พระอัจฉริยภาพ "ในหลวง" เนรมิต "น้ำ" ชุบชีวิตปากพนัง
พระอัจฉริยภาพ "ในหลวง" เนรมิต "น้ำ" ชุบชีวิตปากพนัง
สำหรับ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" แล้ว หากทรงทราบว่า ณ ที่แห่งใดในประเทศไทยเกิดความทุกข์ร้อน มีความเป็นอยู่แร้นแค้นยากลำบาก พระองค์จะทรงดั้นด้นไปบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับราษฎรในที่แห่งนั้น
ไม่ว่า...ที่แห่งนั้นจะทุรกันดารเพียงไหน การเดินทางยากลำบากเพียงใด พระองค์ไม่ทรงเคยหวาดหวั่น ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ทรงทุ่มเทอย่างเต็มพระสติปัญญาพระปรีชาสามารถ ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกายอย่างทรงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยทรงมุ่งหวังให้ประชาชนของพระองค์ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่พอมีพอกินในชั้นแรก และพัฒนาไปจนมีกินมีใช้โดยถ้วนหน้ากันในที่สุด
เฉกเช่นที่ "ลุ่มน้ำปากพนัง" ผืนแผ่นดินกว่า 2 ล้านไร่ ทางตอนใต้ของประเทศไทย ครอบคลุม 3 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช 10 อำเภอ พัทลุง 2 อำเภอ และสงขลา 1 อำเภอ ในอดีตถือเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ในดินสินในน้ำ เป็นแหล่ง "อู่ข้าวอู่น้ำ" ที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ ประชาชนอยู่ดีกินดีและมีฐานะมั่นคงทางเศรษฐกิจ
แต่ด้วยเวลาที่ล่วงเลยและจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ถูกนำมาใช้เพื่อการดำรงชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยและไม่ถนอมรักษา ปากพนังประสบปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง "น้ำ" ทั้งปัญหา น้ำท่วม, น้ำแล้ง, น้ำเน่าเสีย และปัญหา 4 น้ำ 3 รส (4 น้ำคือ น้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย น้ำเปรี้ยว ส่วน 3 รสคือ รสจืด รสเปรี้ยว และรสเค็ม)
จากดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำกลายมาเป็นพื้นที่ที่มีความ "ยากจนมากที่สุด" ของประเทศ
ด้วยพระราชหฤทัยห่วงใยในความเดือดร้อนของราษฎร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ "โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ" เพื่อช่วยเหลือราษฎรอย่างเร่งด่วน และพลิกฟื้นคุณภาพชีวิตของชาวลุ่มน้ำปากพนังให้กลับมากินดีอยู่ดีเช่นเดิม
พระราชทานแนวพระราชดำริ 13 ครั้ง
นายปริญญา สัคคะนายก ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บอกว่า ด้วยพระราชหฤทัยอันแน่วแน่ในการขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนของประชาชนให้หมดไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวทางแก้ไขและพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังทั้งระบบ ถึง 13 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2521 โดยครั้งสำคัญที่สุด เมื่อปี 2536 ทรงมีพระราชดำริให้ก่อสร้างประตูระบายน้ำปากพนัง หรือประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ เพื่อบริหารจัดการน้ำทั้งหมด
"พระราชดำริดังกล่าว ประสบความสำเร็จมาก ถือเป็นกุญแจแรกในการพลิกฟื้นลุ่มน้ำปากพนัง และทำให้เกิดการพัฒนาต่อเนื่องมาโดยตลอด"
อันคำว่า "อุทกวิภาชประสิทธิ" มีความหมายว่า ประตูระบายน้ำที่ประสบความสำเร็จในการแยกน้ำจืดน้ำเค็ม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2542
กั้นน้ำจืด-น้ำเค็ม
พระอัจฉริยภาพใน "กษัตริย์นักพัฒนา" เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวลุ่มน้ำปากพนังเป็นอย่างยิ่ง
นายเทอดศักดิ์ ลักษณะหุต หัวหน้ากลุ่มบริการวิชาการ โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ เล่าว่า ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ เป็นจุดเริ่มต้นในการขยายความช่วยเหลือด้านอื่นๆ แนวพระราชดำริหลักๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องการให้รักษาสุขภาพของน้ำให้สามารถนำมาใช้ในการอุปโภค-บริโภคให้ได้ก่อน จากนั้นจึงขยายไปสู่การแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ต่อไป
"ระบบนิเวศของลุ่มน้ำปากพนังมีความสลับซับซ้อนสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงคิดค้นวิธีแก้ปัญหาจนสามารถแยกพื้นที่น้ำจืด-น้ำเค็มออกจากกันได้ โดยป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็ม ทำให้น้ำในแม่น้ำปากพนังเป็นน้ำจืดที่สามารถใช้ประโยชน์ เพื่อการอุปโภค บริโภค และการเพาะปลูกได้"
บรรเทาอุทกภัย
ลุ่มน้ำปากพนังเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำ มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1-2 เมตร ซึ่งการขึ้น-ลงของน้ำทะเลมีผลกระทบต่อชาวลุ่มน้ำปากพนังเป็นอย่างมาก อีกทั้งในช่วงฤดูฝน น้ำจากทุกทิศทุกทางจะไหลมารวมกันที่ลุ่มน้ำปากพนัง ส่งผลให้ "น้ำท่วมมาก ท่วมสูง และท่วมนาน" ไม่น้อยกว่า 3 เดือน สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก
หากตั้งแต่มีโครงการพระราชดำริฯ ปัญหาน้ำท่วมก็ "บรรเทาเบาบาง" ลงอย่างชัดเจน
นายเทอดศักดิ์เล่าว่า ตั้งแต่มีโครงการในพระราชดำริฯ ให้สร้างประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ และประตูระบายน้ำต่างๆ รวมทั้งขุดและปรับปรุงคลอง กรมชลประทานสามารถควบคุมน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ไม่ให้มากหรือน้อยเกินไปได้เป็นอย่างดี ถ้าฝนตกในปริมาณปกติน้ำจะไม่ท่วมเลย แต่ถ้าตกเกินเกณฑ์ปกติ อย่างเมื่อปี 2553 ช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ฝนตกเกินเกณฑ์จนมีปริมาณน้ำหลากเข้ามาในพื้นที่มาก แต่กรมชลประทานก็สามารถระบายน้ำทั้งหมดได้ภายใน 20 วัน
หรือล่าสุด ปี 2554 ทั้งที่เป็นช่วงฤดูแล้ง แต่ลุ่มน้ำปากพนังก็ประสบกับความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ โดยมีฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายน
"ฝนตกอยู่ 7-8 วัน มีปริมาณ 2,151 ลูกบาศก์เมตร น้ำท่วมเต็มทุกพื้นที่ แต่ก็สามารถระบายน้ำผ่านประตูอุทกวิภาชประสิทธิและประตูระบายน้ำต่างๆ ได้ภายใน 21 วัน"
พัฒนาปากพนัง "กำไร" ประชาชน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในความทุกข์ยากของพสกนิกรเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากแนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังถึง 13 ครั้ง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความอยู่ดีกินดีของราษฎร โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2536 ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา ความตอนหนึ่งว่า
"โครงการปากพนัง หรือโครงการนครนายก โครงการป่าสักเหล่านี้ กำไรนั้นมาที่ประชาชน ประชาชนจะอยู่ดีกินดี เมื่อประชาชนอยู่ดีกินดี ก็สามารถที่จะเสียภาษีให้กับรัฐบาล รัฐบาลก็เก็บเงินภาษีอากรได้อย่างดี ประชาชนมีความสุขสบายไม่เลี่ยงภาษี ทั้งประชาชนที่มีรายได้ดีส่วนมากก็ไม่มีขโมยไอ้โน่นไอ้นี่
คือพวกที่ขโมย พวกที่เป็นโจรผู้ร้ายส่วนมากก็เพราะเขาแร้นแค้น ใครไม่แร้นแค้นไม่ปล้น ไม่ขโมย เพราะมันไม่สนุก แล้วมันก็เสี่ยงอันตราย เมื่อถูกจับอาจจะถูกใส่คุกเป็นแรมปี มันไม่สนุก ถ้าเขาทำกินได้ เขาก็มีความสุข เขาก็ไม่ขโมย เขาก็ไม่เป็นผู้ร้าย เขาก็จะช่วยกันสร้างสรรค์ ก็ยิ่งเจริญใหญ่
ฉะนั้น ที่เล่าเรื่องโครงการเหล่านี้ ก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้ อนาคตมีความสุขได้ มีความเจริญได้ โครงการเหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ทันทีได้ด้วย แม้แต่ทุกวันนี้ ถ้าหากเราลงมือทำก็จะเกิดมีงานทำ"
และมีพระราชดำรัสถึงโครงการปากพนังฯอีกครั้ง ในวันที่ 4 ธันวาคม 2537 พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา ความตอนหนึ่งว่า
"สำหรับโครงการปากพนัง ปีนี้เป็นที่น่ายินดี ที่เริ่มลงมือเสียทีที่ลงมือได้ แต่ก็ยังต้องมีอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่าอีกมาก แต่ถ้าทำโครงการปากพนังน่าจะทำได้เร็วพอใช้ จะแก้ไขการมีน้ำขาดแคลนของน้ำจืด เพื่อการเกษตรในลุ่มน้ำชะอวด และมีน้ำใช้ในหน้าแล้งด้วย ตลอดจนมีน้ำเค็มน้ำกร่อย เพื่อที่จะเลี้ยงกุ้งกุลาดำเป็นล่ำเป็นสัน ในเขตเชียรใหญ่ หัวไทร ปากพนังจะเป็นที่ที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และจะเป็นส่วนที่เป็นรายได้อย่างมหาศาล"
"สำหรับประเทศไทย ถ้าไม่ทำมันก็อยู่อย่างนี้ ต้องเกิดปัญหาเรื่องโจรผู้ร้าย เรื่องความไม่เรียบร้อย ฉะนั้น การแก้ปัญหาจะต้องแก้ไขปัญหาโดยเบ็ดเสร็จ โดยถือหลักว่ามีอะไรที่ต้องทำ ก็ต้องทำ อย่าไปทะเลาะกัน ว่าอันนี้จะทำเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องรวมทำหมดนั้นก็ได้ ขอพูดถึงเรื่องโครงการปากพนังให้เข้าใจอย่างนี้..."
ทรง "ชุบชีวิต" ชาวปากพนังให้กินดีอยู่ดี
ตั้งแต่ปี 2521 จนกระทั่งปัจจุบัน เป็นเวลา 33 ปีแล้ว โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ พัฒนามาอย่างต่อเนื่องกว่า 4,000 โครงการ "ชุบชีวิต" ให้ชาวลุ่มน้ำปากพนังกลับมามีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ กินดีอยู่ดีอีกครั้ง
วันนี้...ไม่มีแล้วน้ำแล้งที่เคยขาด น้ำท่วมขังนานๆ ก็หมดไป จากทำนาได้ปีละครั้งก็เปลี่ยนมาเป็นปีละ 2-3 ครั้ง จากอัตคัดขัดสนก็มีกินมีใช้ตามอัตภาพ
นายกวี จันทษี ประธานกลุ่มข้าว ที่เข้าร่วมในโครงการพระราชดำริ ศูนย์การเรียนรู้นาข้าวอินทรีย์ (โรงสีข้าวชุมชน) หมู่ 1 ต.ขนาบนาก เผยว่า ก่อนที่จะมีโครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง ชาวบ้านทำนาได้ปีละครั้งเท่านี้ และเมื่อถึงฤดูน้ำหลากที่นาจะเสียหายมาก
"ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริช่วยเหลือชาวลุ่มน้ำปากพนัง ความเป็นก็เริ่มดีขึ้น อีกทั้งยังทำนาได้ปีละ 3 ครั้ง มีรายได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากพื้นที่นำนากว่า 2,700 ไร่"
ขณะที่ นายจรูญ แดงขาว ประธานกลุ่มโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งฟาร์ม ต.ป่าระกำ ต้นแบบเกษตรกรรมผสมผสานตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บอกว่า เมื่อ 30 ปีก่อนประชาชนในพื้นที่ยึดอาชีพทำนา แต่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากจึงทำให้การทำนาไม่ค่อยได้ผลผลิตที่ดีนัก
"โครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ามาชุบชีวิตชาวบ้านอย่างเราให้ลืมตาอ้าปากขึ้นได้ ตอนนี้ทำนาปีละ 2 ครั้ง เพราะน้ำไม่ท่วมแล้ว และถ้าน้ำท่วมก็ท่วมแค่ 15 วัน ผิดกับเมื่อก่อนที่ท่วมเป็นเดือน"
นอกจากนี้ ผู้ใหญ่บ้านและชาว ต.ป่าระกำ ยังน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต ทั้งทำการเกษตรแบบผสมผสาน ทำนา ปลูกผัก ปลูกผลไม้ ทั้งพริก ฟักทอง แก้วมังกร ขณะที่ตามร่องสวนก็เลี้ยงปลาตะเพียน ปลานิล เหลือกินเหลือใช้ก็ขายสร้างเสริมรายได้เป็นอย่างดี
"ตั้งแต่มีการบริหารจัดการน้ำที่ดี และยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พวกเรากินดีอยู่ดีขึ้น ผมจบแค่ ป.4 แต่ทุกวันนี้มีรายได้ปีละกว่า 5 แสนบาท เมื่อก่อนไม่มีเงินส่งลูกหลานเรียนสูงๆ แต่ตอนนี้แทบทุกครัวเรือนสามารถส่งลูกหลานเรียนจนจบปริญญาตรีได้แล้ว" นายจรูญกล่าว
ด้วยพระวิริยอุตสาหะทุ่มเทแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ราษฎรในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง มาวันนี้ได้ผลิดอกออกผลเป็นที่น่าชื่นใจ จากพื้นที่ "ยากจนที่สุดในประเทศ" พลิกฟื้นกลับสู่ความเป็นแผ่นดินทอง เป็นแหล่งทำมาหากินอันสมบูรณ์อีกครั้ง ภาพแห่งความสุขเกิดขึ้นกับชาวลุ่มน้ำปากพนังในวันนี้ คือ บทพิสูจน์คำพูดที่ว่า ไม่มีชาติใดในโลกโชคดีเท่าคนไทย
หน้า 19,มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระชนมานสืบยืนสี่หมื่นวัน
พระพุทธเจ้าข้า
ขอบคุณ มติชนออนไลน์
สวัสดิ์สิริชีววารค่ะ
Create Date : 01 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 1 ธันวาคม 2554 9:48:41 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3369 Pageviews. |
|
|
|
|
|