว แต่เป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับความเชื่ออย่างวิทยาการบางอย่างต่างหาก

หญิงสาวเคยนึกกังขาเสมอมา เหตุใดผู้คนที่อยู่ในที่ๆไม่มีกระทั่งดาวเทียมคอยจับภาพบรรยากาศชั้นฟ้า จึงสามารถบอกเล่าสภาพอากาศได้อย่างแม่นยำ...จนบางครั้งก็แม่นเสียยิ่งกว่าการใช้เทคโนโลยีนั้นเสียอีก

แม้จะพอเข้าใจได้...ว่ามันก็อาจคล้ายคลึงกับการที่ลูกทะเลจะรู้เสมอเมื่อท้องน้ำครวญคลั่ง คนทรายจะทราบทุกครั้งที่พายุใหญ่ตระเตรียมพัด แต่ไม่ว่าเรื่องไหนๆก็ควรจะมีหลักเกณฑ์พอให้จับต้องได้อยู่ดี

และวิทยาการ...กับพลังงานที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้นี่แหละ ที่อาจเกี่ยวพันกับการ “กลับ” ของหล่อน !

หญิงสาวเคาะตะเกียบกับจานเปล่าอย่างครุ่นคิด ไก่ตุ๋นหั่นชิ้นหมดในที่สุด ตามที่ได้รับแจ้ง หลังของคาวจะมีของหวานร้อนๆมาล้างปากให้คุณหนูคนดีที่ไม่ยักอ้วน หากมุกมณียังไม่มีแก่ใจอยากรับประทาน...หรืออีกนัยหนึ่งก็คือยังทำใจรับผู้คุมกลับเข้ามาพร้อมของรับประทานส่งท้ายเหล่านั้นไม่ได้

หล่อนอยากใช้เวลาคิด....กับชะตากรรมของตนเองต่อไปมากกว่า

แต่หญิงสาวลืมสนิทไปอย่าง....ว่านับแต่สะดุ้งตื่นขึ้นมานั้น คำขอของหล่อนไม่เคยเป็นจริงสักประการเดียว !

ดังนั้น ตะเกียบในมือจึงร่วงหล่นกระทบเกล้งกับจานเคลือบลวดลายเถาไม้ เกือบจะพร้อมๆกับเสียงโครมครามของด้านนอก

คงไม่ใช่....

“ผู้บุกรุก ! จับมัน !!!”

สวรรค์ ! ใช่เลยหรอกเรอะ !?

ร่างอ้อนแอ้นของอวี้ซู่ที่มุกมณีถือครองนั่งตัวตรงเกร็งขึ้นมาทันที ลางสังหรณ์กับการคาดคะเนผุดพรายขึ้นมาพร้อมกันและแย่งครองเนื้อที่ความคิดอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่เป็นข้อเดียวกัน

ผู้บุกรุก...ในวันสำคัญของเธอ....คงไม่ใช่ว่า.....

ปัง !!!!

หน้าต่างไม้ที่เคยปิดสนิทลั่นลงดาลอย่างดี ป้องกันอากาศหนาวจากภายนอกกลับคล้ายถูกกระแทกอย่างแรงเข้ามาภายในพร้อมเสียงสนั่นหวั่นไหว

มุกมณีไม่รอให้สิ้นเสียงนั้นด้วยซ้ำ...ปฏิกิริยาของหญิงสาวไวยิ่งกว่าความคิดจะประมวลผลร้อยแปด ร่างกายก็จัดแจงมุดเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะกลมเรียบร้อยเสียแล้ว

หญิงสาวดึงเข่าขึ้นกอด ตรวจดูชายผ้าอาภรณ์จนแน่ใจว่าไม่มีหลุดรอดออกนอกรัศมีโต๊ะ แล้วค่อยชำเลืองมองแสงเงาบนพื้นว่าปรากฏความเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่

แสงสว่างและเงาทุกอย่าง...ยังนิ่งสนิท

มุกมณีนับหนึ่งถึงห้าสิบ...ก่อนจะค่อยๆมุดออกมาจากใต้โต๊ะ มองซ้ายขวาให้แน่ใจอีกครั้งแล้วถอนหายใจลุกขึ้นยืน

และวินาทีนั้นเองที่หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย

หน้าต่างยังถูกเปิดอ้า แม้ต่อที่มันถูกกระแทก หล่อนไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าเป็นบานไหน ทว่าเมื่อดูจากตำแหน่งที่แทบจะอยู่ด้านหลังที่นั่งเดิมของหล่อน ความสงสัยก็ผุดพราย

หน้าต่างถูกกระแทก เสียงดังออกจะปานนั้น แต่เหตุใดไม่มีใครมาดูที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว ?

คำถามที่ไม่มีใครตอบได้แม้แต่ตนเองทำให้หญิงสาวรีรอ ไม่เดินไปเอื้อมมือปิดหน้าต่างอย่างที่ควรจะเป็น เพียงยืนมองมันอย่างใช้ความคิด

และตระหนักในเวลารวดเร็วว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ !

หล่อนมัวแต่ระแวดระวัง...โดยลืมไปว่าความระวังเช่นนั้นจะทำให้คนเราเผลอเพ่งมองมากกว่าเดิม ยิ่งค่ำคืนนี้ทุกแห่งหนจะประดับด้วยโคมไฟรอต้อนรับหิมะแรกของปี แสงสลัวจึงสาดส่องลงกระทบหลายมุมที่เคยเป็นมุมมืดให้ปรากฏเห็นเป็นเค้าลาง

หญิงสาวจึงไม่เฉลียวใจในทีแรก เมื่อเงาร่างระหงเดินลัดเลาะผ่านแนวต้นไม้ในสวนด้านข้างของห้องพัก ที่ทะลุไปเขตเรือนพักของผู้อื่น ไม่เอะใจแม้แต่นิด...แม้ว่าแพรผ้าสีชมพูอ่อนนั้นจะเลือนรางจนบางครั้งบางคราคล้ายกลืนหายไปในสายลมราตรีที่โชยพัด

ไม่เฉลียวใจแม้เงาร่างนั้นหยุดเดิน...เพียงแต่รู้สึกตัวด้วยความพิศวงเล็กน้อยว่ามีใครมาเดินอยู่ตรงนั้นแต่เมื่อไร

ไม่เฉลียวใจว่าวงหน้าที่หันกลับมา....แม้งามแฉล้มหากก็มีดวงตาที่ลุกเรืองราวเปลวไฟ กับคราบโลหิตเกรอะกรังตามเสื้อผ้าคล้ายรอยแต้มประดับของศิลปิน

เป็นความงามอันน่าขนลุก...

งามจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นมนุษย์ และน่าขนลุกเกินกว่าจะเป็นของมนุษย์ !

มุกมณีถลาเข้าไปผลักบานหน้าต่างรวบเข้าหากันทันที !

หญิงสาวสับลงกลอนอีกครั้งด้วยความรวดเร็วเกินกว่าที่ตัวเองจะนึกถึง แล้วกระโดดโหยงออกจากหน้าต่างมายืนหันหลังให้โต๊ะอาหาร มือควานได้แจกันลายครามหนึ่งอันมาถือไว้ในมือต่างอาวุธ

เสียงเล็กๆในใจกระตุ้นเตือนว่าของเช่นนี้คงไม่มีประโยชน์ แต่มือของเด็กสาวที่มุกมณียึดถือร่างไว้ก็ยังจับแน่นอยู่ดี เพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว

อย่างน้อย...ก็น่าจะพอเบี่ยงเบนความสนใจได้กระมัง

หล่อนนับเลขอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจจะนับถึงหกสิบ...แล้วค่อยผ่อนความระมัดระวังลง

ตัวเลขเพิ่งจะไปถึง 18 เสียงถอนหายใจตามด้วยเสียงห้าวก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง...โต๊ะกลมที่หล่อนอาศัยพิงนั่น

มุกมณีไม่รีรออะไรอีกต่อไป หญิงสาวหมุนตัว รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเทใส่มือที่จับแจกัน ทุ่มลงไปบนร่างสูงที่เห็นไวๆว่าขะมุกขะมอมและทรุดโทรมจนไม่น่ามาอยู่ที่นี่ได้แน่ๆทันที !


<>:<>:<>:<>:<>



ขอบคุณท่านที่ติดตามอ่านทุกท่านด้วยนะคะ

ทุกความเห็น ทุกการแสดงให้รู้ว่ามีคนแวะเวียนมาในเรื่องนี้ทำให้มีกำลังใจจะเขียนเรื่องนี้เสมอค่ะ ยิ่งตอนนี้...ที่อย่าเรียกว่าปรับแก้เลย เรียกว่ายกเครื่องใหม่คงจะพอเหมาะกว่า ทำให้อาจมีอะไรหลายอย่างที่ยังไม่เข้าที่ ไม่ลงตัว ทุกคำติของทุกท่าน คงเติมพลังให้เป็นอย่างดี

และที่สำคัญ ถ้าท่านรู้สึกสนุกกับเรื่องสักนิด จะยินดีอย่างยิ่งเชียวค่ะ

แล้วพบกันใหม่ในวันพุธ สัปดาห์หน้า เหมือนเคยนะคะ ^^




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2555
0 comments
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 0:08:03 น.
Counter : 616 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


XueYitan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add XueYitan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.