Welcome To ทองหลาง Bloggang ว่างๆ ก็แวะเข้ามา...ยินดีต้อนรับจ้า

ตอนที่ 10 (เขียนไปเล่นเกมไป ผลเป็นไงลองอ่านดู)

 
10
 
            วันนี้อาโปมาถึงที่ทำงานค่อนข้างจะเร็วกว่าปกติ ถึงข้อเท้าจะแพลงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่างานของไอรดาที่ทำค้างเอาไว้ เมื่อรับปากไปแล้วว่าจะทำให้เสร็จทันตามกำหนดก็ต้องทำตามนั้นยังเหลือเอกสารที่ต้องตรวจอีกไม่เท่าไหร่ก็จะเสร็จ งานนี้อาโปถึงกับลงทุนเหมาแท็กซี่นั่งมาทำงานแทนการเข้าไปยืนเบียดเสียดอัดแน่นเป็นปลากระป๋องในตู้รถไฟฟ้าอย่างทุกครั้ง

ช่วงเวลาหกโมงเช้า ยังไม่มีพนักงานคนไหนเข้าสำนักงาน ห้องทำงานจึงเงียบเชียบช่วยเสริมสมาธิในการตรวจเอกสารของอาโปได้เป็นอย่างดี

“เกิดอะไรขึ้นนี่...อาโปมาทำงานตั้งแต่ไก่โห่ สงสัยพระอาทิตย์คงขึ้นผิดทางแล้วมั้งวันนี้”

เสียงแซวเชิงทักทายของประเทืองหรือที่ใครหลายคนเรียกว่าพี่ป๊อบ ดังขึ้นตั้งแต่เขาเพิ่งจะเดินผ่านประตูเข้ามาเป็นรายที่สองของวัน และตามติดด้วยพนักงานคนอื่นๆเริ่มทยอยเข้ามานั่งประจำโต๊ะทำงานของตน ทุกคนล้วนเอ่ยทักทายอาโปด้วยความประหลาดใจที่เห็นเธอนั่งอยู่ในห้องทำงานเป็นรายแรก

“ทำงานค้างไว้ค่ะพี่ป๊อบ วันนี้ถึงคิวส่งรายงานท่านประธานใหญ่ ก็เลยต้องแหกขี้ตามาทำต่อแต่เช้ามืด” อาโปตอบพลางยิ้มทักทาย และยังเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อย่างเป็นกันเอง

“คนอย่างอาโปมีวันนี้ด้วยเหรอ...วันที่ทำงานไม่เสร็จจนต้องมาเร่งทำต่อตอนเช้า ทุกทีไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยนี่ งานเสร็จทันตามกำหนด ไม่เคยอยู่ในโหลดองเหมือนคนอื่น” ป๊อบถามต่อเมื่อเดินเข้ามาใกล้ ทั้งยังชะโงกหน้าเข้าไปดูแฟ้มงานในมือเพื่อนรุ่นน้องก่อนคิ้วเข้มจะขมวดเป็นปม “นี่มันงานของ...”

“เอ่อคือ...งานของอาโปเรียบร้อยแล้ว ไอซ์เขาติดธุระสำคัญเมื่อวานไม่มีเวลาเคลียร์งานต่อให้เสร็จอาโปอยู่ว่างๆพอดี...ก็ช่วยๆกันน่ะค่ะ” อาโปปิดแฟ้มในมือ ทั้งยังส่งยิ้มแหยๆ ให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“ว่าแล้วเชียว...เฮ้อ...” ป๊อบถอนหายใจก่อนจะเดินต่อไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน แล้วค้นแฟ้มงานของตนเองออกมาทำบ้าง

เห็นเพื่อนรุ่นน้องแสนขยันคนนี้ทำงานของตัวเองเรียบร้อยแล้วยังใจดีทำงานแทนคนอื่นก็นึกละอายใจขึ้นมานิดหน่อย เขาเองเป็นรุ่นพี่มีงานที่ต้องเร่งทำอยู่เหมือนกัน แทนที่จะเป็นตัวอย่างดีๆให้รุ่นน้อง กลับทำงานแบบลวกๆ ส่งไปให้ประธานใหญ่ตรวจจนถูกตีกลับมาแก้ไข ช่างเถอะผ่านมาแล้วก็ผ่านไป วันนี้ตั้งต้นเป็นคนขยันสักวันเผื่อบางทีปีหน้าโบนัสอาจได้เพิ่มกว่าเดิมอีกสักเท่า

“อาโป...เป็นยังไงบ้าง...ฉันขอโทษ...”

ไอรดาถลามาที่โต๊ะทำงานของอาโอทันทีด้วยสีหน้าสำนึกผิดเมื่อเธอผ่านประตูเข้ามาทำงานเป็นคนสุดท้าย แต่ถ้ามีคนจับสังเกตได้ก็จะพบว่าประตูห้องกระจกที่ด้านหน้าระบุว่าเป็นห้องผู้จัดการแผนกก็ถูกเปิดเข้าไปพร้อมๆกัน

“ฉันรีบตามแกกลับมาที่ออฟฟิศแล้วนะ ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์ แต่น้ายามบอกว่าแกกลับไปแล้ว” ไอรดาเล่าอย่างรวบรัด ข้ามเหตุการณ์บ้างอย่างที่ไม่ควรเปิดเผยออกไปซะหมด

“ฉันไม่โทษแกหรอก มันเป็นเหตุสุดวิสัย” สายตาของอาโปยังคงจับอยู่ที่ตัวเลขในแฟ้มตรงหน้า

“แล้วขาแกล่ะ เป็นไงบ้าง”

ไอรดาก้มลงปัดชายกระโปรงของเพื่อนออกให้สายตาของเธอได้สำรวจ อาโปรีบจับชายกระโปรงกลับเข้าที่ทันที ทั้งยังทำตาเขียวใส่เพื่อน ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเหล่านั้น

“ไม่เป็นไรแล้ว แค่แพลงนิดหน่อย...ว่าแต่...แกรู้ได้ยังไงว่าขาฉันมีปัญหา...” อาโปละสายตาจากแฟ้มงานมามองเพื่อนอย่างรอคำตอบ...สิ่งที่เห็นบนใบหน้าสวยใสดวงนั้นคืออาการกลืนน้ำลายลงคอเหมือนคนมีพิรุธ

“แกบอกว่ารีบมาหาฉันที่ออฟฟิศแล้วแกได้เข้าไปหาฉันข้างในมั้ย” อาโปถามต่อ ทั้งยังมองไปยังห้องกระจกที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องขนาดใหญ่ ภายในเธอพบสายตาของผู้จัดการที่เหลือบขึ้นมาสบตาพอดี ทั้งยังส่งยิ้มทักทายมาให้ เธอก็เลยต้องยิ้มตอบกลับไป

“ปะ...เปล่า...น้ายามเป็นคนบอก” ไอรดารีบปฏิเสธทันควัน เมื่อเห็นสายตาเพื่อนที่มองไปยังอีกสถานที่ที่เธอเองในเวลานี้แทบไม่อยากจะหันตามไปเลยด้วยซ้ำ

“นั่นสินะ...ไฟฟ้าดับ มืดก็มืด แถมแกยังเป็นโรคกลัวผีขี้ขึ้นสมอง คงไม่กล้าที่จะเข้ามาหรอก”

“ใช่ๆๆๆ ฉันถามน้ายาม น้ายามบอกว่าแกกลับบ้านกับท่านประ...”

ยังไม่ทันที่ไอรดาจะหลุดพยางค์ต่อมามือนุ่มของเพื่อนก็ตะปบเข้าปิดทั้งปากและจมูก ทำเอาคนที่กำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมาถึงกับดิ้นขลุกขลัก งัดมือเพื่อนออกไปให้พ้นก่อนที่เธอจะหมดลมหายใจ

“หยุด...แกห้ามพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะ...ฉันจะ...ไม่ช่วยแกทำงานอีก” อาโปขู่ ใบหน้าแดงก่ำ

“ก็แค่กลับบ้านกับ...”

“หยุด...” อาโปรีบห้าม

“ทำไมต้องทำเป็นมีลับลมคมนัยด้วย หรือว่าหลังจากนั้นแกกับ...มีซัมติ้งลอง”ไอรดาถามต่อด้วยสีหน้าอยากรู้เป็นที่สุด แต่คำตอบที่ได้รับคือแววตาเขียวปัด

“มาถึงที่ทำงานแล้ว ก็ยังไม่คิดที่จะเริ่มลงมือทำงานเลยหรือยะแม่คุณ...มัวแต่จับกลุ่มสุมหัวเม้ามอยกันอยู่ได้”

เสียงหนึ่งที่เปรียบดั่งระฆังหมดยกดังขึ้น เสียงนี้เป็นเสียงคุ้นเคยที่ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร ไอรดาจึงรีบย้ายก้นไปนั่งลงตรงโต๊ะทำงานของตัวเอง ควรแฟ้มงานออกมาเปิดพลิกไปพลิกมาเหมือนกำลังตั้งใจทำงานเต็มที่

“อาโป...ท่านประธานสั่งให้ไปพบ...” ไพลินเดินเข้ามาสั่งลูกน้องที่สำหรับเธอแล้วถือว่าเป็นคนทำงานที่มีคุณภาพคนหนึ่งในสายตาเธอ

“คุณไพลินพอจะทราบไหมคะว่าเรื่องอะไร” เสียงถามดังแผ่วแต่ก็พอจับใจความได้

“ไม่รู้ ท่านไม่ได้บอก” น้ำเสียงตอบกลับยังคงห้วนดังฟังชัด

“เดี๋ยวนี้หรือคะ” ใบหน้าเผือดหดลงอีกนิ้ว ก่อนจะถามกลับไปเพื่อความมั่นใจ

“ก็ต้องเดี๋ยวนี้สิยะ...ด่วนด้วย ธุระของท่านประธานต้องสำคัญมากๆ ไม่งั้นคงไม่เร่งให้เข้าพบแต่เช้าแบบนี้ ไป รีบไป จะได้รีบกลับมาทำงาน” ไพลินเอ่ยปากเร่งแกมไล่ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งประจำที่โต๊ะทำงานหน้าห้องผู้จัดการ ทำงานของตัวเองไปแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากพูดคุยอะไรบางอย่างกับผู้จัดการที่เปิดประตูเดินออกมา

อาโปปิดแฟ้มงานในมือรวบรวมวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ว่า วันนี้เป็นคิวตรวจงานของไอรดา เธอจึงหยิบแฟ้มงานที่จะต้องนำส่งแฟ้มนั้นขึ้นมากอดไว้กับอก...ไหนๆก็ทำเสร็จแล้ว เอาขึ้นไปส่งพร้อมกันเลยย่อมดีกว่า จะได้ไม่ต้องขึ้นไปชั้นบนบ่อยๆ
ข้อเท้าถึงจะยังเจ็บอยู่ แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่นัก ทว่าการที่ต้องเดินขณะมีผ้าหนาๆพันรอบข้อเท้าก็ค่อนข้างทำให้เดินลำบากอยู่ไม่น้อย เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อาโปพยายามเดินให้ดูเป็นปกติที่สุดก้าวช้าๆหน่อยก็พอเก็บอาการได้

“ข้อเท้าเป็นยังไงบ้างครับ”

เสียงหนึ่งทักถามที่ด้านหลังขณะที่อาโปกำลังยืนรอลิฟต์ เป็นคุณวสันต์ ผู้จัดการแผนกของเธอนั่นเอง

“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณ” อาโปตอบ ทั้งส่งยิ้มกลับก่อนจะหันไปมองตัวเลขระบุชั้นของลิฟต์

“จะขึ้นชั้นบนใช่ไหมครับ”วสันต์ถามต่อ

“ใช่ค่ะ”

“ผมก็จะขึ้นไปชั้นบนเหมือนกัน...มาครับผมช่วยถือ”

วสันต์เข้ามาดึงแฟ้มงานในมือของอาโปเอามาถือไว้เอง ท่าทีสุภาพนั้นทำให้อาโปไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของเขาได้ ไม่ได้ถือสาที่เขาถือวิสาสะช่วยพยุงเธอเข้าไปยืนในลิฟต์

“ผู้จัดการจะไปธุระที่ชั้นไหนคะ” เพื่อไม่ให้บรรยากาศในลิฟต์เงียบจนเกินไป คนสองคนที่รู้จักกันก็ความจะมีคำสนทนาเล็กๆน้อยๆกันบ้าง

“ผมไปชั้นบนสุดครับ แล้วคุณล่ะ”

“ชั้นเดียวกันค่ะ”

วสันต์ช่วยกดเลือกชั้น ทั้งยังมองนิ่งมายังผู้ใต้บังคับบัญชาสาว ดูเหมือนเขาจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่เห็นเขาจะพูดอะไรออกมาสักคำ สำหรับอาโปแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นคนช่างพูด บรรยากาศภายในลิฟต์จึงมีแต่ความเงียบจนกระทั่งถึงชั้นที่หมาย

ประตูลิฟต์เปิด วสันต์ยังช่วยพยุงอาโปเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยกัน แต่แล้วทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเหลือบขึ้นมาสบตาใครอีกคนที่กำลังยืนมือไขว้หลัง ใบหน้าเคร่งขรึม แถมส่งสายตาดุดันมองนิ่งตรงดิ่งมาจนยากจะหลบ ทำเอาอาโปรู้สึกเหมือนขนลุกตั้งไปทั้งแผ่นหลัง

วันนี้เป็นอะไรอีกล่ะทีนี้...ทำไมต้องมองด้วยสายตาแบบนั้นด้วยนะ ยังกะวิญญาณอาฆาต...

“สวัสดีครับท่านประธาน ไม่คิดเลยว่าวันนี้ท่านจะอารมณ์ดีถึงขั้นมายืนรอรับพนักงานผู้น้อยที่หน้าลิฟต์ด้วยตัวเอง”

วสันต์พยุงร่างเล็กบอบบางเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยท่าทีสบายๆ เขายิ้มทั้งกล่าวทักทายท่านประธานใหญ่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สุภาพ หากอาโปฟังไม่ผิดดูจะมีความเป็นกันเองแฝงอยู่บางส่วน นั่นย่อมหมายความว่าบุรุษทั้งสองย่อมเคยรู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดีมาก่อน

“สวัสดีค่ะท่านประธาน” อาโปเอ่ยทักทายบ้างตามมารยาท หวังว่าน้ำเสียงเธอคงจะสร้างระยะห่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้องได้ในระดับหนึ่ง ยังไงซะที่นี่คือที่ทำงาน เขาก็ย่อมเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของบริษัทที่พนักงานกินเงินเดือนตัวเล็กๆอย่างเธอไม่อาจเอื้อม ต่อให้เขาเปิดโอกาสเป็นที่เธอก็ไม่คิดที่จะเอื้อมอยู่ดี

ท่านประธานใหญ่ไม่ตอบกลับคำทักทาย ไม่พูดไม่จาสิ่งใด เขาเดินเข้ามาคว้ามือนุ่มดึงเธอเข้าประชิดอก ทั้งบังคับให้เดินไปยังห้องทำงาน แย่งหน้าที่ประครองคนเจ็บซะเอง โดยไม่แคร์สายตาเลขานุการหน้าห้องที่ถึงกับขยับแว่นมอง

“เดี๋ยวครับอาโป” วสันต์เรียกไว้ก่อนที่หญิงสาวจะถูกดันให้ผ่านเข้าประตูไป

“คะ...” เธอหยุดชะงัก หันกลับมาตอบรับในเชิงถาม พลอยให้คนพยุงหยุดไปด้วย

“ช่วงพักกลางวันคุณว่างไหมครับ ผมขอเลี้ยงข้าวสักมื้อ...พอดีว่าผมมีธุระส่วนตัวบางอย่างจะต้องรบกวนคุณสักหน่อย”

“ค่ะ” อาโปรับปาก ทว่ายังไม่ทันจะเอ่ยถามอะไรต่อ ตัวเธอก็ถูกดันเข้าไปในห้องซะก่อน

วสันต์สบตาคมดุของท่านประธานก่อนที่บานประตูจะปิดลง เขาได้แต่ยิ้มบางๆ ขณะถือแฟ้มเดินตามมา ไม่ได้เดินตามท่านประธานเข้าไปภายในห้องทำงานนั้นด้วย แต่ตรงมายังโต๊ะของเลขานุการแทน

“ฝากแฟ้มงานนี้ไว้ให้ท่านประธานด้วย...อ้อ...คุณอย่าเพิ่งเข้าไปตอนนี้นะครับ ถ้าไม่อยากถูกลูกหลง”

“อ้อ...ค่ะๆ” เลขานุการสาวรับคำแบบงงๆ มองแฟ้มงานในมือ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่เธอรู้จักดีว่าเขาเป็นผู้จัดการแผนกของบริษัททัวร์ อีกหนึ่งกิจการทำเงินของเครือธุรกิจนรานุรักษ์

วสันต์ยิ้มส่งยิ้มเขย่าหัวใจเลขานุการสาวหน้าห้อง ก่อนจะเดินกลับไปที่ลิฟต์ธุระของเขาไม่ได้เร่งด่วนอะไร แต่การรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางย่อมเป็นสิ่งที่สมควรทำมากที่สุดในเวลานี้ ก็ใครเล่าจะอยากถูกหมายหัวตั้งแต่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำสาขาใหญ่ได้ยังไม่ถึงเดือน ปลอดภัยไว้ก่อนถือเป็นเรื่องดี แต่ธุระสำคัญของหัวใจก็ต้องทำ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จริงๆ

 
“ข้อเท้ายังไม่หายเจ็บเหรอ”

นี่คือคำถามแรกหลังจากท่านประธานกดตัวอาโปให้นั่งลงตรงโซฟารับแขกริมผนังกระจกที่อาโปขึ้นมาครั้งใดก็จะเห็นมู่ลี่ปิดมิดชิดแบบนี้ทุกครั้ง

“หายแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบแบบขอไปที

“ถ้าหายแล้วทำไมต้องให้วสันต์พาขึ้นมา”

“ไม่ได้ให้พาขึ้นมา บังเอิญเราเจอกันที่หน้าลิฟต์ค่ะ และบังเอิญว่าผู้จัดการจะขึ้นมาที่นี่เหมือนกัน” อาโปตอบตามตรง เธอไม่ได้แก้ตัวเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด แต่ที่พูดไปทั้งหมดล้วนเป็นความจริง ยิ่งเห็นสายตาจับผิดของอีกฝ่าย คิ้วเรียวก็มีอันต้องขมวดเข้าหากันด้วยความไม่ชอบใจ

“ทำไมคะ...ท่านประธานเรียกให้ดิฉันมาพบ ดิฉันก็มาตามคำสั่งแล้ว...” แล้วจะยังมีอะไรไม่ชอบใจอีกล่ะคะเจ้านาย... “ไม่ทราบว่าที่เรียกตัวดิฉันขึ้นมาพบครั้งนี้ ท่านประธานมีงานสำคัญอะไรจะสั่งคะ” อาโปพยายามใช้น้ำเสียงที่ฟังดูเป็นงานเป็นการที่สุด

ชลธิศทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวยาว ที่อาโปนั่งอยู่ก่อน เขาไม่คิดที่จะเว้นระยะห่างระหว่างกันเลยแม้แต่น้อย อาโปจึงทำได้เพียงขยับก้นออกไปอีกหนึ่งช่วงแขน และนั่นก็คือสุดขอบเก้าอี้พอดี

“ผมจำได้ว่าเมื่อคืนผมอนุญาตให้คุณลาป่วยแล้วนี่ครับ ทำไมคุณยังฝืนสังขารมาทำงานแบบนี้อีก”

“ก็อย่างที่บอก ฉันไม่เป็นอะไรมากค่ะ ตื่นเช้ามาอาการดีขึ้นไม่ปวดไม่บวม” อาโปอธิบายเพิ่มเติม ทั้งยังขยับข้อเท้าโชว์ให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเธอพูดความจริง

“ตอนเจ็ดโมงกว่าผมสั่งอาหารไปให้ เขาบอกว่าคุณออกมาทำงานนานแล้ว แล้วนี่กินมื้อเช้าหรือยัง”

“จริงๆ ก่อนหน้านี้สักสิบนาทีฉันตั้งใจจะลงไปหาอะไรรับประทานก่อนเริ่มงานอยู่พอดี เผชิญว่าท่านประธานเรียกพบซะก่อน” ถ้านายไม่เรียก ป่านนี้ฉันคงอิ่มแปล้แล้ว...นายนี่มันตัวขัดลาภปากซะจริงๆ “ว่าแต่ท่านมีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้เรียกให้ดิฉันเข้าพบตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้ หรือต้องการดูงานประจำวันของพนักงาน ฉันถือมาพร้อมแล้วค่ะ”อาโปหันซ้ายแลขวาไม่เห็นแฟ้มงานที่ถือมาด้วย “อ้าว...ไปไหนแล้วล่ะ”นั่งนึกสักพักก็นึกขึ้นได้ว่าล่าสุดวสันต์เป็นคนช่วยถือ “คุณวสันต์อาจฝากไว้กับคุณเลขาฯแล้ว...ยังไงเดี๋ยวฉันจะไปเอาเข้ามาก่อนนะคะ”

“ช่างเถอะ เลขาฯของผมเป็นคนรู้งานอยู่แล้ว อีกอย่าง...ผมเรียกคุณมาก็ไม่ใช่เรื่องนี้”

“แล้วเรื่องอะไรล่ะคะ”

ชลธิศไม่ตอบคำถาม ทว่าเขากลับเดินไปหยิบถุงอะไรสักอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานกลับมายื่นให้ เมื่อเปิดถุงดูข้างในด้วยความอยากรู้ อาโปก็พบว่าภายในถุงมีกล่องข้าวขนาดกะทัดรัดบรรจุอยู่ พร้อมขวดน้ำสำหรับดื่ม

“นี่คือ...”

“ข้าวกล่องของคุณ...”

“ของฉัน...” อาโปชี้นิ้วมาที่ตัวเอง อีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับ

“ผมสั่งอาหารส่งไปให้คุณที่บ้าน เมื่อคุณไม่ได้รับเขาก็ส่งกลับมาที่ผม เอาไปทานเถอะอย่าให้เสียของ” ชายหนุ่มบอก ทั้งยังหันหลังกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เป็นการตัดการปฏิเสธของอีกฝ่ายไปในตัว

“คือว่า...” อาโปยังคงลังเล ไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายอย่างแรง สรุปคือ...ที่เรียกเธอมาแต่ไก่โห่นี่ไม่ได้มีงานเร่งด่วนอะไร แค่ให้เธอมาเอาข้าวกล่องไปกินแค่นั้น อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเกาศีรษะ ทั้งๆที่มันไม่ได้คันเลยสักนิด

“ออกไปเถอะ ผมจะทำงานต่อ” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นอีก

“ค่ะ...อาโปรับคำ เธอลุกขึ้นขยับตัวออกจากเก้าอี้บุนวมตัวนุ่มอย่าง งงๆ

“เอาข้าวกล่องของคุณไปด้วย”

เสียงเตือนทำให้อาโปหันไปคว้าถุงที่วางอยู่ นำติดมือไปด้วย

“ขอบคุณค่ะท่านประธาน” เธอเอ่ยก่อนจะเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู

“เดี๋ยว...” เสียงเรียกดังขึ้นก่อนที่เธอจะเดินพ้นออกประตูไป

“คะ?”

“นี่เกือบจะได้เวลาทำงานแล้ว คุณทานให้เสร็จซะที่นี่เถอะจะได้ไม่เสียเวลา ผมอนุญาตให้ใช้ที่ตรงนั้น”

อาโปมองตามปลายนิ้วที่ชายหนุ่มชี้ไปทางชุดรับแขกที่เธอเพิ่งลุกออกมาเมื่อครู่ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ ทานในนี้เดี๋ยวกลิ่นอาหารจะรบกวนการทำงานของท่านประธานซะเปล่าๆ”

“ผมหมายถึงระเบียงข้างนอก” ชายหนุ่มอธิบายเพิ่ง ทั้งขยับนิ้วสูงขึ้น เล็งไปยังผนังกระจกที่ถูกปิดกั้นด้วยมู่ลี่กันแสง

“อ้อ...เข้าใจแล้วค่ะ” อาโปรับคำเธอประโค้งศีรษะคำนับเจ้านายอีกครั้ง ก่อนจะเดินผ่านประตูออกไป

ประตูห้องทำงานปิดสนิท ชลธิศก็ลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินมาเปิดมู่ลี่ชมทิวทัศน์ภายนอก มุมปากถูกยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างบางของคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไปเมื่อครู่ นำกล่องข้าวไปวางไว้บนโต๊ะเล็กๆที่เธอมักใช้ในการรับประทานอาหารอยู่เป็นประจำ

ชายหนุ่มเดินไปหยิบกล่องอาหารอีกกล่องที่วางอยู่บนหลังตู้เครื่องดื่ม มาวางไว้ในตำแหน่งที่ใกล้ผนังกระจก ทั้งทรุดตัวลงนั่ง เริ่มลงมือรับประทานอาหารไปพร้อมๆกับคนข้างนอก หากมองเผินๆ ก็ดูเหมือนทั้งสองกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน เพียงแต่มีแผ่นกระจกใสกางกั้นเอาไว้แค่นั้น

ชลธิศยังไม่ได้รับประทานมื้อเช้าเช่นเดียวกัน เพราะอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าพนักงานตัวเล็กๆของบริษัทคนนี้ ทำให้เขากังวลอยู่ไม่น้อย อันที่จริง เมื่อคืน หากไม่คำนึงถึงความเหมาะสม เขาคงดื้อดึงจะอยู่ดูแลเธอจนถึงเช้า ทว่า ถึงจะทำอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะยอม อาโปไล่เขากลับทันทีที่ส่งถึงหน้าประตูตึกซะด้วยซ้ำ

วันนี้เขาสั่งแม่ครัวเตรียมอาหารเช้าสำหรับคนสองคน กะว่าจะได้รับประทานมื้อเช้าด้วยกัน ได้ดูแลเธอเล็กๆน้อยๆก่อนมาทำงาน แต่ก็ต้องเก้อ เพราะเจ้าของตึกที่พักบอกว่าเธอออกมาตั้งแต่ฟ้าเพิ่งสาง ทั้งๆที่เขาอนุญาตให้เธอลาหยุดแล้วแท้ๆ ก็ยังดึงดันถ่อสังขารมาทำงานจนได้ ช่างเป็นพนักงานสุดขยันที่น่าจะมอบโล่ให้เป็นเกียรติประวัติในคุณงามความดีอันนี้ซะจริงๆ

 




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2563
2 comments
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2563 9:55:51 น.
Counter : 552 Pageviews.

 

น่ารักอ่ะ พรีออร์เดอร์หรือยังจ๊ะ

 

โดย: panon40 IP: 203.158.141.56 26 ตุลาคม 2563 10:48:44 น.  

 

#panon40
ยังไม่จบฮับ...ยังไม่ถึงครึ่งทาง ฮ่าๆๆๆ

 

โดย: นิยายฝันหวาน 26 ตุลาคม 2563 11:52:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นิยายฝันหวาน
Location :
มหาสารคาม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




เชิญอ่านนิยายสนุกๆ สไตล์นิยายฝันหวาน



Writer By tonglang
: Copyright © 1999-2008
ข้อตกลง
1. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่แต่งโดยผู้ลงผลงานเอง ลิขสิทธิ์ของผลงานนี้จะเป็นของผู้ลงผลงานโดยตรง ห้ามมิให้คัดลอก ทำซ้ำ เผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้ลงผลงาน

2. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้กระทำการคัดลอก ทำซ้ำ มาจากผลงานของบุคคลอื่นๆ ผู้ลงผลงานจะต้องทำการอ้างอิงอย่างเหมาะสม และต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดการลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว

3. ผู้ใดพบเห็นการลงผลงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ โปรดแจ้งเจ้าของบล็อกทันที


Group Blog
 
 
ตุลาคม 2563
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
26 ตุลาคม 2563
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add นิยายฝันหวาน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.