ย้อนกลับไปเมื่อสมัยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงศึกษาในช่วงปีสุดท้ายที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์
คอนแวนต์ พระองค์ท่านได้ทรงเล่าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนฟังอย่างสนุกสนานระคนความไม่เชื่อว่ามีหมอดูเดินเข้าไปในวังเทเวศร์และพยากรณ์ดวงชะตาของพระองค์ท่านว่า ในอนาคตจะได้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูล และวันหนึ่งจะได้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นถึงพระราชินี
จนทำให้บรรดาเพื่อน ๆ ต่างพากันสถาปนาด้วยอารมณ์ของเด็ก ๆ โดยเรียกขานพระนามพระองค์ท่านว่า "ราชินีสิริกิติ์"
กระทั่งคำทำนายกลายเป็นจริง เมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา 17 พรรษา ชีวิตหลังทรงเป็นพระราชินีเหมือนเทพนิยายที่มีอยู่จริง ดังเช่น พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้เคยกราบบังคมทูลรายงานเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2533 มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า
"ใครต่อใครที่เคยอ่านในเทพนิยายตั้งแต่ยังเด็กคงจำได้ว่า หลายเรื่องลงท้ายด้วยการที่เจ้าหญิงและเจ้าชายได้อภิเษกสมรสและครองบ้านครองเมืองด้วยความสุขชั่วกาลนาน แต่เทพนิยายเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ไม่เป็นเช่นนั้น พิธีพระราชาภิเษกสมรสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เป็นพระราชินี
ไม่ใช่จุดจบตอนสุดท้ายของเทพนิยาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับปวงชนชาวไทยชั่วกาลนาน"
จวบจนพระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2555 เป็นเวลากว่า 6 ทศวรรษแห่งการทรงงานหนักตรากตรำอย่างไม่เคยทรงหยุดหย่อนเคียงคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทั้งพระราชกรณียกิจและโครงการตามพระราชดำรินานัปการเกิดขึ้นด้วยพระปรีชาสามารถและพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์พรั่งพรูดั่งสายฝนช่วยปลอบประโลมทุกข์โศกของพสกนิกรชาวไทย
พระเกียรติคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่เพียงสถิตในใจของชาวไทย แต่ยังก้องกังวานไกลถึงต่างแดน เมื่อคราวพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและยุโรปในช่วงทศวรรษที่ 1960 นอกจากเป็นหนทางที่ทำให้นานาประเทศได้รู้จักประเทศไทยดียิ่งขึ้นแล้ว ทั่วโลกต่างเปล่งเสียงสดุดีเช่นเดียวกันว่า "พระราชินีของไทยทรงพระสิริโฉมงดงามที่สุดในโลก"
นิตยสารนิวส์วีก ฉบับวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2509 บรรยายถึงพระองค์ไว้ว่า "ผู้มีพระเนตรสีนิล พระเกศาดำขลับ ทรงเปรียบเสมือนแจ็กกี้ เคนเนดี้ แห่งเอเชีย" ด้วยความทรงเสน่ห์จนทรงได้รับเลือกเป็นอันดับแรกในฐานะ "สตรีผู้ทรงความงามที่สุด
ในโลก" เพื่อออกอากาศในรายการโทรทัศน์ของสหรัฐ กระนั้นยังพระราชทานสัมภาษณ์ถ่อมพระองค์ เมื่อตรัสว่า "ข้าพเจ้ามิได้คิดว่าตัวเองสวยอะไรนัก" พระองค์ทรงย้ำในเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ แม้จะดูค้านกับหลักฐานทั้งมวลที่ปรากฏอยู่
ขณะที่ในสายตาของช่างภาพและนักข่าวในสหรัฐ ต่างร่วมกันยกย่องให้พระราชินีของไทยเป็น "สุภาพสตรีที่งามสง่าที่สุดในโลก" ล้ำหน้าแจ็กเกอลีน เคนเนดี้ สตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐในขณะนั้น
ส่วนหนังสือพิมพ์ในฮอนโนลูลูตีพิมพ์สดุดีว่า "ทรงมีความงามประหนึ่งตุ๊กตาที่อาจชนะตำแหน่งราชินีแห่งราชินี หากมีการประกวดพระราชินีกันขึ้นทั่วโลก"
ด้วยรัศมีอันเปล่งประกายของพระองค์ จนทำให้นิตยสารอีกหลายฉบับในต่างประเทศ ลงพระฉายาลักษณ์พระองค์บนปกนำ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียม สวีเดน ออสเตรเลีย เป็นต้น
แม้แต่ในแวดวงดีไซเนอร์ชื่อดังของโลก 2,000 คน ได้ลงคะแนนให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็น 1 ใน 10 ของ "สตรีที่แต่งพระองค์งามที่สุดในโลก"
ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 พระนามาภิไธยของพระราชินีปรากฏอยู่ในหอแห่งเกียรติยศ นครนิวยอร์ก ในฐานะทรงเป็น 1 ใน 12 สตรีที่แต่งกายงามที่สุดในโลก
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเตือนพระองค์ว่า การตามเสด็จฯ เยือนต่างประเทศ ไม่ใช่เพื่อความสุขสนุกสนาน แต่จะต้องทรงมีพระราชกรณียกิจอย่างหนัก เพี่อให้ชาวโลกได้รู้จักประเทศไทย
หนึ่งในพระราชกรณียกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก คือทรงเป็นผู้นำการเผยแพร่ฉลองพระองค์ผ้าไหมไทย ถักทอลวดลายอย่างประณีตเงางาม สู่เวทีโลก
แม้ว่าพระองค์จะได้รับคำชมเชยถึงพระสิริโฉม และฉลองพระองค์อันงดงามในทุกประเทศที่เสด็จฯ ทรงเป็นผู้นำแฟชั่นด้านต่าง ๆ ของเมืองไทย ทั้งเครื่องแต่งกาย หมวกนำสมัย เครื่องประดับ
แต่เรื่องการแต่งพระองค์ยังเป็นสิ่งที่ พระราชินีทรงหนักพระทัยและกังวลมากเป็นพิเศษอยู่ เพราะเครื่องแต่งพระองค์ต้องงามเหมาะสมกับตำแหน่งพระยศ ที่ทรงดำรงคู่กับประมุขประเทศ นอกจากนั้นต้องทรงแต่งให้ถูกกาลเทศะ พร้อมแสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอีกด้วย
ท่านผู้หญิงภรณี มหานนท์ รองราชเลขาฯในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้ถวายงานใกล้ชิดเล่าให้ทีมข่าวดีไลฟ์ฟังว่า
"ความจริงแล้ว พระองค์ไม่ค่อยสนพระทัยในแฟชั่นมากนัก พระองค์ไม่ค่อยโปรดทอดพระเนตรนิตยสารแฟชั่น แต่ทรงโปรดการอ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่า โดยเฉพาะในนิตยสารไทม์ หรือนิวส์วีก แล้วตัดบทความที่น่าสนใจเก็บไว้
แต่พระองค์ทรงพิถีพิถัน การเลือกฉลองพระองค์มากเป็นพิเศษ ต้องเหมาะสม โดยพระองค์ต้องทราบหมายกำหนดการล่วงหน้าก่อน เพื่อจะได้เลือกฉลองแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับงานนั้น ๆ
พระองค์ต้องการรักษาหน้าตาประเทศไทย ไม่ให้คนต่างชาติมาดูถูกประเทศไทยได้ เพราะฉลองพระองค์ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของประเทศ
โดยเฉพาะการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศ พระองค์จะทรงผ้าไทยมาตลอด เป็นการโฆษณาผ้าไทย แต่งกายแบบไทย และเอกลักษณ์ความเป็นไทยไปพร้อมกันด้วย"
จากอดีตผ้าไทยเป็นที่รู้จักกันในวงแคบ ๆ ของชุมชนที่ผลิตใช้กันเองเฉพาะกลุ่ม แต่ด้วยทรงพระสิริโฉมและทรงฉลองพระองค์ชุดผ้าไทยได้งดงามเกินบรรยาย
ทั้งหมดนี้เสมือนเป็นกุศโลบายอันแยบยล ทำให้ผ้าไทยและศูนย์ศิลปาชีพเป็นที่รู้จักในระดับสากล ช่วยชุบชีวิตชาวบ้านผ่านใยไหมและทรงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กลับมามองเห็นคุณค่าของผืนผ้าไทย
ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพร
ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
พระชนมานสืบยืนสี่หมื่นวัน
พระพุทธเจ้าข้า
ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์