|
|
ส่วนขยาย START ใหม่ให้ประโยชน์เฉพาะรัสเซียและจีน |
|
|
ส่วนขยาย START ใหม่ให้ประโยชน์เฉพาะรัสเซียและจีน
โตเกียว – ประธานาธิบดีโจไบเดนของสหรัฐฯและประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ปูตินของรัสเซียได้ตกลงโดยทั่วไปที่จะขยายสนธิสัญญาการลดอาวุธทางยุทธศาสตร์ใหม่หรือการเริ่มต้นใหม่ภายในห้าปีเพื่อช่วยให้สนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ฉบับสุดท้ายที่เหลืออยู่ไม่หมดอายุ
การตายของสนธิสัญญาซึ่งกำหนดขีด จำกัด 1,550 หัวรบนิวเคลียร์ที่ติดตั้งใช้งานหรือระยะไกลอาจก่อให้เกิดการแข่งขันทางอาวุธใหม่
นี่เป็นการตัดสินใจที่น่ายินดี แต่เรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่คิด
รัสเซียมีความสุขมากกับข้อตกลงดังกล่าวตามที่ระบุว่าเครมลินประกาศ “แลกเปลี่ยนบันทึกทางการทูตเกี่ยวกับข้อตกลงที่จะขยาย” ได้เร็วเพียงใดหลังจากมีการคุยโทรศัพท์ระหว่างเขากับไบเดนเมื่อวันอังคาร ปูตินยังแสดงให้เห็นถึงความสุขของเขาด้วยการส่งใบเรียกเก็บเงินสำหรับการขยายเวลาไปยังรัฐสภาทันทีซึ่งทั้งสองบ้านลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ผ่านการประชุมฉุกเฉินที่จัดขึ้นเมื่อวันพุธ
มอสโกสิ้นหวังที่จะขยายสนธิสัญญาดังกล่าวซึ่งยังกำหนดข้อ จำกัด เกี่ยวกับจำนวนระบบส่งมอบนิวเคลียร์เชิงกลยุทธ์ที่ใช้งานได้จริงเช่นเครื่องยิงขีปนาวุธข้ามทวีปและเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักที่ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ สนธิสัญญาดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่การรักษาสมดุลของคลังแสงนิวเคลียร์ระหว่างสองชาติจะหมดอายุในวันที่ 5 กุมภาพันธ์
หลังจากสนธิสัญญา INF หรือสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยกลางถูกยกเลิกในปี 2562 สหรัฐฯและรัสเซียเริ่มติดตั้งขีปนาวุธทางบกที่มีพิสัยสั้น 500 กม. ถึง 5,500 กม. ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม เนื่องจากเวลาบินสั้นขีปนาวุธเหล่านี้จึงถูกมองว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสงครามนิวเคลียร์
เห็นได้ชัดว่ารัสเซียต้องการหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านอาวุธอย่างเต็มรูปแบบกับสหรัฐฯเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะซบเซามาหลายปีและใช้จ่ายน้อยกว่า 10% ของสิ่งที่สหรัฐฯทำในการป้องกัน
ในเดือนตุลาคมเมื่อการสิ้นสุดของ New START สิ้นสุดลงปูตินเสนอให้มอสโกและวอชิงตันขยายสนธิสัญญาอย่างน้อยหนึ่งปีโดยไม่กำหนดเงื่อนไขใด ๆ
ในการตอบสนองฝ่ายบริหารของโดนัลด์ทรัมป์เรียกร้องให้รัสเซียไม่เพิ่มคลังแสงของหัวรบ มอสโกตกลงที่จะตรึงคลังไว้ที่ระดับปัจจุบันเป็นเวลาหนึ่งปี
แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่เคยได้ข้อสรุปเนื่องจากฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้เริ่มพัฒนาหัวรบเชิงกลยุทธ์แล้วซึ่งรวมถึงขีปนาวุธทางบกที่มีพิสัยน้อยกว่า 500 กม. รัสเซียเป็นผู้นำในด้านนี้ เห็นได้ชัดว่าวอชิงตันไม่ต้องการเปิดเผยว่ามีหัวรบทางยุทธวิธีจำนวนเท่าใดหรือติดตั้งที่ใด
“ ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งแต่แรกอาจตั้งเป้าที่จะปล่อยให้การเริ่มต้นใหม่หมดอายุลง” ชินจิฮโยโดผู้อำนวยการแผนกการศึกษาภูมิภาคของสถาบันการศึกษาด้านการป้องกันประเทศกล่าวสะท้อนผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในเรื่องนี้ ดังนั้นทรัมป์จึงสร้างอุปสรรคสูงในรูปแบบของเงื่อนไขที่รัสเซียไม่สามารถยอมรับได้และเรียกร้องให้จีนเข้าเป็นภาคีในข้อตกลงดังกล่าว
แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากที่ Biden สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคมประธานาธิบดีคนใหม่ตกลงที่จะขยายเวลาออกไป 5 ปีตามที่สนธิสัญญาเรียกร้องให้ใช้เวลาแทนที่จะเป็นหนึ่งปีและไม่กำหนดเงื่อนไขใด ๆ “ดีกว่ามอสโกวที่ดีที่สุดที่คิดไว้” ฮโยโดกล่าว
รัสเซียไม่ใช่ประเทศเดียวที่พอใจกับความก้าวหน้าทางการทูต จีนก็เช่นกัน
ปักกิ่งปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกรอบการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ที่เสนอโดยทรัมป์ ในขณะที่ยินดีต้อนรับข้อตกลงไบเดน – ปูตินจีนย้ำว่าจุดยืนของตนมีความชัดเจนอย่างต่อเนื่อง
ในรายงานเกี่ยวกับการสะสมทางทหารของจีนที่เผยแพร่ในเดือนกันยายนกระทรวงกลาโหมสหรัฐเตือนถึงการขยายอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศโดยกล่าวว่าในทศวรรษหน้าคลังเก็บหัวรบนิวเคลียร์ของจีนซึ่งปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำสุด 200 วินาที ให้มีขนาดอย่างน้อยสองเท่าในขณะที่จีนขยายและปรับปรุงกองกำลังนิวเคลียร์ให้ทันสมัย ”
จีนได้ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยานในการเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการวัดต่างๆรวมทั้งด้านการทหารภายในปี 2592 เมื่อสาธารณรัฐประชาชนฉลองครบรอบหนึ่งร้อยปี
เว้นแต่จีนจะเข้าร่วมในสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ – รัสเซียข้อได้เปรียบด้านศักยภาพด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯที่มีเหนือจีนซึ่งยังคงมีอยู่มากมีแนวโน้มที่จะแคบลงในอีกห้าปีข้างหน้า
ข้อตกลงในการขยายการเริ่มต้นใหม่อาจส่งผลกระทบอย่างละเอียดต่อความสัมพันธ์สามฝ่ายของสหรัฐฯจีนและรัสเซีย
ปักกิ่งและมอสโกกำลังพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหารโดยได้รับแรงหนุนจากการต่อต้านที่มีต่อสหรัฐฯ
ปูตินให้ความเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะสร้างพันธมิตรทางทหารกับจีนเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมากล่าวว่า “ในทางทฤษฎีแล้วมันค่อนข้างเป็นไปได้ที่จะจินตนาการได้”
แต่ลึก ๆ แล้วปูตินยังกังวลว่ารัสเซียอาจถูกดูดเข้าไปในขอบเขตอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีน คำพูดของปูตินดูเหมือนจะเป็นข้อความทางการทูตที่เรียกร้องให้สหรัฐฯอย่าให้ความสำคัญกับรัสเซียในระยะสั้น ๆ
ระหว่างคุยโทรศัพท์กับปูตินเมื่อวันที่ 26 มกราคม Biden แสดงความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมตัวของผู้นำฝ่ายค้าน Aleksey Navalny ของมอสโกยืนยันการสนับสนุนอย่างมั่นคงของวอชิงตันต่ออำนาจอธิปไตยของยูเครนและกล่าวถึงการแทรกแซงที่ถูกกล่าวหาของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2020 แต่ไบเดนและปูตินยังตกลงที่จะสำรวจการหารือเกี่ยวกับเสถียรภาพเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการควบคุมอาวุธและปัญหาด้านความมั่นคงที่เกิดขึ้นใหม่รวมถึงโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ปูตินมีแนวโน้มที่จะคว้าโอกาสจากความเต็มใจของ Biden ที่จะมีส่วนร่วมในการเจรจากับมอสโกเพื่อแก้ไขความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดของประเทศของเขากับสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันรัสเซียและจีนกำลังปรับกลยุทธ์ในการจัดการกับสหรัฐฯเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ฝ่ายบริหารของ Biden กำหนดไว้
แต่ทำเนียบขาว Biden เตรียมรับมือกับความท้าทายทางการทูตที่เกิดจากอำนาจเหล่านี้หรือไม่?
ยังไม่ชัดเจนว่า Biden มุ่งมั่นที่จะลดอาวุธนิวเคลียร์จริงหรือไม่ การตัดสินใจขยายสนธิสัญญาเริ่มใหม่อาจสะท้อนถึงอดีตของเขาในฐานะรองประธานาธิบดีของประธานาธิบดีบารัคโอบามาผู้ซึ่งกำหนดวิสัยทัศน์ของ “โลกที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์” และลงนามในสนธิสัญญา นอกจากนี้ยังอาจสะท้อนถึงแรงกดดันจากภาระทางการคลังจำนวนมากในการจัดการกับผลที่ตามมาของการแพร่ระบาดของ COVID-19
หาก Biden ต้องการสร้างความแตกต่างในการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างแท้จริงเขาจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการดำเนินการที่มีประสิทธิผลตามที่เจ้านายเก่าของเขาแสดงออกมา
หากเขาตัดสินใจที่จะขยายสนธิสัญญาเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเพื่อย้อนกลับนโยบายของทรัมป์โดยไม่ต้องมีกลยุทธ์ที่สอดคล้องกันในการจัดการกับความท้าทายการตัดสินใจดังกล่าวจะทำให้รัสเซียมีพื้นที่หายใจและจีนเท่านั้นในการเสริมสร้างคลังแสงนิวเคลียร์ ภาพรวมอาจเป็นโลกที่กำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กว่าจากอาวุธนิวเคลียร์
| Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2564 |
| Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2564 10:55:01 น. |
|
0 comments
|
| Counter : 426 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|
