บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
10 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
จิปาถะ(6)...ชุมชนนิมนต์ยิ้ม 2






ขำขำได้สาระกับพระมหาสมปอง

เหตุผลคนไม่เข้าวัด....ธรรมะอมยิ้ม

สมัยนี้คุณโยมหลายคนเริ่มเข้าวัดกันมากขึ้น แต่อีกหลายคนก็ไม่อยากจะเข้าวัดเอาเสียเลย ด้วยเหตุผลว่า..........

-เพราะประมาท
-เพราะฉลาดกว่าพระ
-เพราะเศรษฐกิจไม่อำนวย
-เพราะสังขารไม่ช่วย
-เพราะพระบอกหวยไม่ถูก
ข้อสุดท้ายนี่แหละสำคัญ


แค่มาส่ง.....ธรรมะอมยิ้ม พระมหาสมปอง

เรื่องนี้ว่าด้วยสตินะคุณโยม มีคุณโยม 3 ท่าน นั่งคุยกันอยู่ที่ชานชลารถไฟ ทันใดนั้นเสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้นแล้วรถไฟขบวนที่ตัวเองต้องขึ้นก็วิ่งออกไป

"เฮ้ย.....เร็วเว้ย เดี่ยวไม่ทัน" เจ้าเพื่อน 2 คนรีบวิ่งตามรถไฟแล้วก็กระโดดขึ้นรถไปทันที ส่วนเพื่อนอีกคนมัวแต่หันไปหยิบกระเป๋าเลยวิ่งตามไม่ทัน

พอวิ่งไปสุดชานชลาเขาก็หยุดหอบหายใจแล้วโบกมือส่งเพื่อนแถมหัวเราะก๊ากไม่หยุด จนนายสถานีต้องเดินมาถามว่าเป็นอะไร

"จะไม่ให้หัวเราะได้ยังไงครับท่าน ก็เจ้าสองคนนั่น จริงๆ แล้วมันมาส่งผมน่ะสิครับ"

............................................................................
ญาติโยมหลายท่านมักถามว่า

' ท่านบวชเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่ในเพศบรรพชิตมามากกว่าครึ่งชีวิต
มีโอกาสสัมผัสชีวิตฆราวาสไม่มากนัก แล้วเอาข้อมูล วัตถุดิบหรือมุกมาจากไหนหนักหนา'

อาตมาก็ตอบว่า หลักๆ เลยก็คือ การอ่าน นอกจากนั้นก็หนัง ละคร ที่ญาติโยมดูกันนั่นแหละ พอตอบออกไปอย่างนี้ โยมก็สวนกลับทันที ' ไม่ผิดข้อห้ามหรือท่าน'

อาตมาก็จะอธิบายไปว่า ดูเพื่อให้เท่าทันกิเลสจะได้สกัดมันถูก และที่สำคัญ หากอาตมาไม่รู้หรือไม่เข้า ใจตลอดจนไม่เท่าทันเรื่องราวทางโลกและ จะมาบรรยายธรรมให้ญาติโยมรู้สึกอินกันได้อย่างไรซึ่งนอกจากการอ่าน การดูและการฟังแล้ว หลายวัตถุดิบที่นำมาสร้างเป็นมุกฮา ก็ได้มาจากการพูดคุยกับเหล่าโยมๆ นี่แหละ

อย่างวันหนึ่งระหว่างที่อาตมากำลังฉันเพลอยู่ก็มีโยมท่านหนึ่งโทร.มา

' พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองนะคะ'
' หา อะไรนะ'

' พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองค่ะ'
' ถ้าโยมแทนตัวว่าอาตมา แล้วอาตมาจะแทนตัวอาตมาว่าอะไร'
' อ๋อ ขอโทษค่ะ'

หลังจากนั้นก็คุยธุระกันจนจบ อาตมาก็กล่าวว่า

' เจริญพร'
' ค่ะ เจริญพรเช่นกัน'
แน่ะ มีอวยพรให้พระด้วย

ข้างต้นก็คือ สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ระหว่างพูดคุยกับเหล่าญาติโยม จนถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับอาตมาไปแล้ว หรืออย่างก่อนหน้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เดินถือสังฆทานมาอย่างมาดมั่นพอเข้ามาในกุฏิแล้ว เธอก็มุ่งตรงไปที่พระบวชใหม่รูปหนึ่งทันที

' ถวายสังฆทานค่ะ' พระบวชใหม่ด้วยความที่ยังจำบทสวดต่างๆ ไม่ค่อยคล่องนัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาดู

' ไม่ต้องค่ะ' โยมผู้หญิงคนนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นตามสไตล์สาวมั่น

' ดิฉันท่องได้ค่ะ เพราะคุณยายพาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ' เธอพนมมือขึ้น ก่อนกล่าวว่า
' อิมานิ มะยัง ภันเต สะปะริวารานิ คิกขุ สังโฆ' ( ที่ถูกต้อง จะต้องเป็น ภิกขุ สังโฆ)

พระบวชใหม่มีสีหน้างุนงง ก่อนหันมาถามอาตมา

' คิกขุสังโฆ นี่มันฟังทะแม่งๆ นะหลวงพี่'

อาตมาเกรงว่าโยมผู้นั้นจะหน้าแตก ก็เลยตอบไปว่า

' คิกขุ แปลว่า น่ารัก สังโฆ แปลว่า สงฆ์ คิกขุสังโฆ ก็คือ แด่พระสงฆ์ผู้น่ารัก'
เท่านั้นแหละ พระใหม่รูปนั้นนั่งยืดทั้งวันเลย

แต่ก็มีบางกรณี ที่การพูดผิดของคุณโยมทำให้อาตมาแทบจะสำลัก
อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีโยมท่านหนึ่งโทรศัพท์มา
' หลวงพี่ขา ขอเรียนเชิญนิมนต์ค่ะ'
' ไปไหนล่ะโยม'
' ไปมรณภาพที่บ้านน่ะค่ะ'
โห นิมนต์พระไปตายถึงที่บ้านเลย อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้านิมนต์ไปงานศพไปให้ได้
แต่ถ้าเชิญไปมรณภาพนี่ ช่วงนี้อาตมาไม่ว่างจริงๆ ขอตัวเถอะนะโยม

จากตัวอย่างที่อาตมาเล่าไว้ข้างต้น คุณโยมอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่มันก็สะท้อนให้เห็นความห่างเหินระหว่างคนกับวัดได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันนี้คนจะนึกถึงวัดในกรณีพิเศษเท่านั้น เช่นงานบวช งานศพ ต่างกับสมัยก่อนที่วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ฆราวาสกับพระจึงสนทนากันไหลลื่น ไม่มีคำแปลกๆ หรือผิดที่ผิดทางออกมาให้พระสุดุ้งแต่อย่างใด ถ้าพูดถึงศัพท์แสงที่แสลงใจแล้ว ตอนไปบิณฑบาตอาตมาจะเจอบ่อยมาก เช่นมีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงใสๆ แว่วขึ้นมา

' แม่ๆ พระมาขอข้าว'
' มาเยอะไหมลูก'
' มา2 อัน'

โห เรียกอย่างกับชิ้นส่วนรถยนต์ นี่ถ้ามาเยอะๆไม่เรียกเป็นฝูงเลยเหรอ
ดังนั้นเวลาไปบรรยายธรรมให้นักเรียนฟังอาตมาจะนำเรื่องนี้ไปสอดแทรกเพื่อสอนเด็กๆ ด้วย

' ถ้าพระกิน เรียกว่า ฉัน'
' พระนอน เรียกว่า จำวัด' (บางคนเรียกขี้เกียจเป็นพระนอนไม่ได้)
' พระป่วย เรียกว่า อาพาธ'
' พระตาย เรียกว่า มรณภาพ' (ไม่ใช่เรียกป่อเต็กตึ๊งนะ)
' แล้วพระอาบน้ำล่ะ เรียกว่าอะไรเอ่ย'
คราวนี้อาตมาถามให้เด็กๆ ตอบบ้าง
' เรียกคนมาดู'

จบกัน...



ความสุข ๒ ชั้น (ธรรมะเดลิเวอรี่)

อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย

เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน

ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน
ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบ...ยนั้นต่ำต้อย ฯลฯ

โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า “ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้...แต่ผมให้เข้าครับ” (แล้วไป)

อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)

ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ

เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน! อยากทำงาน! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบ...ยให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น

อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย
เจริญพร...




เพราะอยากให้เด็กไทยมีเกราะกันภัย ผู้ใหญ่ใจดีสินเอเซียจึงขยันเดินสาย นิมนต์และติดตามหลวงพี่ไปทั่วประเทศ เด็กไทยธรรมดีต้องดำเนินชีวิตอย่างมีสติ มีความสุขความเข้าใจในชีวิต จุ๊จุ๊...โน่น หลวงพี่มาโน่นแล้ว เริ่มด้วยมุขไม่มีธรรมาสน์...เออ...ดีนะที่นี่ไม่มีธรรมาสน์ พระจะได้ไม่ต้อง “ทำมาด” (ฮา) เด็กๆ เริ่มหัวเราะคิกคักๆ ท่านใช้กลยุทธ์เป็นพวกเดียวกัน วัยรุ่นไม่ชอบทรงผมที่โรงเรียนบังคับ ผมยาวบ้านอยู่ติดถนนใหญ่ แต่ชอบซอย (ฮา)

“อาตมาก็ไม่ชอบทรงผมตัวเองเหมือนกัน” ท่านว่า “ไว้ทรงนี้ตั้งแต่เป็นเณร สั้นๆ เกรียนๆ ยิ่งทำให้ดูหน้าใหญ่ หน้าแป้น ใครดูก็รู้ว่าอาตมาเกิดที่ไหน เมื่อกี้สวนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ถามอาตมาว่าเป็นคนอีสานใช่มั้ย อาตมาว่า อ้าว รู้ได้ยังไง โธ่...หนูดูโครงกระดูกรูปหน้าท่าน หนูก็รู้แล้ว (ฮา)” จากนั้นท่านก็ปล่อยมุขแบบนันสต็อป บอกห่วงที่สุดคือยาเสพติด และปัญหารักในวัยเรียน ท้องก่อนแต่ง

เด็กสมัยนี้รักเร็ว อกหักเร็ว และเสียใจเร็ว นำมาซึ่งปัญหาการฆ่าตัวตายในวัยรุ่น คาถาสำหรับเด็กผู้หญิงคือคำว่า “ไม่” ไม่ให้-ไม่ใช่ไม่รัก-แต่ยังไม่ถึงเวลา ส่วนคาถาสำหรับเด็กผู้ชาย รักใครชอบใคร ขอเขาดีๆ ถ้าเขายังไม่ให้ ก็มุมานะเรียนให้จบ ทำงานทำการ เก็บเงินมาขอเขาอีกรอบ เดี๋ยวเขาก็ให้ (ฮา) อีกเรื่องคือการใช้ภาษา ตั้งแต่มีแชต ปวดหัวมาก ภาษาวิบัติหมด มาแว้ววววว...อิอิ...อิอิ...อิอิ...อิอิ...ชิมิชิมิชิมิชิมิ...หุหุ...โฮะ โฮะโฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ “ไม่รู้มันจะโฮะโฮะโฮะไปไหน” หลวงพี่รำพึงท่ามกลางเด็กๆ ที่ขำกลิ้ง

คำถาม 4 ข้อจากหลวงพี่

“รับปากกับพระมหาสมปองนะว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี้จะไม่ฆ่าตัวตายเด็ดขาด ฆ่าตัวตายปุ๊บ หมดสิทธิเป็นทุกอย่างนะ ทั้งดารานักร้องหล่อๆ สวยๆ ทั้งหมอ ทั้งทหาร ตำรวจ ที่เคยอยากเป็น หมดสิทธิทันที” พระมหาสมปองขอให้เด็กๆ รับปาก ชีวิตไม่เกิดมาง่าย ท่านให้ตอบโจทย์ชีวิต 4 ข้อ 1.ชีวิตคืออะไร 2.เราเกิดมาทำไม 3.อยู่เพื่ออะไร และ 4.ชีวิตที่มีค่าคืออะไร

พระนักเทศน์ชื่อก้องเทศนาธรรมเหมือนร่ายมนต์ เด็กในห้องประชุมเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้สลับกันไป มัลติมีเดียถูกนำมาใช้อย่างเหมาะเจาะ คำถามที่ไม่เฉพาะแต่เด็กๆ แต่เราเองทุกคนต้องตอบให้ได้ ชีวิตคืออะไร-ตอบได้แล้วจะรักชีวิต เราเกิดมาทำไม-เราต้องหาเป้าหมายในชีวิตให้ได้ ชีวิตนี้อยู่เพื่ออะไร-อยู่เพื่อทำความดี และสุดท้าย-ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่เรามีคุณค่า และทำให้ชีวิตของผู้อื่นมีค่า

เด็กๆ ไม่ต้องไปจำมาก-ท่านว่าของท่าน “มีสติไว้ในสต๊อก” เด็กไทยธรรมดีด้วยมีสติกำกับ มีข้อนี้ถือว่าเพียงพอ กิเลสทุกวันนี้ก็เดลิเวอรีเหมือนกัน กิเลสมันก็มีขั้นกว่าของมันขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นธรรมะก็ต้องแอดวานซ์ หลัก 4 ข้อที่พระมหาสมปองให้ไว้พร้อมกัน คือ 1.แรงบันดาลใจ เด็กต้องมีแรงบันดาลใจ มีไอดอลหรือต้นแบบ 2.ต้องมีเป้าหมาย เราเองก็เป็นอย่างนั้นได้ 3.ต้องกำจัดอุปสรรคที่สกัดการทำความดี และ 4.เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต ต้องมีความสุข+ความสำเร็จ

กตัญญูกตเวที

เวทีธรรมที่มงฟอร์ตในวันนั้น จบลงด้วยธรรมบทแห่งความสั่นสะเทือน พระนักเทศน์ขมวดหลักให้เด็กได้ยึด นั่นคือความกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นจุดสะเทือนใจของสังคมไทยมานานช้า “อาตมาขอโทษนะ ขอถามคำถามแรงๆ กับพวกเรา ลูกคนไหนที่ขาดคุณพ่อแล้วบ้าง ลูกคนไหนที่ขาดคุณแม่แล้วบ้าง หรือลูกคนไหนที่ขาดทั้งสองท่าน ขอให้ออกมาที่หน้าห้องประชุม”...คนเราจะรู้คุณค่าก็ต่อเมื่อได้สูญเสียสิ่ง นั้นไป อาตมาไม่อยากให้ถึงวันนั้น หน้าที่ของลูกคือรู้และทดแทนคุณตั้งแต่วันนี้...วันที่คนคนนั้นยังมีชีวิต อยู่

ขณะที่เด็กหญิงชายจำนวนหนึ่งก้าวเดินไปที่ด้านหน้าของห้องประชุม...มี เสียงออกจะเยือกเย็นคลอไปกับเพลง...ทั้งหมดมาเคยเหลวไหล ลูกซึ้งแล้วแนววิถีที่เป็นไป แม่ช้ำใจเพราะลูกมาจนชาชิน ลูกสร้างกรรมทำบาปกราบเท้าแม่ ซึ้งใจแน่แม่อภัยให้หมดสิ้น น้ำตาแม่แต่ละหยดที่รดริน ลูกถวิลดังน้ำกรดรดหัวใจ...จากนั้นเป็นการถ่ายทอดความใน ทุกคนหน้าตาแดงก่ำด้วยความรู้สึก น้องผู้ชายคนหนึ่งกลั้นสะอื้นพูด “ผมไม่มีพ่อตั้งแต่ 5 ขวบ คนที่ยังมีพ่อมีแม่ ตั้งใจดูแลท่านให้ดี อย่าด่าท่าน อย่าเถียงท่าน อย่าให้ท่านต้องเสียใจเพราะเรา”

จากเวทีนี้แต่นานมาแล้ว เด็กคนหนึ่งถอดหัวใจพูด “คนที่ยังมีพ่อมีแม่ควรรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เราเองแม้แต่รูปของแม่สักใบเราก็ไม่มี” ไม่น่าเชื่อว่าความกตัญญูจะเรียกความรู้สึกได้แรงขนาดนี้ เด็กทั้งห้องประชุมแทบจะร้องไห้ไปด้วยกัน ครูอาจารย์รับไหว้เพื่อรับเป็นพ่อครูแม่ครูของเด็ก ในความคิดของท่านมหาสมปอง ความกตัญญูคือหลักที่ยึดใจ เด็กนั้นเมื่อมีคนให้ยึด เมื่อมีคนให้ต้องนึกถึง การทำหรือคิดชั่วก็คิดหรือทำได้ยากขึ้น


จำวัด..ไม่ได้

พระนอนไม่หลับ เลยไปหาหมอใหม่จบมาจากเมืองนอก
หมอ: เป็นอะไรครับ
พระ : จำวัดไม่ได้จ๊ะโยมหมอ

หมอ: (ทำหน้างง) แล้วจะกลับวัดยังไง
พระ: (ทำหน้างงด้วย) มามอไซรับจ้างก็ต้องกลับมอไซนะโยม

หมอ: (ทำหน้าง๊งงง) แล้วมอไซรับจ้างจำวัดได้เหรอ
พระ: (ทำหน้าง๊งงงด้วย) มอไซรับจ้างจำวัดไม่ได้หรอกโยม มีแต่พระที่จำวัดได้

หมอ: (ทำหน้างงง๊งงง) อ้าวไหนบอกว่าจำวัดไม่ได้ไง
พระ : !=-+#@ %^&*( +๐"ฯ, ?

จำวัดเป็นภาษาพระแปลว่านอน.........................
หมอ: อ๋ออออออออออออออออออออออออออ



Create Date : 10 ธันวาคม 2553
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 18:33:45 น. 0 comments
Counter : 2196 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.