เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว
เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว
เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว (Barchan Dunes) เป็นสันทราย(Dune) ที่มีลักษณะคล้ายพระจันทร์เสี้ยว หรือลักษณะเป็นแนวโค้งซึ่งจะประกอบไปด้วยตะกอนทรายที่มีความกลมมนที่ดี,
มักเกิดขึ้นในทะเลทรายที่มีอากาศแห้งแล้งมาก และมักเกิดในพื้นที่ที่ปริมาณตะกอนขนาดทรายมีน้อย โดยเนินทรายดังกล่าวจะมีการวางตัวขนานไปกับทิศทางลม
เนินทรายชนิดดังกล่าวนี้จะมียอดเขาที่มีสันสูงชัน 2 ด้าน คือด้านแรกคือด้านหลังลม หรือปลายแหลมด้านหาง เป็นด้านที่ทำมุมทรงตัว
(Angle of repose: ทางลาดที่มีมุมเอียงสูงสุด ซึ่งทำให้เศษหิน ดิน ทราย ไม่เลื่อนต่อไป โดยปกติมุมเอียงจะอยู่ระหว่าง 33-37 องศา กับแนวนอนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของมวลนั้นๆ ด้วย) กับทราย
หรือทำมุมประมาณ 32 องศา จะทำให้เนินทรายชี้ไปในทิศทางที่ลมพัดไป อีกด้านคือด้านหน้าลม หรือปลายโค้งด้านหัวเนิน เป็นด้านที่เต็มไปด้วยลมและทำมุมประมาณ 15 องศา
ทำให้เนินทรายชี้ไปทางด้านต้นลม โดยปกติแล้วเนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยวอาจจะมีความสูงเป็น1เมตร-100เมตร หรืออยู่ระหว่างจุดปลายสุดของพระจันทร์เสี้ยวหรือแนวโค้ง
โดยทั่วไปแล้วเนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยวอาจจะปรากฏเนินทรายขนาดใหญ่ซึ่งจะเรียกว่าเนินทราย ดังกล่าวว่า เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว (Barchan Dunes) หรือเนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ (Megabarchan Dunes)
ซึ่งมีการเคลื่อนของเนินทรายไปตามทิศทางของลม และอาจจะมีการรวมตัวกันเป็นเนินทรายที่มีขนาดความสูงประมาณ 100 กิโลเมตร
การเคลื่อนของเนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยวที่เป็นเนินทรายขนาดเล็กจะมีการเคลื่อนที่เร็วกว่าเนินทรายขนาดใหญ่ โดยที่การเคลื่อนที่จะมีการเคลื่อนที่เข้ามาชนกับ ส่วนหลังของเนินทรายที่มีขนาดใหญ่กว่า
ซึ่งจะทำให้เกิดการรวมตัวกันกลายเป็นเนินทรายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยกระบวนการดังกล่าวจะคล้ายคลึงกับคลื่นแสง, เสียงหรือน้ำที่มีการเคลื่อนที่ผ่านสิ่งอื่นๆเป็นเส้นตรง
รายละเอียดของโครงสร้างของกระบวนการดังกล่าวนั้นจะมีความแตกต่าง และจะทำให้ไม่เป็นเส้นตรงซึ่งเรียกว่า solitons
การเคลื่อนของเนินทรายพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของ Solition แต่จะแตกต่างกันตรงที่ตะกอนทรายจะไม่มีการเคลื่อนที่ผ่านสิ่งอื่นๆ เมื่อเนินทรายขนาดเล็ก มีการเคลื่อนที่ไปชนกับเนินทรายที่มีขนาดใหญ่กว่านั้น
ลมจะมีการพัดพาตะกอนทรายมาตกสะสมบนบริเวณที่เนินทรายมีการชนและในเวลาเดียวกันนั้นตะกอนทรายจากเนินทรายก่อนหน้านี้จะถูกพัดออกมาเติมบริเวณที่เกิดการชนกัน
โดยการเคลื่อนที่ชนกันของเนินทรายนั้นสามารถนำมาสันนิษฐานถึงขอบเขตของเนินทรายที่เกิดขึ้นก่อนโดยสังเกตได้จากการเคลื่อนที่ของเนินทรายที่มีขนาดเล็กกว่าที่เคลื่อนที่อยู่
ซึ่งจะลมจะเป็นตัวที่ช่วยให้มีการเคลื่อนที่ของเนินทรายด้วยความเร็ว (Schwämmle & Herrmann, 2003)
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สิริสวัสดิ์อาทิตยวาร สิริมานรมเยศนะคะ
Create Date : 17 เมษายน 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 17 เมษายน 2554 12:18:39 น. |
Counter : 4027 Pageviews. |
|
|
|