จากแผนที่
นาลเดห์รา ตั้งอยู่ห่างจาก ชิมลา ไปประมาณ 20 กิโลเมตร
ตาตาปานี อยู่ไกลกว่าในระยะทาง 50 กิโลเมตร สภาพเส้นทางก็เหมือนกับการนั่งรถที่ขับเลียบไปตามไหล่เขา
ดังนั้น เรื่องของเวลาที่ใช้ไปจึงค่อนข้างนานพอสมควร
เมื่อเอาไปเทียบกับตัวเลขบอกระยะทางที่หลักกิโล
หน้าตาของ Rivoli Bus Stand
เบาะฝั่งซ้ายมักจะเขียนระบุบอกไว้ว่าเป็น ที่นั่งสำหรับสุภาพสตรี แต่บางครั้งถ้าเกิดว่ารถยังไม่เต็มหรือยังมีที่ว่างเหลือก็จะเห็นผู้ชายไปนั่งแทนที่เป็นปกติบางช่วงเวลาที่รถจอดรับผู้โดยสารบางจุด ก็จะมีกลุ่ม พ่อค้าเร่ เดินขึ้นมาบนรถแบกขนม ของกิน มาขายกันให้จอแจไปหมด เอาเป็นว่าหากไม่มีปัญหาเรื่องท้องไส้แล้ว เราเองก็แทบจะไม่จำเป็นต้องพกของกินติดตัวไปเลยด้วยซ้ำ (จงใช้วิจารณญาณ และฟังเสียงท้องไส้ของตัวเองเป็นมาตรฐานหลักนะ)
ประมาณชั่วโมงเศษกับระยะทาง 20 กิโลเมตร กับสถานที่แรก นาลเดห์รา
ช่วงขามาให้พยายามนั่งรถฝั่งขวาจะได้สังเกตเห็นจุดหมายง่าย ๆ
ซึ่งบริเวณด้านหน้าทางเข้าอุทยานนี้จะมีรถนำเที่ยวมาจอดเต็มไปหมด
รวมไปถึงเหล่าม้าทั้งหลายที่มายืนรอให้คนมาขี่
นาลเดห์รา ตั้งอยู่บนความสูง 2,044 เมตร จากระดับน้ำทะเล แวดล้อมไปด้วยป่า
ที่เขียวขจี มันถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1905 โดย Lord Curzon เมื่อครั้นยังดำรง
ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอินเดีย (Viceroy of India) ให้ช่วงปีสุดท้าย
ที่มาของชื่อนี้ มาจากการรวมคำ ระหว่าง Nag ที่หมายถึง เทพแห่งงู
และ Dehra ซึ่งแปลว่า ที่พำนัก, ที่อยู่อาศัย มีศาลเทพเจ้าโบราณที่เป็นงูตั้งอยู่
แต่ไม่ได้แปลว่ามีงูชุกชุมนะคะ ส่วนที่มีมากจริง ๆ ก็แค่ ลิง
สถานที่แห่งนี้ถือเป็นพื้นที่อันโปรดปรานของ Lord Curzon เป็นอย่างมาก
และบ่อยครั้ง เขามักจะหาโอกาสมาปักหลักตั้งแคมป์อยู่เป็นเวลานาน
กระทั่งชื่อ 'นาลเดห์รา' นั้น Lord Curzon ยังนำมาใช้เป็นชื่อกลางให้กับลูกสาวตน
นั่นคือ Lady Alexandra Naldehra Curzon
ตอนที่ไปเยือนครั้งนั้น พอเห็นบรรดาคู่รักทั้งหลายบนหลังม้าและมีคนเดินจูง
คุมลากจูงเข้าเส้นทางเข้าไปในป่าซีดาร์ อยู่ ๆ ก็เหมือนจะนึกถึงอะไร
บางอย่างได้ขึ้นมาไม่ใช่ว่าระลึกชาติได้หรอกนะ ถึงนี่จะเป็นทริปแรกที่มาเยือนอินเดีย
เราได้เคยเห็นภาพของเพื่อนชาวนากาแลนด์
ถ่ายรูปตอนขี่ม้ากับภรรยาในที่นี้มาก่อนช่วงระหว่างฮันนีมูนนั่นเอง
ทำให้เพิ่งรู้ว่าหนึ่งในที่หมายยอดนิยมสำหรับคู่รักชาวอินเดีย
ก็คือชิมลา และทัวร์ที่ว่านี้ก็มักรวมถึงการแวะมาที่นาลเดห์ราแห่งนี้ด้วย
นอกเหนือไปจากการขี่ม้าชมป่า ก็ยังมีสันทนาการอื่น ๆ
อย่างเช่น การแต่งชุดเป็นชนพื้นเมืองเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
หรือแม้แต่เครื่องเล่นที่เป็นเล่นรอกเลื่อนโหนตัวร่อนไปในระยะทางสั้น ๆ
ซึ่งจุดตรงนี้จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าด วี๊ดว้าย ลั่นป่าเชียว
ตรง สโมสรกอล์ฟ มีผู้ฝึกสอนให้หัดตีสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นรายชั่วโมง
ส่วนพื้นที่สนามกอล์ฟที่มีขนาด 18 หลุม ในปัจจุบัน (จากเดิมที่มีแค่ 9 หลุม)
ก็สร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนมาออกรอบกัน เพราะมีจุดเด่นตรงที่มันตั้งอยู่บนพื้นที่สูง
และถูกสร้างมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1920 โดยทางอังกฤษนั้นต้องการที่จะผลักดัน
ให้ อินเดียกลายเป็นประเทศที่สองรองจากสหราชอาณาจักร ที่นิยมกับการเล่นกีฬาประเภทนี้
นาลเดห์รา สามารถแวะมาเที่ยวชมแบบไปเช้า-เย็นกลับ
หรือหากชอบกับธรรมชาติที่นี่และอยากแวะค้างก็จะมีสถานที่พักรองรับ
อย่าง Log Huts (Golf Glade Hotel) ที่ตั้งอยู่ด้านในอุทยาน
และนอกเหนือจากนี้ ทางส่วนบริเวณรอบนอกใกล้เคียง
ก็ยังมีโรงแรม ที่พัก ไม่ไกลไปจากพื้นที่เช่นกัน
.....
มาต่อยังจุดหมายสุดท้าย ตาตาปานี
ที่นี่อยู่ไกลกว่านาลเดห์รา 30 กิโลเมตร
และไกลจากตัวเมือง ชิมลา ไป 50 กิโลเมตร
ใช้เวลาการเดินทางจากชิมลา ยาวนานถึง 3 ชั่วโมง !
รถโดยสาร มักจะมาสุดทางยังที่ ตาตาปานี เป็นแห่งสุดท้าย
ส่วนรอบเที่ยวรถที่จะกลับไปชิมลา ก็จะออกทุก สามชั่วโมง
ดังนั้นหากไม่อยากแวะค้างก็ควรทำเวลาให้ดีด้วย ส่วนเรื่องที่พัก
ก็มีตัวเลือกเยอะอยู่
อุณหภูมิบริเวณนี้ ไม่หนาวเหมือนกับชิมลาเพราะตั้งอยู่บนพื้นที่ต่ำ
โดยมีความสูงเพียง 650 เมตรจากระดับน้ำทะเลเท่านั้น
หากระหว่างเดินทาง จะรู้สึกว่าอากาศร้อนมันขึ้นเรื่อย ๆ
จนแทบอยากถอดเสื้อกันหนาวทิ้งก็คงไม่แปลก :)
กิจกรรมเด่น ๆ ของการมาเยือนสถานที่นี้
ก็คือ การมาแช่น้ำร้อนบำบัด
ชื่อของตาตาปานี นั้นแปลตรง ๆ ก็คือ น้ำร้อน
จากการค้นพบการผุดขึ้นมาของน้ำพุร้อน บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ Sutlej
มันประกอบไปด้วยแร่กำมะถันและถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อรักษาโรคผิวหนัง
หรือไม่ก็นำมาเพื่อการแช่เผื่อผ่อนคลาย
แต่น้ำพุร้อนที่ว่าเนี่ยมันถูกสูบขึ้นมาใช้ผ่านท่อ ที่ใช้ในส่วนก๊อกสาธารณะ
ในชุมชนและธุรกิจสปาของการท่องเที่ยวและโรงแรมต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย
มีการประชาสัมพันธ์ถึงการนำเสนอ แนวทางการบำบัดเชิงอายุรเวท
ด้วยน้ำพุร้อนให้เลือกซื้อคอร์สเต็มไปหมด
แต่หากจะมองหาน้ำพุร้อนที่ผุดจากริมฝั่งแม่น้ำและจะไปนั่งแช่
ก็ดูยาก และบ่อยครั้งแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวนี้ก็เอ่อล้นกลบบริเวณดังกล่าวไป
ดังนั้นหากการเดินทางมายัง ตาตาปานี ถ้าไม่คิดมีแผนจงใจที่จะมา
อาบแช่น้ำร้อนหรือล่องแก่ง ที่นี่คงไม่มีอะไรเป็นที่น่าสนใจเลยล่ะ
การเดินทางมาออกมานอกเมืองสำหรับสองพื้นที่นี้ คงเป็นอีกตัวเลือก
ให้ได้ลองตัดสินใจกัน หากมีเวลามากกว่าสามวันในการแวะมาเยือนชิมลา
### หมายเหตุ ###
โปรดระวัง เที่ยวรถขากลับ รถเมล์จะไม่ไปจอดยังท่ารถ Rivoli
แต่จะไปสุดทางที่ ท่ารถใหม่ ถ้ารอไม่ไหว เพราะนั่งนานจนเมื่อยแล้ว
หากยังเป็นเวลาหัววันและไม่มืดค่ำ ก็แวะลงที่ Chotta Shimla
สังเกตุง่าย ๆ ว่า จุดที่คนลงรถตรงนั้น จะมีรูปปั้น Rajiv Gandhi ตั้งอยู่
จากที่นั่น สามารถเดินตรงกลับมาที่ Mall Road ซึ่งไกลกันราวๆ 3 กิโลเมตรได้
อันที่จริงอัพเป็นบล็อกใหม่เลยก็ได้น้า ไม่ต้องกลัวมีคนฟ้อง สคบ. หุหุ กว่าจะเรียบเรียงผลิตออกมาใหม่แต่ละบล็อกมันก็ไม่ใช่ง่ายๆ
มาเที่ยวชิมลาแบบต้วมเตี้ยมๆต่อครับ หลักกิโลแถวนี้หน้าตาเหมือนหลัก กม. ของลาวเลย
20 กม. เดินทางชั่วโมงเศษนี่นั่งรถรึขี่เต่าขึ้นมา -*-
หนนี้มาเที่ยวสถานที่พักผ่อนตากอากาศของคนอินเดีย บรรยากาศเลยต่างไปจากเอนทรี่อื่นๆ ดูแร้นแค้นน้อยกว่า อิอิ
ตาตาปานีมีน้ำพุร้อนด้วย แต่ต้องไปแช่ตามโรงแรม แย่ๆ เหมือนปามุคคาเล่ที่ตุรกีเลยครับ เขากั้นน้ำไม่ให้ลงตามภูเขาละ ผันไปโรงแรมแทน