"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 
 
8 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 

ภาพที่ ๗๑. เสด็จไปกรุงกุสินารา ทรงกระหายน้ำ โปรดให้พระอานนท์ ไปตักน้ำมาถวาย









เสด็จไปกรุงกุสินารา ทรงกระหายน้ำ
โปรดให้พระอานนท์ ไปตักน้ำมาถวาย






สมุดภาพพระพุทธประวัติ
ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร

ภาพที่ ๗๑

เสด็จไปกรุงกุสินารา ทรงกระหายน้ำ โปรดให้พระอานนท์ ไปตักน้ำมาถวาย


ระหว่างทางเสด็จไปเมืองกุสินารา ภายหลังทรงฉันสูกรมัททวะของนายจุนทะแล้ว พระพุทธเจ้าทรงประชวรด้วยพระโรคปักขันธิกาพาธอย่างหนัก จวนเจียนจะเสด็จนิพพาน ณ ที่นั้นเสีย ก่อนกำหนด แต่ทรงระงับอาพาธนั้นเสียได้ด้วยขันติบารมี คือ ความอดกลั้น


ปักขันธิกาพาธเป็นพระโรคอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดประจำพระองค์พระพุทธเจ้า คือทรงพระบังคนถ่ายออกมาเป็นโลหิต มีผู้สันนิษฐานกันว่าคงได้แก่ ริดสีดวงลำไส้

เพราะเหตุที่ประชวรพระโรคดังกล่าว พระพุทธเจ้าจึงทรงลำบากพระวรกายมาก แต่ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ไม่ทรงทุรนทุราย

เสด็จถึงระหว่างทางแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำเล็กๆ มีน้ำไหล พระพุทธเจ้าแวะลงข้างทาง เข้าประทับใต้ร่มพฤกษาแห่งหนึ่ง ตรัสบอกพระอานนท์ให้พับผ้าสังฆาฏิเป็น ๔ ชั้นแล้วปูลาดถวาย ประทับนั่งเพื่อพักผ่อน แล้วตรัสให้พระอานนท์นำบาตรไปตักน้ำในแม่น้ำ

"เราจักดื่มระงับความกระหายให้สงบ" พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์

พระอานนท์กราบทูลว่าแม่น้ำตื้นเขิน เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่มของพวกพ่อค้าเกวียนเพิ่งข้ามแม่น้ำผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ เท้าโคล้อเกวียนบดย่ำทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า

"อีกไม่ไกลแต่นี้ มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อกุกกุฏนที มีน้ำใส จืดสนิท เย็น มีท่าน้ำสำหรับลงเป็นที่รื่นรมย์ ขอเชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไปที่แม่น้ำนั้นเถิด พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธคำทูลทัดทานของพระอานนท์ถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์จึงอุ้มบาตรเดินลงไปตักน้ำในแม่น้ำ ครั้นเห็นน้ำ พระอานนท์ก็อัศจรรย์ใจนักหนา พลางรำพึงว่า

"ความที่พระตถาคตพุทธเจ้ามีฤทธิ์ และอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก แม่น้ำนี้ขุ่นนัก เมื่อเราเข้าไปใกล้เพื่อจะตัก น้ำกลับใสไม่ขุ่นมัว"

ครั้นแล้วพระอานนท์ก็นำบาตรตักน้ำนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า


ขอขอบพระคุณ


- DhammaPerfect@hotmail.com
- อ.เหม เวชกร
- กรอบ ป้ามด

_________________________________________
บันทึก ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
ติดต่อ : DhammaPerfect@hotmail.com


สิริสวัสดิ์วุธวาร มานอวลบุษปคนธาลดาทิพย์นะคะ




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2554
36 comments
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:00:01 น.
Counter : 2187 Pageviews.

 

 

โดย: วาดฝันมธุรพจน์ 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:02:36 น.  

 

เสด็จไปเมืองกุสินารา
จากนั้น พระองค์เสด็จไปบ้านภัณฑคาม บ้านหัตถิคาม จนเสด็จถึงเมืองปาวา โดยลำดับ

ที่นี่พระองค์ได้ประทับที่สวนมะม่วงของนายจุนทะ กัมมารบุตร ทรงแสดงธรรมแก่นายจุนทะ และเสด็จไปรับบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น

พระองค์ทรงอนุญาตรับบิณฑบาตเสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะจัดไว้ (ต่อจากนี้ พระองค์ประชวรด้วยโรคปักขันธิกาพาธอย่างกล้าจวบจนสิ้นพระชนมายุ)

จากนั้น ได้เสด็จไปสู่เมืองกุสินาราในกลางทางทรงพักที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง รับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดสังฆาฏิเพื่อเสวยน้ำดื่มและทรงสนทนากับปุกกุสสะ มัลละบุตร

จนเกิดศรัทธาถวายผ้าเนื้อดีสองผืน ทรงรับสั่งให้นำมาห่มคลุมพระองค์ผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งรับสั่งให้ถวายแก่พระอานนท์ เมื่อปุกกุสสะถวายผ้านั้นแล้วหลีกไป

พระอานนท์ได้น้อมถวายผ้าของตนแก่พระพุทธเจ้า ได้เห็นพระวรกายของพระองค์ว่ามีพระฉวีผ่องใสยิ่งจึงได้ทูลถาม พระองค์ตรัสตอบว่า

...อานนท์! เป็นอย่างนั้น, กายของตถาคต ย่อมมีฉวีผุดผ่องในกาลสองครั้งคือ ในราตรีที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ, และราตรี ที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.

อานนท์! การปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างต้นสาละคู่ ในสวนสาละอันเป็นที่พัก ของพวกมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา ในตอนปัจฉิมยามคืนนี้...

— สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. ๑๐/๑๔๙/๑๑๗

ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

โดย: nart (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:03:29 น.  

 

บทความนี้เป็นมุมมองของแพทย์ในแง่พิษวิทยา เป็นการศึกษาการปรินิพพานของพระพุทธองค์ ว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร ผมเห็นว่าเป็นอีกมุมมองที่น่าสนใจจึงคัดลอกมานำเสนอ

คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์

- ตีพิมพ์ครั้งแรกในรายงานการประชุมประจำปีครั้งที่ 20
ของTPAA (Thai Physicians Association of America) หน้า 14-20, 2541

- ตีพิมพ์ใหม่ในวารสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับที่ Vol. 254, 1 ธันวาคม 2543


วันสุดท้ายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เช้าของวันก่อนพุทธศักราช ที่บ้านของนายจุนทะ เมืองปาวา ประเทศอินเดีย
“จุนทะ ! สูกรมัททวะ ที่จัดไว้ จงนำมาเลี้ยงเรา, ขาทนียะ (ของเคี้ยว) โภชนียะ (ของกิน) อย่างอื่น ที่ตกแต่งไว้ จงนำไปเลี้ยงภิกษุสงฆ์. จุนทะ! สูกรมัททวะ ที่เหลือนี้ท่านจงฝังเสียในบ่อ

เราไม่มองเห็นใครในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ที่บริโภคแล้ว จักให้ย่อยได้, นอกจากตถาคต”

ต่อจากนี้ก็ประชวร ด้วยโรคปักขันธิกาพาธอย่างกล้า จวนสิ้นพระชนมายุ
(ปักขันธิกา แปลว่า โรคลงแดง คือ ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นเลือด, โรคบิด, ตกเลือด)


ในคัมภีร์เถรวาท เป็นที่ถกเถียงกันว่า สูกรมัททวะ ที่นายจุนทะถวายให้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันนั้น เป็นอาหารอะไรกันแน่

แต่ที่แน่ชัดคือ พระพุทธองค์ได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่า อาหารนี้เป็นพิษ จึงให้ถวายแต่พระองค์เพียงผู้เดียว

ส่วนสูกรมัททวะที่เหลือ ทรงสั่งให้นายจุนทะฝังเสีย โดยพระองค์ทรงให้เหตุผลว่า ผู้อื่นนอกจากพระองค์รับประทานแล้วจะไม่ย่อย


ในพระคัมภีร์มหายาน ได้กล่าวไว้ว่า สูกรมัททวะที่พระองค์ทรงฉันนั้น คือ เห็ดชนิดหนึ่ง จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับฝ่ายมหายาน


ส่วนทางเถรวาทนั้น ได้เคยแปลตามๆกันมาว่า เนื้อสุกรอ่อน หรือ เนื้อหมูอ่อน (สูกร = สุกร หรือ หมู, มัททวะ = อ่อน)

คัมภีร์ชั้นอรรถกถาและมติของเกจิอาจารย์ทั้งหลายยังไม่ลงรอยกัน บางมติว่าได้แก่ เห็ดชนิดหนึ่ง และบางมติว่าได้แก่ ชื่ออาหารอันประณีตชนิดหนึ่ง ซึ่งชาวอินเดียปรุงขึ้นเพื่อถวายแก่ผู้ที่ตนเคารพนับถือที่สุด เช่น เทพเจ้าเป็นต้น

เป็นอาหารประณีตชั้นหนึ่งยิ่งกว่าข้าวมธุปายาส บางมติว่าอาจเป็นโอสถ หรือ อาหารที่เป็นยาอย่างหนึ่ง ที่นายจุนทะปรุงขึ้นถวายเพื่อรักษาโรค

ด้วยทราบข่าวว่า พระพุทธองค์ได้เคยทรงประชวร และจะทรงปรินิพพานในระยะเวลาอันใกล้นั้น


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

โดย: nart (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:06:52 น.  

 





ฝันดีคะ่พี่นาถ

 

โดย: นู๋หญิงจ๋า 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:07:47 น.  

 

ข้อสันนิษฐานอื่นของสูกรมัทวะ คือ อาจหมายถึง อาหารอันอ่อนนุ่มหรือโอชะที่หมูชอบ ซึ่งอาจเป็นไปได้ โดยเฉพาะมีเห็ดชนิดหนึ่งซึ่งงอกอยู่ใต้ดิน จากโคนไม้ส่วนที่ฝังอยู่ในดิน เรียกกันว่า เห็ดทรัฟเฟิล (Truffle)


เห็ดทรัฟเฟิล (Truffle) เป็นเห็ดที่หมูชอบกิน แต่ไม่ใช่หมูจะชอบเท่านั้น คนก็ชอบกินด้วย เพราะมีกลิ่นหอมหวาน ใช้ปรุงอาหารโดยฝานใส่กับอาหาร ทำให้อาหารจานนั้นหอมกลมกล่อมมีรสชาด

ถือว่าเป็นอาหารโอชะที่มีค่า (delicacy) และเป็นของที่หาได้ยาก ซึ่งนิยมกันมากโดยเฉพาะในยุโรป เช่น ประเทศฝรั่งเศส อิตาลี่ อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา

การค้นหาเห็ดทรัฟเฟิล นั้นไม่ใช่ของง่าย เพราะงอกอยู่ใต้ดิน เฉพาะผู้ชำนาญในการล่าเห็ดชนิดนี้เท่านั้น จึงจะพอรู้ว่ามีอยู่แถวไหน

นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้ช่วยคือ หมูที่ฝึกดีแล้วเป็นกำลังสำคัญในการค้นหา แต่ก็ต้องระวังมิฉะนั้นผู้ช่วยคือ หมูจะแย่งกินหมด

จึงต้องตกรางวัลปันส่วนแบ่งให้หมูด้วยตามสมควร ดังนั้นในสมัยปัจจุบัน จึงได้มีการฝึกสุนัขไว้ช่วยดมขุดคุ้ยค้นหาเห็ดนี้ด้วย (แต่ต้องคอยถนอมจมูกสุนัข เพราะไม่ทนทานเท่าจมูกหมู)

การล่าเห็ดชนิดนี้ นักล่าเห็ดมักจะปกปิดแหล่งที่ตนเคยค้นพบเห็ดนี้ได้เป็นประจำ เพราะเห็ดนี้ราคาแพงมาก ไม่ต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อเห็ดหนักหนึ่งปอนด์


นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ค้นพบว่า เห็ดทรัฟเฟิล (Truffle) ผลิตสารเคมีชนิดหนึ่ง คือ เฟอโรโมน (Pheromone) ซึ่งคล้ายกับฮอร์โมนเพศผู้ของหมู (Androgen analog substance) เป็นตัวที่ทำให้เห็ดมีกลิ่นหอม

และ เป็นตัวล่อดึงดูดให้หมูคุ้ยเขี่ยหากินเห็ดทรัฟเฟิลนี้ ฮอร์โมนเพศผู้ (Androgen hormone) เป็นตัวสำคัญที่หมูด้วยกันใช้ในการเสาะแสวงหาคู่ในฤดูผสมพันธุ์

ดังนั้นเห็ดทรัฟเฟิลจึงใช้วิธีอันชาญฉลาดนี้โดยอาศัยกลิ่นจาก เฟอโรโมน (Pheromone) หลอกล่อหมูให้ขุดคุ้ยหาตัวมันจนพบได้สำเร็จ เพื่อหมูจะได้เป็นพาหะช่วยเผยแพร่พันธุ์ให้

โดยการกระจายสปอร์ (Spore) ของมันออกไป (หลักฐานที่ค้นพบในภายหลัง พบว่าเห็ดทรัฟเฟิล (Truffle) ผลิตสารเคมีอีก 9 ชนิด ซึ่งเป็นตัวที่สำคัญยิ่งกว่าสารคล้ายฮอร์โมนเพศผู้ของหมู (Androsternol) และเป็นตัวล่อให้หมูทั้งตัวผู้และตัวเมียขุดคุ้ยหาและชอบกินเห็ดชนิดนี้ – Discover: November 2000 issue, page 40)

ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

โดย: sirivinit 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:09:13 น.  

 

อะฮ้า มีคนมาส่งพี่นาถจังเข้านอนก่อนเค็งเสียอีก

ถ้างั้นปิดเครื่องคอมฯ ปิดไฟ แล้วล้มลงนอนเสียดี ๆ พี่นาถจัง 55555
ถึงแม้ไม่ได้ทำงาน ร่างกายก็ต้องพักผ่อนนะค่า


 

โดย: เค็ง (ลงสะพาน...เลี้ยวขวา ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:12:41 น.  

 

หลังจากพระพุทธองค์ ทรงฉันสูกรมัททวะของนายจุนทะแล้ว ได้ทรงแสดงธรรมให้นายจุนทะฟังเป็นที่ชื่นชม แล้วทรงอำลานายจุนทะเสด็จต่อไปยังเมืองกุสินารา


ระหว่างทางเสด็จไปเมืองกุสินารา พระพุทธองค์ทรงประชวรด้วยพระโรคปักขันธิกาพาธ (ท้องเสียเป็นบิดถ่ายเป็นเลือด) อย่างหนัก

จวนเจียนจะเสด็จปรินิพพาน ณ ที่นั้น แต่ทรงระงับอาพาธนั้นด้วยขันติบารมี คือ ทรงอดกลั้นอย่างแรงกล้า มีพระสติสัมปชัญญะ ไม่ทรงทุรนทุราย


ระหว่างทางแห่งหนึ่ง มีแม่น้ำลำเล็กๆไหลผ่าน พระพุทธองค์ทรงแวะลงข้างทางเข้าประทับใต้ร่มไม้

ตรัสบอกพระอานนท์องค์อุปัฏฐากให้พับผ้าสังฆาฏิเป็น 4 ชั้น แล้วปูลาดถวาย เสด็จนั่งพักผ่อน แล้วตรัสให้พระอานนท์นำบาตรไปตักน้ำในแม่น้ำว่า

“อานนท์ ! เธอจงนำน้ำดื่มมาให้เรา เรากระหายนัก” แสดงถึงว่าพระองค์ทรงเริ่มมีอาการร่างกายขาดน้ำ (Dehydration) เนื่องจากสูญเสียน้ำหรือเลือดภายในกาย (Volume depletion) ไปพอสมควร

พระอานนท์กราบทูลว่า แม่น้ำนี้ตื้นเขิน เกวียนประมาณ 500 เล่มของพวกพ่อค้าเพิ่งข้ามแม่น้ำผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ เท้าโคล้อเกวียนบดย่ำทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่นแล้ว กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า

“อีกไม่ไกลแต่นี้ มีแม่น้ำสายหนึ่ง ชื่อ กกุธนที มีน้ำใส จืดสนิท เย็น มีท่าน้ำสำหรับลง เป็นที่รื่นรมย์ ขอเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปที่แม่น้ำนั้นเถิด พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ทรงตรัสปฏิเสธคำทูลทัดทานของพระอานนท์ถึง 3 ครั้ง คงเป็นด้วยทรงกระหายน้ำมากด้วยพระวรกายขาดน้ำ

พระอานนท์จึงอุ้มบาตรเดินลงไปตักน้ำในแม่น้ำ ครั้นเห็นน้ำ พระอานนท์ก็อัศจรรย์ใจนักหนา พลางรำพึงว่า

“ความที่พระตถาคตพุทธเจ้ามีฤทธิ์และอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก แม่น้ำนี้ขุ่นนัก เมื่อเราเข้าไปใกล้เพื่อจะตัก น้ำกลับใสไม่ขุ่นมัว”

ครั้นแล้วพระอานนท์ก็นำบาตรตักน้ำนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า

ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ภายใต้ร่มไม้แห่งนี้ ได้มีชายผู้หนึ่งนามว่า ปุกกุสะ บุตรของมัลลกษัตริย์ ซึ่งกำลังเดินทางจากเมืองกุสินาราไปเมืองปาวา ผ่านมา จึงเข้าไปเฝ้า

ทรงสนทนาและแสดงธรรมอันเป็นสันติ ตลอดถึงเรื่องสมาธิอย่างยิ่งให้ฟัง ปุกกุสะเกิดความเลื่อมใส รับไตรสรณะเป็นที่พึ่ง แล้วถวายผ้าเนื้อดีสองผืน

นี้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สุขภาพและอาการโดยทั่วไปยังทรงดีอยู่ พอที่จะปฏิสันถารสนทนาธรรม และ สมาธิอันลึกซึ้งได้อย่างดี เป็นที่ประทับใจแก่ปุกกุสะ จนถึงกับแสดงตนเป็นพุทธมามกะ

ปุกกุสะกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ผ้าสิงคิวรรณ (ผ้าเนื้อละเอียดอย่างดี มีสีดังทอง, สิงคี แปลว่า ทองคำ) คู่นี้ ผืนหนึ่งสำหรับห่ม อีกผืนหนึ่งสำหรับนุ่งเป็นผ้าพิเศษเนื้อเกลี้ยง

ตัวเขาเคยนุ่งห่มเป็นครั้งคราว เขาได้เก็บรักษาไว้ แต่บัดนี้จะถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงรับผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งทรงบอกให้ปุกกุสะนำไปถวายพระอานนท์

ชายผู้นี้ได้ทำตามพุทธประสงค์ กราบถวายอภิวาทพระบาทพระพุทธเจ้าแล้วเดินทางต่อไป

หลังจากนั้น พระอานนท์ได้นำผ้าที่ชายผู้นั้นถวายท่านเข้าไปถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงนุ่งผืนหนึ่งและห่มอีกผืนหนึ่ง

พอพระพุทธเจ้าทรงนุ่งและห่มผ้าสิงคิวรรณแล้ว ปรากฏว่าพระกายของพระพุทธเจ้าฉายพระรัศมีเปล่งปลั่ง และผุดผ่องผิดปกติยิ่งกว่าครั้งใดๆที่พระอานนท์เคยเห็นมา พระอานนท์จึงกราบทูลกับพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์มาก


“อานนท์ ! เป็นอย่างนั้น, กายของตถาคต ย่อมมีฉวีผุดผ่องในกาลสองครั้ง คือ ในราตรีที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ,

และ ราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (เป็นการดับกิเลสโดยไม่มีกายสังขารเหลืออยู่ คือ สิ้นทั้งกิเลสและชีวิต).

อานนท์ ! การปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างต้นสาละคู่ ในสวนสาละอันเป็นที่แวะพักกลางทางของพวกมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา ในตอนปัจฉิมยามแห่งคืนนี้”

“มาเถิด, อานนท์ ! เราจักไปยังแม่น้ำกกุธนทีด้วยกัน” ทรงสรงในแม่น้ำกกุธนทีแล้ว เสด็จเข้าสวนอัมพวัน (สวนมะม่วง) ประทับนอนสีหเสยยา เพื่อพักผ่อนบนสังฆาฏิพับเป็นสี่ชั้นปูถวายโดยพระจุนทกะ

พระพุทธองค์ทรงตรัสปรารภถึงนายจุนทะ ด้วยมีพระทัยเป็นห่วงเป็นใยนายจุนทะว่า อาจจะถูกตำนิติเตียนกล่าวร้ายได้ ไว้ดังนี้

“อานนท์ ! คงมีใครทำความเดือดร้อนให้แก่ จุนทะ กัมมารบุตร โดยกล่าวว่า ‘จุนทะ ! การที่ท่านถวายบิณฑบาตเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งหาได้โดยยากนั้น ไม่เป็นลาภเสียแล้ว’ ดังนี้.

อานนท์ ! เธอพึงกำจัดความเดือดร้อนนั้นเสีย โดยกล่าวว่า ‘จุนทะ ! การถวายบิณฑบาตครั้งสุดท้ายของท่านเป็นความดีแล้ว เป็นลาภของท่านแล้ว,

เราได้ฟังมาแล้วเฉพาะพระพักตร์ว่า บิณฑบาตทั้งสอง มีผลเสมอกัน มีผลยิ่งยอดกว่าบิณฑบาตอื่นๆ คือ บิณฑบาตที่ตถาคตเจ้าเสวยแล้ว ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ อย่างหนึ่ง

และที่เสวยแล้วเสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ อย่างหนึ่ง.

กุศลกรรมที่นายจุนทะสร้างสมแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ อายุ วรรณะ สุขะ ยศ สวรรค์ และ ความเป็นใหญ่’ อานนท์ ! เธอพึงกำจัดความเดือดร้อนของนายจุนทะ กัมมารบุตร ด้วยการกล่าวอย่างนี้ แล”. แล้วทรงเปล่งพระอุทานนี้:

ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:13:25 น.  

 

“บุญ ย่อมเจริญ งอกงาม แก่ทายก ผู้ให้อยู่ๆ,

เวร ย่อมไม่สืบต่อ แก่บุคคลผู้ระงับเวรเสียได้,

คนฉลาดเท่านั้น, ละบาปเสียได้แล้ว ก็นิพพาน

เพราะความสิ้นไปแห่ง ราคะ โทสะ และโมหะ”.

พระพุทธองค์พร้อมกับพระสงฆ์บริวารเสด็จไปถึงชานเมืองกุสินาราในเวลาจวนค่ำ เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญวดี แล้วเสด็จเข้าไปในอุทยานนอกเมืองนั้นชื่อว่า ‘สาลวโนทยาน’

ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่สองต้นเคียงคู่กันอยู่ เรียกว่า ‘ต้นสาละ’ อุทยานแห่งนี้จึงได้นามตามต้นสาละว่า สาลวโนทยาน ดังกล่าว

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงอุทยานแห่งนี้แล้ว ตรัสสั่งให้พระอานนท์ตั้งเตียง หันทางเบื้องศีรษะไปทางทิศเหนือ ให้เตียงอยู่ระหว่างใต้ต้นสาละทั้งคู่ ตรัสว่า

“เราลำบากและเหน็ดเหนื่อยมาก จักนอนระงับความลำบากนั้น”

พระอานนท์จัดตั้งเตียงและปูผ้ารองเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จบรรทมตะแคงข้างขวา หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ

ตั้งพระบาทซ้อนเหลื่อมกัน ดำรงสติสัมปชัญญะแล้วตั้งพระทัยจะเสด็จบรรทมเป็น ไสยาวสาน (นอนเป็นครั้งสุดท้าย) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘อนุฐานไสยา’ แปลว่า นอนโดยจะไม่ลุกขึ้นอีก


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:16:23 น.  

 

ระยะทางจากบ้านนายจุนทะมาถึงสาลวโนทยาน ซึ่งทรงประทับปรินิพพานนั้น เป็นระยะทางรถยนต์ในปัจจุบันถึง 24 กิโลเมตร (14 ไมล์)

และ แม่น้ำกกุธนทีอยู่ห่างจากบ้านนายจุนทะ 10 กิโลเมตร (6 ไมล์)

แสดงให้เห็นว่าแม้พระองค์จะทรงประชวรหนัก จนถึงกับเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน (การตายของพระอรหันต์) ในค่ำวันเดียวกันนั้นก็ตาม

พระองค์ยังทรงสามารถเสด็จดำเนินได้เป็นระยะทางถึง 24 กิโลเมตร (14 ไมล์) ภายในวันเดียว (และคงใช้เวลาไม่เกิน 10 ชั่วโมง เพราะถึงเมืองกุสินาราเวลาจวนคํ่า)

ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลพอควร แม้สำหรับคนที่สบายดีเป็นปกติ โดยทรงพักกลางทางเพียง 2 แห่ง ที่แม่น้ำลำเล็กแห่งหนึ่ง และ ที่แม่น้ำกกุธนที-สวนอัมพวัน อีกแห่งหนึ่งในระหว่างทาง

จึงเป็นที่น่าสังเกตได้ว่า การป่วยอาพาธของพระองค์คงเป็นการป่วยอย่างกะทันหัน และสุขภาพโดยทั่วไปของพระองค์ทรงอยู่ในสภาพที่ดีมากก่อนหน้านั้น

เพราะโดยปกติ พระองค์ทรงเดินทางด้วยพระบาทได้โดยเฉลี่ย ประมาณวันละ 28 กิโลเมตร (16.5 ไมล์) ซึ่งต่างจากวันสุดท้ายไม่มากนัก

การที่ทราบเช่นนั้น เพราะหลังจากพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ณ พุทธคยาแล้ว ทรงประทับอยู่เสวยวิมุติสุข ณ พุทธคยาต่ออีก 7 สัปดาห์ คือ 49 วัน ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางไปโปรดปัญจวัคคีย์ (สาวก 5 องค์แรก) ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองสารนาถ ซึ่งอยู่ห่างไป 250 กิโลเมตร (147ไมล์)

โดยเสด็จถึงสถานที่แห่งนั้น 1 วันก่อนวันอาสาฬหบูชา (วันเพ็ญเดือน คือ 58 วัน หลังวันตรัสรู้ นั่นคือ พระองค์ทรงใช้เวลา 9 วัน ในการเดินทาง 250 กิโลเมตร

หรืออาจกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงสามารถเดินทางได้โดยเฉลี่ยวันละ 28 กิโลเมตร (16.5ไมล์) ในเวลาที่ทรงสบายดีเป็นปกติ ไม่ได้ต่างมากไปจากการเดินทางในวันสุดท้ายของพระพุทธองค์ ซึ่งทรงเดินทางได้ถึง 24 กิโลเมตร (14ไมล์) ในขณะที่กำลังทรงประชวรหนัก

จึงบ่งบอกว่า เป็นการป่วยกะทันหัน ไม่ใช่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังจนทำลายพระวรกายและสุขภาพโดยทั่วไปให้อ่อนเพลียมากมายก่อนหน้านั้น หากแต่อาหารมีพิษร้ายแรงและทำให้เกิดอาการของโรครุนแรงมาก (หรืออาจทำให้โรคเก่าที่หายแล้วกลับกำเริบ)

จนทำให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานภายในวันเดียวกันกับที่ทรงเสวยสูกรมัท ทวะนั้น และก่อนหน้านั้น สุขภาพของพระองค์ทรงแข็งแรงดีมากสำหรับวัย 80 พรรษา

ซึ่งเมื่อเทียบกับสมัยตรัสรู้ใหม่ๆเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 35 พรรษาแล้ว ยังทรงสามารถเดินทางได้โดยเฉลี่ยไล่เลี่ยกัน เพียงแต่ต้องหยุดพักระหว่างทาง 2 แห่ง และชี้บ่งให้เห็นว่าแม้พระองค์จะทรงเคยประชวรหนักเมื่อประมาณ 3 เดือนเศษก่อนหน้านั้น

คือ สมัยที่ทรงประทับอยู่ ณ บ้านเวฬุวคามก็ตาม ด้วยโรคปักขันธิกาพาธ คือโรคบิด, ตกเลือด, ลงแดง ซึ่งอาจหมายถึงโรคบิดที่ถ่ายเป็นเลือด ได้แก่ โรคบิดมีตัว (Amoebic dysentery) หรือ โรคบิดไม่มีตัว (Shigellosis) พระองค์ได้ทรงหายจากการประชวรครั้งนั้นแล้วเป็นอย่างดี

เมื่อทรงหายประชวรครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงรู้สึกสบาย จนถึงกับทรงสามารถเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในนครเวสาลีได้

ครั้นเสด็จกลับจากบิณฑบาตและเสวยภัตตาหารแล้ว พระองค์ได้รับสั่งให้พระอานนท์นำผ้าสำหรับรองนั่งตามเสด็จไปยัง ปาวาลเจดีย์ เพื่อทรงพักผ่อนสำราญอิริยาบถในเวลากลางวัน

ขณะประทับนั่งในร่มพฤกษาแต่ลำพังพระองค์เดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดำรงพระสติสัมปชัญญะ ปลงพระชนมายุสังขาร โดยทรงกำหนดในพระทัยของพระองค์เองว่า

อีกสามเดือนต่อจากนี้พระองค์จะปรินิพพาน เมื่อพระอานนท์เข้ามาเฝ้า พระองค์ได้ตรัสว่า “อานนท์ ตถาคตปลงใจจักปรินิพพานใน วันเพ็ญเดือนวิสาขะ อีกสามเดือนต่อจากนี้แล้ว.”

แม้หลังจากปลงอายุสังขารแล้ว พระองค์ยังทรงเสด็จไปสู่ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี บ้านภัณฑคาม บ้านหัตถิคาม บ้านอัมพคาม บ้านชัมพุคาม และ โภคนคร ก่อนจะมาถึง เมืองปาวา ณ บ้านนายจุนทะ

ซึ่งชี้บ่งว่า พระองค์ได้เดินทางอยู่โดยตลอด 3 เดือนสุดท้าย ไม่ได้นอนซมอยู่ด้วยโรคเรื้อรังแต่ประการใด และไม่มีการกล่าวถึงว่ามีอาการโรคกำเริบแต่ประการใดในระหว่าง 3 เดือนสุดท้ายนั้น

จนกระทั่งทรงประชวรหนักหลังจากที่ทรงฉันสูกรมัททวะ ซึ่งจัดถวายโดยนายจุนทะในเช้าวันสุดท้ายนั้น

ขอบคุณ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:20:40 น.  

 

กล่าวได้ว่า สูกรมัทวะซึ่งพระองค์ทรงฉันในวันนั้น มีโทษมหันต์ หรือ มีพิษร้ายแรงมาก พระองค์เองได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่า หากทรงฉันอาหารนี้เข้าไปแล้วจะต้องประชวรหนัก

จึงรับสั่งให้นายจุนทะถวายแต่พระองค์เพียงผู้เดียว และให้ฝังส่วนที่เหลือเสีย

หากสูกรมัทวะเป็นเนื้อหมูอ่อน หมูนั้นย่อมเป็นโรคหรือติดเชื้อ จึงทำให้พระองค์ประชวรเมื่อทรงฉันเขัาไป โรคที่น่าจะเป็นได้มี อาทิ ทริคิโนซิส (Trichinosis) หรือ ซิสติเซอร์โคซิส

(Cysticercosis จากการกินหมูที่เป็นเม็ดสาคูซึ่งเกิดจากพยาธิตัวตืด นายจุนทะย่อมมองเห็นเม็ดสาคูในเนื้อหมูนั้น และย่อมจะไม่ปรุงถวายแน่นอน)

แต่อาการของโรคจะไม่เป็นอย่างกะทันหัน และไม่มีอาการในลักษณะดังกล่าวไว้ในพุทธประวัติข้างต้น

อาการของทริคิโนซิส (Trichinosis) เกิดจากการกินหมูที่ติดเชื้อพยาธิ ทริคิเนลล่าสไปราลลิส (Trichinella Spiralis) ซึ่งจะฟักตัวผสมพันธุ์อยู่ในลำไส้ 6 สัปดาห์

หลังจากนั้นตัวอ่อนจะชอนไชไปเข้าตามกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ พยาธิจะเจริญเติบโตเป็นถุงไต (encyst) บางครั้งมีหินปูนมาเคลือบ (calcify) และพยาธิสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นปีๆ

ผู้ป่วยมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตัวตามกล้ามเนื้อ แม้กระทั่งปวดลิ้น และปวดเสียดที่กล้ามเนื้อกระบังลม (Diaphragm)

อาจมีอาการท้องเสีย 24 - 72 ชั่วโมงหลังจากกินหมูที่ติดเชื้อพยาธินี้ แต่อาการของโรคนี้จะไม่ตายทันทีภายในระยะเวลาเพียงวันเดียว

ส่วน ซิสติเซอร์โคซิส (Cysticercosis) เกิดจากการกินหมูที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืดชนิดที่เป็นกับหมู ทีเนียโซเลี่ยม (Taenia Solium) หรือ เอคไคโนคอกคัส (Echinococcus) หรือหมูที่เป็นเม็ดสาคู

ซึ่งเมื่อกินเข้าไปแล้ว พยาธิจะเติบโตเป็นพยาธิตัวตืดในลำไส้ บางรายพยาธิตัวอ่อน (Larva) ลุกลามชอนไชเข้าไปในกล้ามเนื้อ เติบโตเป็นถุง (cyst) คือ ซิสติเซอร์โคซิส (Cysticercosis) หรือ เม็ดสาคู ซึ่งอยู่ได้เป็นปีๆ

บางครั้งอาจลุกลามไปที่สมอง หรือตามผิวหนัง บางรายมีอาการ 4 - 5 ปีหลังจากพยาธิได้ตายไปแล้ว อาการเป็นลักษณะเรื้อรังไม่ป่วยอย่างกะทันหัน

โดยอาจมีอาการเป็นตุ่มจากถุงไต (cyst) หรือ มีอาการเนื่องด้วยแรงกดผลักดันจากก้อน (mass effect) อาจมีท้องเสีย หรือ ถ่ายมีปล้องตัวตืด เป็นต้น


ขอบคุณ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "



 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:23:05 น.  

 

ในพระไตรปิฏก มีพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว มีกรรม เป็นตัวให้กรรมเนิด มีกรรมเป็นตัวเกี่ยวข้อง

มีกรรมเป็น ที่พึ่ง สัตว์ทั้งหลาย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม จักได้ผลกรรมนั้นแน่นอน...."

และว่า " ไม่ว่าจะไปอยู่กลางอากาศหรือหนีไปอยู่กลางทะเล จะช่วยให้คุ้มครองให้พ้นจากบาปกรรมได้ไม่มีเลย "

จากพุทธภาษิตนี้ พระพุฒโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์อรรถกถาพระวินัย ได้นำมาเขียน สรุปไว้ในผลงานของท่านว่า

"ขึ้นชื่อว่าผลกรรมแล้วไม่มีใคร สามารถห้ามได้ นั้นก็ หมายความว่า คนเราเมื่อทำอะไรลงไปแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม

ถึงคราวที่ความดีความชั่ว จะให้ผลนั้นย่อม ไม่มีใครห้ามได้ แม้พระพุทธเจ้า ของเราเองก็ทรงห้ามไม่ได้"

ความจริงข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 32 (ขุททกนิกาย อปทาน) ซึ่งในพระไตร ปิฏกเล่มนี้ มีกล่าวไว้ว่า ...

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงกรรมเก่าที่มาให้ผลแก่พระองค์กรรม

เก่าที่ตรัสเล่านั้นเป็นกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีตชาติ เมื่อครั้งยังเป็นปุถุชน แล้วมาให้ผลใน

ชาติปัจจุบันถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังไม่พ้นไป จากผลของ กรรมเก่านั้นซึ่งนำมาสรุปกล่าวได้ดังนี้

กรรมเก่าอย่างแรก คือ แกล้งโคไม่ให้ดื่มน้ำ

พระองค์ตรัสเล่าว่า ชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนเลี้ยงโค ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคแวะดื่มน้ำข้างทาง

เกรงจะชักช้าจึงไล่แม่โคไม่ให้ดื่มน้ำ ด้วยการแกล้งเอาไม้กวนน้ำให้ขุ่น บาปกรรมในชาตินั้นส่งผลมาถึงชาิตินี้

แม้จะได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ส่ง ผลให้พระองค์กระหายน้ำแล้วไม่ได้เสวยสมปรารถนาทันที เมื่อคราวใกล้จะเสด็จ ดับขันธ ปรินิพพาน

ขอบคุณ คุณกะทะ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:24:51 น.  

 

กรรมเก่าอย่างที่สอง คือ กล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง

พระองค์ตรัสเล่าว่า เป็นกรรมเก่าทำไว้ในหลายชาติในอดีตดังนี้ ในชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นนักเลง ชื่อ "ปุนาลิ"

ได้กล่าวตู่ (ใส่ร้าย) พระัปัจเจกพระพุทธเจ้าพระนามว่า "สุรภี" ว่าทำผู้หญิงท้อง ตายจากชาิตินั้น บาปกรรมส่งผลให้

ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่

ก็ส่งผลให้พระองค์มาถูกนางสุนทริกา กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนตั้งครรภ์ ต่อมาในชาติหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

พระองค์ได้ทรงกล่าวตู่พระเถระชื่อ "นันทะ" พระสาวถองค์หนึ่ง ของพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน ตายจากชาตินั้น

บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานนับหมื่นปี เกิดมา ในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูก นางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนนางตั่งครรภ์อีกเช่นกัน


ขอบคุณ คุณกะทะ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "

 

โดย: sirivinit 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:26:13 น.  

 

กรรมเก่าอย่างที่สาม คือ ฆ่าน้องชายต่างมารดา

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกเศรษฐี บิดาของพระองค์มีภรรยาหลายคน

ภรรยาคนหนึ่ง มีลูกชายพระองค์เกรงว่าทรัพยสมบัติส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้แก่น้องชายต่างมารดานั้นจึงลวงน้องชายไปฆ่าที่ซอกเขา

แล้วเอาหินทับไว้ ตายจากชาิตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิอยู่ในนรกนานปี เกิดมาในชาิตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว

เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินกระทบนิ้ พระบาทจนห้อ พระโลหิต

ขอบคุณ คุณกะทะ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:27:15 น.  

 

กรรมเก่าอย่างที่สี่ คือ จุดไฟดักทางพระปัจเจกพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นเด็กแซนซน วันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับเพื่อนเด็ก เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งกำลังเดินมา

จึงชวนกันจุดไฟดักทางเพื่อมิให้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้ ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้

แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมยังหลงเหลืออยู่ก็ ส่งผลให้พระองค์ถูกไฟไหม้ที่พระบาท


ขอบคุณ คุณกะทะ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:28:08 น.  

 

กรรมเก่าอย่างที่ห้า คือ ไสช้างจับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า มีพระปััจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก พระองค์เกิดเป็นควาญช้าง

วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งบิณฑบาตแล้วเกลียดจึงไสช้างให้จับ พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ตายจาก ชาตินั้น

บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ

อยู่ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีมาแทงพระองค์


ขอบคุณ คุณกะทะ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:29:06 น.  

 

กรรมเก่าอย่างที่หก คือ นำทหารออกศึก

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นแม่ทัพนำทหารออกรบฆ่า ข้าศึกตายเป็นจำนวนมากด้วยหอก ตายจาก ชาตินั้น

บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า

เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตชักชวนนายขมังธนูผู้ดุร้ายมาฆ่า


กรรมเก่าอย่างที่เจ็ด คือ เห็นคนฆ่าปลาแล้วชอบใจ

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกชาวประมง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลา

แล้วเกิดความสนุกยินดีสนุกสนาน มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์รู้สึกปวดพระ

เศียรเมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะพระประยูรญาติของพระองค์ ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลยกทัพบุกสังหาร

ขอบคุณ คุณกะทะ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:31:15 น.  

 

กรรมอย่างที่แปด คือ ด่าพระสาวกของพระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนปากกล้าด่าว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าผุสสะ

(พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 17 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายบาลี)

และพูดแดกดันทำนองว่าให้ท่านเหล่านั้นได้ฉันแต่ข้าวชนิดเลว อย่าให้ได้ฉันข้าวดีๆอย่างข้าวสาลีเลย

ตายจากชาตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว

บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์ได้รับนิมนต์จากพราหมณ์เวรัญชาให้ไปจำพรรษาในเมืองเวรัญชา

ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงก็เกิดข้าวยากหมากแพง ทำให้พระองค์ต้องเสวยข้าวชนิดเลว (ข้าวแดง) อยู่นานถึง 3 เดือน


กรรมอย่างที่เก้า คือ มีส่วนร่วมในการจัดมวยปล้ำ

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนจัดมวยปล้ำ มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วบาป

กรรมยังส่งผลให้พระองค์มีโรคประจำตัวพระองค์คือ ปวดพระปฤษฏางค์ (ปวดหลัง)
กรรมอย่างที่สิบ คือ เป็นหมอยารักษาคนไข้ตาย

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นหมอยารับรักษาลูกชายเศรษฐี โดยวิธีให้ถ่ายยา จนลูกชายเศรษฐีตาย

ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรก มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเศษกรรมที่ยัง

หลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์เกิดพระโรคปักขันทิกาพาธ (โรคท้องร่วง) หลังจากเสวยสุกรมัททวะก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน


ขอบคุณ คุณกะทะ

"คงศักดิ์ ตันไพจิตร, นงนุช ตันไพจิตร, สุนทร พลามินทร์ "

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:32:47 น.  

 

กรรมอย่างที่สิบเอ็ด คือ เยาะเย้ยพระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นชายหนุ่มชื่อ "โชติปาละ" วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ

(พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 26 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายบาลี)

แล้วกราบทูลทำนองเย้ยหยันว่า ทำไมจึงได้ตรัสรู้ช้าต้องบำเพ็ญพียรอยู่นานกว่าจะตรัสรู้ได้

มาเกิดในชาตินี้ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ แต่ด้วยผลกรรมนั้นจึงส่งผลให้พระองค์หลงทางในการแสวงหาโมกธรรม

จนต้องบำเพ็ญทุกรกิริยา อันทำให้พระองค์ต้องประสบกับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสกว่าจะตรัสรู้ได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือกรรมเก่าที่ไม่ดีของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสเล่าไว้อย่างเปิดเผย พระไตรปิฏกบอกว่าพระองค์ตรัสเล่า

ให้พระสาวกจำนวนมากที่มาเฝ้าพระองค์ฟังขณะที่ประทับนั่งอยู่บนพื้นหินแก้ว ในละแวกป่าใกล้สระอโนดาตเชิงป่าหิมพานต์

ณ ที่นั้นนอกจากจะได้ตรัสถึงกรรมเก่าที่ไม่ดีแล้วพระองค์ก็ทรง ตรัสถึงกรรมเก่าที่ดีซึ่งเป็นปัจจัยให้พระองค์ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไว้ด้วย

นั่นคือ ถวายผ้าเก่าแก่พระ พระองค์ตรัสเล่าว่าในชาติหนึ่งในอดีตนั้นพระองค์เกิดเป็นคนยากจนเห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้ารูปหนึ่งซึ่งถืออยู่ป่าเป็นวัตรแล้วเลื่อมใสจึงถวายผ้าห่มเก่าผืนเดียวที่ตัวเองมีอยู่แก่ท่านพร้อมกันนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธเจ้า

จากพระสาวกรูปนั้นแล้วเกิดเลื่อมใสยิ่งขึ้นจึงตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกการเริ่มต้นปรารถนา

แต่ครั้งนั้นของพระองค์ส่งผลให้ทำความดีมาอย่างต่อเนื่องจนมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้

เรื่องราวที่กล่าวมานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่ากรรมที่ทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตามย่อมคอยโอกาสให้ผลอยู่ตลอดเวลา

ตราบที่ผู้ทำกรรมยังเวียนวายตายเกิดแม้ชาติสุดท้ายจะได้บรรลุอรหัตผลแล้ว
แต่โดยเหตุที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งชีวิตนี้เกิดมาจากกรรมเก่าฉะนั้นยังคงต้องได้รับผลอยู่ดี

พระพุทธเจ้าของเราเองก็เช่นกัน แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วแต่กรรมเก่าก็ยังหาโอกาสให้ผลอยู่เป็นระยะ

กรรมเก่าบางอย่างก็ให้ผลมาแล้วแต่ยังมีเศษเหลืออยู่ แต่กรรมเก่าบางอย่างก็ยังมิได้ให้ผลมาเลยและมาให้ผลเต็มในชาตินี้

เห็นไหมว่ากรรมยิ่งใหญ่ขนาดไหนพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเข้าใจ ให้ถูกต้องและการแก้กรรมที่ดีนั้นก็คือ ไม่ทำความชั่วทำแต่ความดีแล้วจิตของเราก็จะพบกับความสุขสมบูรณ์แล.


ขอขอบคุณ

เขียนโดย นายบรรจบ บรรณรุจิ จากหนังสือ พ้นโลก ปีที่ 2 ฉบับที่ 12 เดือนมีนาคม พศ. 2535


//www.luangtasantipak.com/index...id=15&Itemid=9

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 0:34:27 น.  

 

 

โดย: KeRiDa 8 กุมภาพันธ์ 2554 5:33:57 น.  

 

สวัสดีครับพี่นาถ เข้ามาอ่านแบบ
เรื่อย ๆ ก่อนแล้ว ค่อยวิเคราะห์
เท่าที่อ่านดู ที่เด่นชัด แต่ก็ยังคลุม
เครือ พิมพ์แล้ว งง ตัวเอง อิ อิ

คือ หลายฝ่ายตีความว่า ฉันหมูหรือ
เห็ดกันแน่ ที่อาพาธ.

แล้วจะมาอ่าน แล้วตีความต่อครับ
ขอตัว ไปออกกำลังกายตอนเช้า
ครับ....... แล้วค่อยทำงาน

 

โดย: ไวน์กับสายน้ำ 8 กุมภาพันธ์ 2554 5:45:29 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับพี่นาถ



ส่งกำลังใจให้น้องด้วยนะครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 8 กุมภาพันธ์ 2554 6:07:39 น.  

 

 

โดย: กะว่าก๋า 8 กุมภาพันธ์ 2554 6:53:14 น.  

 

สวัสดีค่า พี่นาถ
พอดีเค็งไปบล๊อกพี่ตุ้ย เห็นข้อความด้านล่างนี้

" คนที่ลงสะพาน แล้วเลี้ยวซ้ายไม่ได้น่ะซีจ๊ะ
เด็กน้อย เขาเอ็นดู สว.น่ะ
นาถจังสูงวัยกว่าตุ้ยจังผู้ยังสาวน่า
อย่าทำเป็นขึ้งโกรธโทษฉันเลย...ฮิฮิ

ขอให้รับประทานสุธาโภชน์ อร่อยโอษฐ์รสเลิศล้ำมื้อกลางวันนี้นะจ๊ะ


โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:11:57:08 น.


พี่ตุ้ย โกรธที่เค็งเรียก พี่ตุ้ยจัง หรือค่า

ขอโทษ- Hi5 กราฟฟิคสำหรับคอมเม้น
เค็ง กราบขอประทานโทษด้วยนะค่า ขอโทษจริง ๆ ค่า ไม่ได้คิดล่วงเกินค่า




 

โดย: เค็ง (ลงสะพาน...เลี้ยวขวา ) 8 กุมภาพันธ์ 2554 7:55:33 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


สวัสดเช้าวันอังคารสดใส
มีความสุขตลอดวันค่ะ

 

โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว 8 กุมภาพันธ์ 2554 8:03:16 น.  

 



ขอให้น้องสู้ๆๆๆนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 8 กุมภาพันธ์ 2554 8:09:32 น.  

 

สวัสดีพี่นาถ เพื่อนวิที่รัก
สบายดีไหมคะ หายไปนานไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ
กำลังเปลี่ยนแปลงโยกย้ายอะไรใหม่ๆ เลยลุยเต็มที่นิดนึง
อืม...ที่สำคัญ ที่นั่งใหม่ โต๊ะตั้งหน้าห้องเจ้านายเล่นเนตลำบากค่ะ
อันนี้สำมะคัญที่ซู๊ดเลย แง.....

คิดถึงเสมอ ขอให้สมปรารถนาทุกประการนะคะ

 

โดย: biotech_girl 8 กุมภาพันธ์ 2554 10:35:02 น.  

 

อ่านบ่อยแต่ไม่ได้ทิ้งคำทักทายไว้
วันนี้ขอฝากคำว่าขอบคุณนะคะ ที่กรุณาหาเรื่องดีๆมาเผยแพร่ รูปของเหม เวชกร ดูเมื่อไรก็สวย

 

โดย: BabyGreace 8 กุมภาพันธ์ 2554 10:44:26 น.  

 

แวะมาทักทายตอนเที่ยงค่ะ

 

โดย: jamaica 8 กุมภาพันธ์ 2554 12:09:10 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่นาถ
ด้วยอนุภาพที่พระพุทธเจ้าสั่งสมมานานนะคะ
เป็นอีกข้อหนึ่งที่อย่างนี้เองที่เขาบอกว่าต้องสั่งสมความดี
นอกจากทำดีปุ๊บก็สบายใจปั๊บแล้ว
ยังส่งผลไปที่เรามองไม่เห็นด้วยค่ะ
พี่นาถสบายดีนะคะวันนี้

 

โดย: Sweety-around-the-world 8 กุมภาพันธ์ 2554 16:11:20 น.  

 




*กลบทรักร้อย*

ตราบใดที่ ที่รักยังอุ่นหอม
แทรกกรุ่นอ้อม อ้อมกอดเสน่หา
ปรารถนาผูก ผูกฝันกับศรัทธา
วาดทั่วฟ้า ฟ้าซึ้งระลอกรัก

รักอ่อนหวาน หวานหยดดุจน้ำค้าง
ดั่งมณีพร่าง พร่างพรายให้ใจสลัก
มองเย็นฉ่ำ ฉ่ำกมลจำทอดทัก
จมใจจัก จักมั่นผูกลืมกาล

ละอองไอ ไออวลโปรยปลื้มสบ
เกินพานพบ พบหอมแล้วลืมสาน
ใจพราวแพรว แพรวเร้นลึกดวงมาน
กล่อมเนิ่นนาน นานเนาถวิลคำนึง

ณ ลานหอม หอมกลั่นหยดทิพย์สวาท
ใจมุ่งมาด มาดรวบมากว่าครึ่ง
หวงแหนมี มีหมายตามตราตรึง
ให้รักหนึ่ง หนึ่งพิสมัยระบายทรวง

ผูกสะพาน พานฟ้าทาบมหาสมุทร
ผูกกาลหยุด หยุดช่วงเวลาหวง
ผูกสองเรา เราลืมทุกสิ่งปวง
รู้สองดวง ดวงมานคลอร่างเดียว


สวัสดีวันเหงาๆกับข่าวรอบด้านค่ะพี่นาถ

 

โดย: ญามี่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 16:23:11 น.  

 

ชอบบทวิเคราะห์ที่นำมาฝากด้วยค่ะ พี่นาถ ดูเป็นเหตุเป็นผลเป็นวิทยาศาสตร์ดีค่ะ

อ่านกรรมเก่า...ดูน่ากลัวจังค่ะ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังต้องรับกรรมเลย...แล้วเราๆ จะรอดเหรอคะ

ถ้าเรารู้ว่าเราเคยทำกรรมอะไรมา
เราคงไม่กล้าทำบาปอีกนะคะ...

เห็นคอมเมนท์คุณก๋า...น้องวิ ทำอะไรเหรอคะ...พี่นาถ

 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 8 กุมภาพันธ์ 2554 17:50:18 น.  

 




สวัสดีตอนเย็นค่ะพี่นาถ น้องวิ ด้วยนะคะ

 

โดย: มินทิวา 8 กุมภาพันธ์ 2554 18:33:35 น.  

 

อ่านแล้วอยากทำความดีอีกเยอะๆ กรรมหนียังไงก็ไม่พ้นซินะ

 

โดย: กระสุนลูกกวาด 8 กุมภาพันธ์ 2554 19:17:46 น.  

 

 

โดย: แก้วกลมกลม 8 กุมภาพันธ์ 2554 19:56:12 น.  

 

แวะมาสวัสดีพี่นาถยามค่ำ ก่อนพักผ่อนค่ะ

 

โดย: sawkitty 8 กุมภาพันธ์ 2554 20:56:29 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: หยุดนิ่ง 8 กุมภาพันธ์ 2554 21:21:50 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.