ตอนที่ 11(กว่าจะว่าเข็นออกมาสักตอน HBD.Fcที่รัก)
11 คนด้านนอกผนังกระจกใช้เวลาในการรับประทานอาหารไม่นาน เขาก็เห็นเธอเปิดขวดน้ำยกขึ้นดื่ม ก่อนจะรวบรวมทุกสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะกลับคืนลงถุงเหมือนเดิม
ชลธิศหวังว่าเธอจะนั่งพักให้ข้าวในกระเพาะเรียงเม็ดสักครู่ แต่ท่าทางรีบเร่งแบบนั้นคงไม่เป็นอย่างที่เขาหวังแน่นอน
“ทำอะไรอยู่ฮึ...ตาเดี่ยว”
เสียงทักจากทางประตูทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้ง หยิบรีโมทกดปิดมู่ลี่แทบไม่ทัน จะว่าไปแล้วก็ไม่ทันนั่นแหละ เพราะคนมาใหม่ถึงกลับเอ่ยถามต่อโดยไม่รอคำตอบแรกเลยด้วยซ้ำ
“พนักงานฝ่ายไหนกัน ทำไมถึงกล้าขึ้นมาใช้พื้นที่ส่วนตัวตรงนั้น ไม่ใช่ว่าที่นั่นสงวนไว้ให้เฉพาะผู้บริหารหรอกหรือ”
“ผมอนุญาตเองครับแม่” ชลธิศตอบ ทั้งยังลุกเดินไปช่วยพยุงมารดากลับมานั่นที่โซฟารับแขก ส่วนตัวเขา นั่งลงที่เดิม ตรงหน้าอาหารที่ยังรับประทานไม่เสร็จ “ว่าแต่แม่มีธุระอะไรเร่งด่วนครับ มาหาผมแต่เช้า รีบมากจนลืมเคาะประตู”
แม้คำถามนั้นจะใช้น้ำเสียงสุภาพราบเรียบ แต่ผู้เป็นแม่ก็ฟังออกว่าบุตรชายกำลังตำหนินาง ช่วยไม่ได้ ใช่ว่านางจะไม่ได้เคาะประตูซะเมื่อไหร่ล่ะ เพียงแต่...นางเคาะแล้วก็เปิดเข้ามาเซอร์ไพร์สบุตรชายทันทีก็เท่านั้น
“แม่เคาะประตูแล้ว เดี่ยวไม่ได้ยินเอง ไม่รู้ว่าใจลอยไปถึงไหน...หรือจะลอยออกไปข้างนอกที่ระเบียงนั่น ไหนบอกแม่มาซิ”
ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู แต่จะว่าไป เมื่อครู่เขาเองก็กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่จริง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับคนที่อยู่นอกระเบียงเมื่อครู่
“ไหนบอกมาซิ...ใช่คนนี้หรือเปล่าที่ลูกประกาศว่าจะแต่งงานกับเธอ...ถ้าใช่ก็ถือว่าหน้าตาไม่เลวทีเดียว ถึงจะสวยสู้สาวๆ ที่คุณย่าเลือกมาให้ดูตัวไม่ได้...ส่วนคุณสมบัติอย่างอื่น ก็คงต้องดูอีกที่ว่าผ่านเกณฑ์ที่คุณย่าตั้งไว้หรือเปล่า...ว่าไง ใช่คนนี้ไหม” นพมาศยังเน้นคำถามที่นางต้องการคำตอบตามความจริง เมื่อเห็นบุตรชายยังคงนั่งเงียบรับประทานอาหารต่อไปอีกหลายคำ
“ว่าไงลูกรัก...ตอบให้แม่ชื่นใจอีกสักประโยคเถอะ” สีหน้าแววตาออดอ้อนที่นางส่งไปให้บุตรชาย ถือว่าเป็นท่าไม้ตายที่มักจะได้ผลทุกครั้ง หากนางต้องการให้อีกฝ่ายทำตามใจ
“ครับ...แต่เรื่องเข้าคุณสมบัติตามเกณฑ์คุณย่าหรือไม่...อันนี้ คนแต่งงานคือผม ผมเป็นคนเลือก เรื่องนั้น... ผมไม่สนใจหรอก” ชลธิศตอบ เขาเก็บกล่องอาหาร เลื่อนไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะก่อนจะลุกเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กๆหาน้ำดื่ม ไม่ลืมที่จะหยิบมาเผื่อมารดาด้วย “ว่าแต่...ที่แม่มาหาผมแต่เช้านี่ มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่าครับ...ถ้าไม่มีผมจะได้เริ่มทำงานต่อ”
“เกิดปัญหาในโรงแรมที่เชียงใหม่ คุณย่าท่านได้รับรายงานมาเมื่อครู่ใหญ่ๆนี่เอง ท่านอยากให้ลูกขึ้นไปเคลียร์ด้วยตัวเอง” นพมาศมองเขม็งไปยังบุตรชายเหมือนกำลังจับผิด “อย่าบอกนะว่า พอย้ายมาดูแลงานที่นี่แล้วเดี่ยวจะลืมกิจการหลักของเรา”
“ผมยังไม่ได้รับรายงาน...ที่จริงโทร.มาบอกผมก็ได้ ไม่ต้องลำบากให้แม่มาบอกด้วยตัวเอง”
“ไม่ลำบากหรอก แม่เต็มใจมา ไม่เห็นเดี่ยวร่วมโต๊ะมื้อเช้า แม่ก็อยากมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พอดีคุณย่าได้รับโทรศัพท์ แม่เลยอาสามาบอกด้วยตัวเอง...ส่วนรายละเอียดอื่น เดี๋ยวคงมีคนโทรมารายงาน” นางตอบไปพลางจิบน้ำส้มเย็นเจี๊ยบ อธิบายจบไปไม่กี่วินาที เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นตามคาด
“อืม...เข้าใจแล้ว ถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน รอฉัน...”
ชลธิศสั่งการผ่านโทรศัพท์ก่อนจะวางสาย เขาติดต่อเลขานุการหน้าห้องให้จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่เที่ยวเช้าสุดของวันพรุ่งนี้ สั่งงานสำคัญที่ยังค้างอยู่ให้ผู้รับผิดชอบดำเนินการต่อ ก่อนจะหันมาทางกับมารดา
“วันนี้ผมจะจัดการงานหลายอย่าง คงไม่ได้กลับ ฝากแม่ดูแลจัดกระเป๋าเดินทางให้ผมด้วย พรุ่งนี้ให้ถวิลเอามาส่งผม”
“แล้วลูกจะให้ถวิลติดตามไปด้วยไหม แม่จะได้บอกถวิลให้เตรียมตัว”
“เรื่องนั้น ผมจัดการเอง...ส่วนตอนนี้เดี๋ยวผมจะให้ถวิลขับรถไปส่งแม่ที่บ้าน...ขอโทษด้วยครับ วันนี้งานค้างหลายอย่าง นั่งคุยเป็นเพื่อนคุณแม่ได้ไม่นาน”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก ทำงานต่อเถอะ ไม่ต้องออกไปส่ง แม่จะกลับเอง” นพมาศบอก นางลุกจากเก้าอี้บุนวมตัวนุ่ม ส่งยิ้มให้บุตรชายก่อนจะเดินผ่านประตูออกไป
ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย เพราะไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับบุตรชาย แต่นางก็หวังอยู่ไม่น้อยว่าแผนการของคุณย่าที่วางไว้จะสำเร็จ สามารถแยกตัวชลธิศให้ห่างจากผู้หญิงที่มีอิทธิพลมากถึงขั้นทำให้บุตรชายของนางออกจากงานเลี้ยงสำคัญได้โดยไม่ลังเลคนนั้น การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว งานนี้ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วระหว่างชลธิศกับคุณย่า ใครจะเป็นฝ่ายขึ้นแท่นผู้ชนะ...
ใกล้เที่ยงแล้ว...วันนี้อาโปไม่ได้ทำข้าวกล่องมารับประทานเอง เพราะเธอออกมาทำงานเช้ากว่าปกติ แต่มื้อเที่ยงวันนี้น่าจะมีลาภปากอยู่บ้างล่ะ อย่างน้อยก็คนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ใกล้ๆ คนนี้ล่ะที่ต้องรับผิดชอบมื้อกลางวันมื้อนี้ของเธอ
“ไอซ์...ตื่นๆๆ ตื่นได้แล้ว นั่งเหม่ออยู่ได้ ไปกินข้าวเถอะ วันนี้แกต้องเลี้ยงข้าวฉัน” อาโปเลื่อนเก้าอี้ไปสะกิดเพื่อนที่กำลังนั่งท้าวคางมองไปยังห้องกระจกใส
“อืม...แกไปกินเถอะ วันนี้ฉันเกิดอาการเบื่ออาหาร” ไอรดาปฏิเสธในสิ่งที่ทำให้อาโปถึงกับอ้าปากค้าง แถมยังทำตาโตเมื่อเห็นธนบัตรสีม่วงยื่นมาตรงหน้า “อยากกินอะไรก็ตามใจ...เงินเหลือทอนด้วย”
“อ้าว...นึกว่าจะใจป้ำให้หมดซะอีก” อาโปถึงกับถอนหายใจ แสดงสีหน้าผิดหวังโดยไม่ปิดบัง แล้วก็ยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอคว้าแบงก์ห้าร้อยมาถือไว้ในมือ“งบนี้ไม่อั้นใช่ป่าว”
“แหมๆๆ อาหารตามสั่งแถวนี้จานละไม่ถึงร้อย”
“ฉันจะไปนั่งร้านหรูๆ สั่งอาหารชุด”
“เฮ้ย...” เจ้าของเงินยื่นมือมาจะคว้าคืน แต่อ้อยเข้าปากช้างแล้ว ยากจะคายออกมาง่ายๆ
“อะไรๆ ให้แล้วจะเอาคืน ไม่เกินไปหน่อยหรือไง” อาโปท้วง นึกสนุกที่ได้แกล้งเพื่อน
“นี่ใบสุดท้ายของเดือนนี้แล้วนะ”ไอรดาทำหน้าระห้อยชวนให้สงสาร
“งั้นก็ไปกินข้าวด้วยกัน”
“ไม่หิว...ไม่กิน...ได้ยังไงเล่า...ปะไปกินข้าวกัน”
จู่ๆ ไอรดาก็เปลี่ยนใจรีบเก็บงานตรงหน้า คว้ากระเป๋าถือ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ทั้งยังดึงแขนเพื่อนให้ลุกตามอย่างเร่งรีบ ทำเอาอาโปถึงกับงงในพฤติกรรมของเพื่อนที่เปลี่ยนไปกะทันหัน
“เดี๋ยวๆ ฉันเก็บงานก่อน” อาโปยื้อไว้ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้กลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
“เที่ยงแล้ว...ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวไม่มีที่ให้นั่ง”
เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาสองสาวถึงกับชะงัก ทั้งหันไปมองทางต้นเสียง ก็พบผู้จัดการหนุ่มยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ อาโปเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อเช้า เธอได้ยินเขาเอ่ยนัดหมายเอาไว้ก่อนที่เธอจะถูกลากเข้าห้องท่านประธานใหญ่ เห็นบอกว่ามีธุระบางอย่างอยากให้เธอช่วย
“อ้อ ผู้จัดการเองหรือคะ...ขอโทษทีค่ะ ฉันลืมไปเรื่องนัดกินข้าว” อาโปเอ่ย พลางส่งยิ้มขอโทษแนบไปด้วย ทว่าประโยคนี้ของเธอกลับทำให้เพื่อนสาวถึงกับทำตาโต โน้มตัวเข้ามากระซิบถามเพื่อนอย่างอดไม่ได้
“ผู้จัดการนัดแกกินข้าวเหรอ”
“อืม...”
“ทำไมถึงนัดแก...มีอะไรกันหรือเปล่า”
“ถามแบบนี้ ชวนหาเรื่องนี่หว่า” อาโปหันไปดุเพื่อนตาเขียว อีกฝ่ายทำหน้าหงอ
“ถ้าผู้จัดการนัดแกไปกินข้าวแล้ว งั้นฉันขอตัวล่ะ” ไอรดาเอ่ย เธอเมินมองไปยังชายหนุ่มที่เวลานี้เขาเองก็กำลังมองเธออยู่ไม่วางตา นั่นทำให้ไอรดาต้องเมินหลบ ก่อนจะผละเดินไปก่อน วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่ลงไปหาอะไรกินมื้อเที่ยง เธอฝากเพื่อนร่วมงานคนอื่นซื้อนมกับซาลาเปาแล้ว กะจะนั่งเคลียร์งานให้เสร็จ อาโปก็ดันมาชวนให้เปลี่ยนใจ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องออกไปจากห้องทำงานนี้อยู่ดีโดยที่อาจไม่ได้กินอะไรเลย แล้วจะไปซุกตัวอยู่ที่ไหนดี โดยไม่ต้องเสียหน้า หรือจะหลบเข้าห้องน้ำ รอให้ทุกคนไปหมดแล้วค่อยออกมาทำตามความตั้งใจเดิม
“ไปกินข้าวด้วยกันนะครับ” วสันต์เอ่ยเบาๆ ปลายนิ้วเกี่ยวติดนิ้วก้อยของคนที่กำลังจะเดินหนี ก่อนจะคลายมือเมื่อ อาโปหันมารั้งเพื่อนไว้อีกคน
“นั่นสิ ท่านผู้จัดการนัดฉันกินข้าวก็เพราะมีธุระจะไหว้วาน แกก็ไปกินข้าวกับฉันจะได้ดูไม่น่าเกลียด เอ้า...ห้าร้อยนี้คืนแกก็ได้...ไปด้วยกันเถอะนะ”
นี่คงยากที่จะปฏิเสธแล้ว รับเงินห้าร้อยคืนมายัดใส่กระเป๋าก็เท่ากับรับปาก เอาเถอะ ไปกินข้าวด้วยกันตั้งสามคน ไม่ใช่อยู่ตามลำพังด้วยกันสองต่อสองเหมือนเมื่อคืนซะเมื่อไหร่ เขาคงไม่มีโอกาสทำอะไรลุ่มล่ามแบบนั้นอีก คิดแล้วไอรดาก็พยักหน้าตอบรับ
อาโปยิ้มกว้าง “ไปร้านไหนดีคะผู้จัดการ” เธอหันไปถามเจ้ามือ
“อันนี้แล้วแต่เลยครับ...ที่ไหนก็ได้หมด”
“งั้นก็คงต้องพึ่งไอรดาแล้วล่ะค่ะ เรื่องร้านอาหารฉันไม่ค่อยสันทัดสักเท่าไหร่...ว่าไงไอซ์” สุดท้ายก็หันมาถามเพื่อนก่อนจะเกี่ยวแขนให้เดินออกไปด้วยกัน
สุดท้ายที่ไม่ใช่ท้ายสุด อาหารเลิศรสมื้อเที่ยงแบบอิ่มจังตังค์อยู่ครบอาโปก็ไม่ได้สัมผัสลิ้มรส เมื่อมีโทรศัพท์เรียกพบตัวแบบกะทันหันจากคุณไพลิน ส่วนเรื่องอะไรนั้น คนโทรเรียกไม่ได้บอก แต่ฟังจากน้ำเสียงที่ทั้งห้วนทั้งเข้ม น่าจะสำคัญอยู่ไม่น้อย
“ขึ้นไปที่ห้องท่านประธานเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็ไม่ต้องถามว่าเรื่องอะไรให้ฉันต้องมาเสียเวลาอธิบาย”
คุณไพลินสั่งทันทีที่อาโปรับสาย แถมยังตัดบทการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทุกอย่าง สรุปแล้ว งานของเธอขึ้นตรงกับบริษัททัวร์หรือกับท่านประธานใหญ่คนนั้นกันแน่ แต่บ่นในใจไปก็เท่านั้น ใครๆ ก็รู้ว่าบริษัททัวร์แห่งนี้ แม้ร่วมทุนกับนักธุรกิจต่างชาติหลายประเทศ แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดก็ยังเป็นคนไทย และจะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่...
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ วันนี้คงกินข้าวกับทุกคนไม่ได้ ถูกตามตัวด่วนซะแล้ว” อาโปทำหน้าแหยๆ อย่างสำนึกผิด ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มีความผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว...แล้ว...” ไอรดาเผลอเหลือบตามองไปยังเจ้าของร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ฝ่ายนั้นเหมือนจะให้ความสนใจเพื่อนของเธอมากกว่า
“ไปเถอะครับ...อาจมีงานด่วนเข้ามาจริงๆ”
“ฝากไอรดาด้วยนะคะผู้จัดการ” อาโปฝากฝังเพื่อนก่อนจะลุกจากไปตามหน้าที่ทันที จึงไม่ทันได้ยินคำตอบรับของชายหนุ่มที่ทำเอาคนฟังอยู่ถึงกับหน้าร้อนวูบ
“ไม่มีปัญหา...ผมรับเลี้ยงตลอดชีวิตยังไหว” ชายหนุ่มเอ่ยทีเล่นทีจริงแล้วก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอ
เสียงหัวเราะของเขาน่าฟังพิลึก แต่ไอรดาไม่ยอมตกหลุมเสน่ห์ของเขาอีกแล้ว แค่เรื่องเมื่อคืนก็เข็ดจนไม่อาจจะเข็ดกว่านี้ได้อีกแล้ว
“อาโปไปแล้ว...ดิฉันเองก็คงต้องขอตัวบ้างแล้วค่ะ” ไอรดาทำท่าจะลุกขึ้นบ้าง แต่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับกุมมือเธอเอาไว้แน่น
“เดี๋ยวสิครับ ผมเองก็มีเรื่องอยากจะอธิบาย ถ้ารังเกียจจะกินข้าวกับผม ก็ขอโอกาสให้ผมพูดอะไรบ้าง อย่างน้อยก็ห้านาทีจะได้ไหม” วสันต์เหลือบมองอีกฝ่าย เห็นเธอยังเงียบ เขาก็ไม่คิดจะทิ้งโอกาส
“จริงๆ แล้วที่ผมนัดคุณอาโปทานข้าว ผมมีเป้าหมายสำคัญบางอย่าง ถึงแม้ว่าคุณอาโปจะไปแล้ว ไม่ได้กินกลางวันกับเรา แต่เป้าหมายของผมก็บรรลุแล้ว นั่นก็คือได้ทานข้าวกับคุณ ได้พูดคุย ได้อธิบายความจริงว่าเป็นอย่างไร”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ความจริงก็เห็นๆอยู่ ฉันเองก็รู้อยู่เต็มอก คุณมีลูกสาวแล้วจะไม่มีภรรยาได้ยังไง ถือว่าฉันซวยเองที่ดันเขาไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา แต่ขอร้องเถอะ ถ้าคุณกับภรรยาจะทะเลาะกันก็ไม่ควรดึงฉันเข้าไปเกี่ยวข้อง ฉันไม่อยากถูกลูกหลง ไม่อยากเล่นบทตบจูบ” ไอรดาเอ่ยซะยืดยาว ใบหน้าเผือดสีทันที
คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา เธอไปหาอาโปที่อาสาทำงานแทนที่บริษัทเพราะเหตุไฟฟ้าดับ ไปถึงไม่พบอาโป แต่กลับตกใจจนเป็นลมคิดว่าผีหลอก คนที่พาเธอออกจากตึกก็เป็นเขา ชายหนุ่มตรงหน้านี้ ชายหนุ่มที่เธอรู้อยู่เต็มอกว่าเขามีเจ้าของแล้ว แต่ทำไม เมื่อเธอฟื้นแล้ว แทนที่เขาจะส่งเธอกลับบ้าน เขากลับพาเธอไปบ้านของเขาอย่างเร่งรีบ สิ่งที่เจอตรงหน้าไม่คุ้มเลยสักนิด สามีภรรยาทะเลาะกันเหตุผลเรื่องอะไรเธอไม่รู้ แต่เธอกลายมาเป็นเครื่องมือของพวกเขา วสันต์ดึงเธอมาจูบต่อหน้าภรรยาเขา แล้วสุดท้าย เธอก็ถูกตบ ข้อหาแย่งผัวชาวบ้าน เรื่องราวแบบนี้มันน่าจดจำซะที่ไหนกัน...
“ปานวาดไม่ใช่ภรรยาผม...”
“แล้วปูเป้ไม่ใช่ลูกคุณปานวาดหรอกหรือ...เหอะ...ขอโทษด้วยนะคะคุณวสันต์ ฉันไม่อยากเป็นเครื่องมือของใครจริงๆ ขอฉันอยู่อย่างสงบสุขใช้ชีวิตไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างที่เคยเถอะนะคะ ปัญหาของคุณ คุณแก้ไขของคุณเองเถอะ...ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ ถึงหิวฉันคงกินไม่ลง ขอตัวก่อนนะคะ” ไอรดาตัดบทแล้วลุกออกจากโต๊ะไปทันที ไม่สนใจสายตาที่มองตามไปจนลับตานั้นจะหม่นหมองสักแค่ไหน
วสันต์ถึงกับหัวเราะหึหึในลำคออย่างประชดประชัน นี่เขาจะแพ้ในเกมความรักทั้งๆที่ยังไม่ทันลงสนามแข่งขันเชียวหรือ...จะเป็นไปได้อย่างไรกัน อาโปขึ้นมาที่ห้องท่านประธานครั้งนี้เป็นรอบที่สองของวัน ไม่รู้ว่ามีงานด่วนสำคัญอะไรหรือเปล่า ถึงได้เรียกตัวเธอด่วนชนิดที่ไม่ยอมให้ข้าวมื้อกลางวันตกถึงท้องเธออีกแล้ว หวังว่านี่คงไม่ใช่การกลั่นแกล้งกันหรอกนะ...อาโปนึกอยากหัวเราะให้กับตัวเอง คนอย่างเจ้านายใหญ่ที่มีธุรกิจมากมายล้นตัวคนนั้นนะเหรอจะมีเวลาว่างมาหาเรื่องกลั่นแกล้งลูกน้อง สนุกๆ คลายเครียด แค่เวลาจะหายใจหายคอแบบโล่งโปร่งสบายก็ยากเต็มทน
“มาแล้วเหรอ...กินข้าวมาหรือยัง ผมเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้คุณแล้ว กินก่อนจะได้มีแรงทำงาน” คนที่กำลังก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่เอ่ยขึ้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
อาโปรับคำเพียงสั้นๆ แล้วเดินไปยังชุดอาหารกลางวันที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าชุดรับแขก อาหารที่เขาเตรียมไว้ดูหรูหราระดับภัตตาคาร อาโปเหลือบมองเวลาที่นาฬิกาแขวนบนผนัง นี่ยังเที่ยงอยู่ อาหารมีอยู่แค่ชุดเดียว ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องรับประทานมื้อกลางวันหรือยัง ถ้ายัง นั่นก็หมายความว่า อาหารชุดนี้นี้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเขา
“ท่านประธาน รับประทานมื้อกลางวันหรือยังคะ” อาโปถามขึ้นตามมารยาท
“กินก่อนเถอะ งานผมยังค้างอยู่”
เขาตอบกลับมาทั้งที่ไม่ได้ละสายตาออกจากแฟ้มงานเลยสักนิด ตอบแบบนี้ก็แสดงว่ายังไม่ได้กิน แน่นอนแล้วว่าอาหารชุดนี้ถูกเตรียมไว้สำหรับเขาจริงๆ แล้วเขาก็ยกมันให้เธอ...เขาทำแบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ อย่างน้อยก็กับสุขภาพของเขาเอง ยิ่งมีบาดแผลที่แขนข้างนั้น ไม่รู้หายดีหรือยัง เมื่อเช้าเขาก็ไม่ได้บอกให้เธอทำแผลให้เหมือนทุกครั้ง
“หยุดพักรับประทานอาหารก่อนดีไหมคะ ยังไงกองทัพก็ยังคงต้องเดินด้วยท้อง ท้องอิ่ม สมองจะได้ปลอดโปร่ง” อาโปเอ่ยชวน “อาหารชุดนี้คนเตรียมคงหวังจะให้ท่านประธานรับประทานอย่างมีความสุข เอาเป็นว่าเดี๋ยวดิฉันโทรสั่งข้าวกล่องที่ร้านอาหารชั้นล่างขึ้นมาส่งอีกชุดดีไหมคะ”
ชลธิศเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มงาน มองหญิงสาวตรงหน้า แล้วก็ลากสายตาผ่านไปยังชุดอาหารที่วางอยู่ “ไม่ต้องสั่งเพิ่มหรอก อาหารชุดนั้น สำหรับสองคน ถ้าคุณคิดว่าไม่อิ่ม ในตู้เย็นมีผลไม้อีกถาด แต่ก็ถูกของคุณนะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
อาโปถึงกับกระพริบตาปริบๆ มองชายหนุ่มที่ลุกจากโต๊ะทำงานเดินตรงมายังที่ที่เธอนั่ง เขานั่งลงตรงข้ามกับเธอ เลื่อนอาหารชุดนั้นมาไว้ตรง หน้า จัดการเปิดกล่อง แยกทุกอย่างออกเป็นสองส่วนด้วยตัวเองก่อนจะเลื่อนกลับมาไว้ตรงหน้าเธอ
“กินเถอะ จะเที่ยงครึ่งแล้ว คุณคงหิวแย่” ชายหนุ่มเอ่ย
เขาลงมือรับประทานอาหารอย่างเงียบเชียบเหมือนเช่นเคย แต่ก็ไม่ได้แผ่รังสีความกดดันใดใดออกมาให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด ทว่าสายตาของเขาก็หาจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอเหลือบมาเธอไปบ้าง เห็นเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็พลอยมีความสุข นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กินข้าวได้กินข้าวกลางวันกับเธอแบบเปิดเผย มันให้ความรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง มื้ออาหารนี้ถึงได้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ดูไม่สมกับการดำรงตำแหน่งนักธุรกิจใหญ่ที่ต้องเร่งรัดเวลาซะจริงๆ
หากไม่เพราะต้องไปทำธุระต่างจังหวัดหลายวัน ชลธิศคงไม่หาเรื่องเรียกตัวอาโปมาทำงานที่ห้องทำงานเช่นนี้ เขาอยากมองเธอนานขึ้นอีกหน่อย จะได้เก็บภาพทุกอิริยาบถไว้ให้คิดถึง กอปรกับเมื่อเช้าได้ยินนัดหมายของเธอชัดเจน เขายอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้คนของเขาไปกินข้าวกับผู้ชายอื่น เลยต้องหางานจุกจิกให้ทำ จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของใครต่อใคร และงานที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจจับพิรุธได้นั่นก็คือ งานที่เกี่ยวกับคณะทัวร์ของเธอนั่นเอง
หลังรับประธานอาหารเสร็จ แฟ้มเอกสารที่อาโปเห็นวางอยู่บนโต๊ะทำงานของท่านประธานถูกขนย้ายมาวางไว้ยังโต๊ะรับแขกบางส่วน แต่ก็มากมายจนแทบจะล้นโต๊ะทำเอาอาโปถึงกับทำตาโตมองกองงานตรงหน้า
“หมดนี่เลยหรือคะ”
“ผมต้องการข้อมูลทัวร์ของช่วงเดือนนี้ไปจนถึงสิ้นปี มีทัวร์ต่างประเทศเข้ามากี่คณะ แต่ละคณะใครเป็นผู้รับผิดชอบ และ มีทัวร์ไหนที่จะขึ้นเชียงใหม่ ไปพักที่โรงแรมไหน กี่วัน...ผมต้องการข้อมูลพวกนี้ค่อนข้างด่วน เพราะพรุ่งนี้ผมจะบินขึ้นเชียงใหม่แต่เช้า”
“ไปเชียงใหม่พรุ่งนี้เช้า” ไม่ได้คิดจะถาม มันเป็นแค่คำอุทานจริงๆ
“ใช่...ใจผมอยากจะเอาคุณไปด้วย แต่มันติดปัญหาหลายอย่าง คงไม่สะดวกสักเท่าไหร่”
“ดีแล้วล่ะค่ะ...ขอฉันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบบ้างสักหลายๆ วันหน่อยก็ดี” อาโปยิ้มบางๆ
รอยยิ้มนั้น ทั้งถูกใจคนมองและยังทำให้เขารู้สึกขัดใจอยู่หน่อย อะไรกัน การที่มีเขาอยู่มันทำให้เธอต้องอยู่อย่างสับสนวุ่นวายขนาดนั้นเชียวหรือ...ทำไมแตกต่างจากความรู้สึกของเขาคนละขั้วกับการที่มีเธออยู่ในสายตา มันทำให้เขารู้สึกว่าโลกดูมีสีสันขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากมาย
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2563 |
|
0 comments |
Last Update : 15 ธันวาคม 2563 3:50:11 น. |
Counter : 603 Pageviews. |
|
|
|