ธัมมะ ธัมโม โน ธัมมะชะโย
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
11 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

พ ร ะ ป ฏ า จ ร า ร า เ ถ รี (ผู้เคยทุกข์ระทมเพราะความรัก)




ชีวิตของเราทุกคนที่เกิดมาล้วนตกอยู่ในห้วงทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น และความทุกข์อย่างหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะหนีกันไมพ้น ก็คือทุข์จากการพลัดพราก โดยพาะอย่างยิ่งพลัดพรากจากคนที่เรารัก

เมื่อคนที่เรารักต้องมีอันพลัดพรากจากไป ความทุกข์ก็ย่อมจะเกิดขึ้น รักมากก็ทุกข์มาก และยิ่งรักมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทุกข์ใจมากเท่านั้น

ความทุกข์โศกที่เกิดขึ้นนั้นถ้ามีปริมาณมาก และไม่สามารถระงับหรือบรรเทาลงได้ ก็ย่อมจะทำให้คนนั้นกลายเป็นคนบ้าหรือเสียสติไปได้โดยง่าย

พูดมาถึงตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของนางภิกษุณีองค์หนึ่ง ซึ่งก่อนที่ท่านจะได้บวช ท่านได้รับความระทมทุกข์จากเรื่องนี้อย่างหนัก จนมิสามารถจะดำรงสติอยู่ได้

พระภิกษุณีองค์นั้น ท่านชื่ออะไร หลายท่านคงจะทราบ

ครับ ! ท่านคือ “ ป ฏ า จ า ร า ”

ตามผมมาทางนี้ซีครับ เรามาดูกันซิว่า ท่านมีเรื่องเศร้าโศกอะไรกันนักหนา ถึงขนาดทำให้ท่านต้องเสียสติกลายเป็นบ้าไประยะหนึ่ง



รักเดียว ใจเดียว

ในกรุงสาวัตถียังมีลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่งนามว่า ปฏาจารา

เมื่อปฏาจาราอายุได้ ๑๖ ปี เศรษฐีผู้เป็นพ่อเห็นควรที่จะให้มีเหย้ามีเรือนได้แล้ว จึงเตรียมการเลือกชายหนุ่มที่เหมาะสมกันโดยตระกูลและฐานะ จะให้มาแต่งงานกับลูกสาวของตน เพื่อตนจะได้หมดห่วงและสบายใจ

แต่ที่ไหนได้ การกลับตาลปัตร เพราะลูกสาวเกิดไปรักกับทาสในเรือน

เศรษฐีผู้เป็นพ่อรู้เข้า ก็จึงบังคับจะให้ลูกสาวแต่งงานกับชายที่ตนเลือกให้ เพื่อเป็นการตัดปัญหา

ฝ่ายลูกสาวผู้ถือความรักเป็นใหญ่ก็ใจเด็ด ถือคติรักเดียวใจเดียว เรื่องจะให้ไปรักกับชายคนอื่นอีกนั้น ไม่ยอมทำ ก็เลยตัดสินใจหนีไปกับทาสคนรัก ไปอยู่ที่ชนบทห่างไกลกันตามลำพัง



หนีได้ก็ตามได้

อยู่ต่อมานางได้ตั้งครรภ์และเห็นว่า ถ้าจะคลอดลูกที่นี่ก็เห็นทีจะลำบาก จึงคิดที่จะกลับไปหาพ่อแม่ เพื่อไปคลอดที่บ้านเดิมของตน

แต่ยังไม่ทันถึงบ้าน ก็เกิดคลอดลูกมาในระหว่างทาง สามีตามมาพบเข้า จึงชวนกลับไปอยู่ด้วยกันอีก

ต่อมาอีกไม่นาน นางก็ได้ตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่ ๒ พอใกล้จะคลอด ก็คิดที่จะกลับไปคลอดที่บ้านพ่อแม่ของตนอีก จึงได้ตัดสินใจหนีสามีออกจากบ้านในคืนวันหนึ่ง

ฝ่ายสามีพอรู้ว่าภรรยาหนีกลับไปคลอดลูกที่บ้าน ก็พาลูกคนโตออกติดตาม และไปทันกันขณะที่นางปฏาจารากำลังคลอดลูกคนเล็กพอดี



เวรกรรมจำพราก

ในขณะนั้นพายุฝนกำลังตั้งเค้า ลูกคนเล็กรึก็เพิ่งคลอด นางจึงให้สามีช่วยหาที่สำหรับป้องกันพายุฝนให้

ฝ่ายสามีจึงเที่ยวเดินหาที่ซึ่งพอจะทำกำบังฝนได้ และไปพบจอมปลวกใหญ่เข้าแห่งหนึ่ง ตนจึงเข้าไปโดยหมายจะทำที่กำบังฝนให้กับภรรยาและลูก ๆ แต่เห็นว่าที่แห่งนั้นรกไปด้วยหญ้าคา จึงจัดการเตรียมจะถอนหญ้าคาเสียก่อน

แต่อนิจจา ... ระหว่างที่กำลังถอนหญ้าคาอยู่นั้น งูพิษตัวใหญ่ก็ได้เลื้อยออกมาจากจอมปลวกและได้กัดสามีของนางปฏาจาราจนถึงแก่ความตาย

ฝ่ายนางปฏาจาราและลูก ๆ รอสามีอยู่จนกระทั่งรุ่งเช้ายังไม่เห็นกลับมา ก็จึงอุ้มลูกคนเล็ก จูงลูกคนโตออกติดตาม

เมื่อนางเดินมาถึงจอมปลวกถึงกับตะลึง ! มืออ่อนเท้าอ่อนไปหมด เมื่อเห็นสามีของตนนอนตายอยู่ข้างจอมปลวกนั้น

ความโศกเศร้าได้ท่วมทับจิตใจของนางเหลือที่จะประมาณ ... เมื่อหมดที่พึ่งแล้ว จะทำยังไงดี ... ก็คงจะต้องพาลูก ๆ กลับไปหาพ่อแม่ที่บ้านเดิมในกรุงสาวัตถี



โศกซ้ำสอง

ก่อนที่นางจะจากศพสามีไป นางก็ได้เข้าไปกราบศพอำลาน้ำตาหล่น แล้วพาลูก ๒ คน พิโธ่ พิถัง ตัดป่าออกทุ่ง พะรุงพะรังจนมาถึงฝั่งมหานที

บอกลูกคนโตให้คอยท่าเดี๋ยวแม่จะมารับลูกที่นี่ แล้วเทินลูกน้อยลุยวารี ลึกมีตื้นมีพอทานทน

ครั้นถึงฝั่ง ค่อยวางลูกน้อยห่วงลูกที่คอย ย้อนกลับไปอีกหน แต่พอโฉมนางถึงกลางสายชล เหยี่ยวใหญ่โฉบวน เฉี่ยวลูกน้อยไป

นางหมดแรง ตัวแข็งทื่อ โบกไม้โบกมือร้องตามเหยี่ยวใหญ่ ลูกยืนดูไม่รู้อะไร นึกว่าแม่ให้ตามไปกระมัง



ลูกชายคนโตที่ยืนคอยแม่อยู่บนฝั่ง เมื่อเห็นแม่โบกไม้โบกมือเช่นนั้น ก็เข้าใจผิดคิดว่าแม่คงจะกวักมือเรียกตน จึงได้ก้าวลงไปในน้ำ เพื่อจะไปหาแม่

แต่กระแสน้ำในขณะนั้นไหลเชี่ยว จึงได้พัดพาเอาร่างของลูกคนโต จนหายไปในน้ำต่อหน้าต่อตา

นางปฏาจาราเห็นลูกคนโตต้องจมน้ำตายไปเช่นนั้น นางแทบจะสิ้นใจตายตามลูกไปเสียให้ได้



โชคดีที่ได้พบ !

ความทุกข์โศกเพราะการต้องมาพลัดพรากจากสามีและลูก ๆ อันเป็นที่รักนี้ ทำให้นางไม่สามารถจะดำรงสติไว้ได้ ถึงกับร้องห่มร้องไห้ พิไรรำพันไปตลอดทาง เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก ... โถ ! เป็นใครพบเข้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ย่อมจะต้องเสียใจกันทุกคน ...

แต่ยังดีนะ ที่กุศลเก่ายังมาดลใจนางปฏาจารา ทำให้นางได้ไปพบกับพระบรมศาสดา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป


วันนั้นพระพุทธองค์กำลังแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทอยู่ นางปฏาจาราก็ได้ไปยืนอยู่ท้ายโรงธรรมอย่างคนไร้สติ

พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องราวของนางโดยพุทธญาณ จึงได้ทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสเตือน ทำให้นางได้สติ ทรุดตัวลงนั่ง

หลังจากนั้น พระองค์ก้ได้ทรงแสดงธรรมโปรด เพื่อช่วยคลายวิปโยคทุกข์ในใจของนางความว่า


“คนเราเมื่อถึงคราวจะต้องตายแล้ว ใคร ๆ ก็ช่วยป้องกันเอาไว้ไม่ได้ ... ผู้ที่รู้ความจริงเช่นนี้ย่อมไม่ประมาท รีบรักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อนำพาไปสู่พระนิพพาน”


เมื่อพระบรมศาสดาแสดงธรรมจบลง นางปฏาจาราก้ได้บรรลุโสดาปัตติผล โดยเกิดดวงตาเห็นธรรม เห็นความเป็นจริงที่ว่า


สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

สิ่งนั้นทั้งมวลย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา





บวชแล้วบรรลุ ...

ผลสุดท้ายนางก็ได้พิจารณาเห็นว่า


“ชีวิตของฆราวาสนี้เต็มไปด้วยทุกข์ ในเมื่อเราได้รับทุกข์เป็นบทเรียนอย่างหนักมาแล้ว ควรหรือที่เราจะอยู่ครองเรือนต่อไป

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นที่พึ่งแห่งมวลสัตว์ก็ประทับอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว ฉะนั้น เราควรจะได้ทูลขออุปสมบทเสีย ณ โอกาสนี้”



เมื่อนางดำริเช่นนั้นแล้ว จึงได้กราบทูลให้พระบรมศาสดาทรงทราบ พระองค์ก็ทรงโปรดประทานเมตตาให้ได้อุปสมบทในสำนักของนางภิกษุณีตามความประสงค์

ภายหลังจากที่ท่านบวช ท่านก็ได้ตั้งหน้าตั้งตาเจริญสมณธรรมเป็นอย่างดียิ่ง

เมื่อพระบรมศาสดาทรงเห็นว่าวาสนาบารมีของท่านแก่กล้าสามารถที่จะบรรลุอรหัตผลได้แล้ว พระองค์จึงทรงแสดงธรรมให้ฟังความว่า


“คนที่ไม่เห็นความสิ้นความเสื่อมในเบญจขันธ์ แม้จะมีชีวิตอยู่ถึงร้อยปี ก็ไม่ประเสริฐเท่าคนที่เห็นความสิ้นความเสื่อม ซึ่งมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว”



ขณะที่ฟังอยู่นั้น พระปฏาจาราเถรีก็น้อมจิตพิจารณาตามไป จนกระทั่งเกิดปัญญาเห็นความเสื่อมสิ้นในเบญจขันธ์อย่างชัดแจ้ง อันเป็นเหตุทำให้จิตของท่านได้คืนคลายถ่ายถอนจากความยึดมั่นในเบญจขันธ์ซึ่งเคยมีมาแต่เดิมได้จนหมดสิ้น

ก็เป็นอันว่า พระปฏาจาราเถรีได้บรรลุถึงจุดยอดแห่งพรหมจรรย์ กล่าวคือความหลุดพ้น ได้เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาไปอีกองค์หนึ่ง

และอาศัยที่ท่านชำนาญในทาง พ ร ะ วิ นั ย พระบรมศาสดาจึงได้ทรงยกย่องว่า เป็น สาวิกาผู้เลิศในทางวินัย



ธรรมะชำระทุกข์

เมื่อท่านได้อ่านเรื่องราวของพระปฏาจาราเถรีจบลง ท่านคงจะได้แง่คิดอะไรหลาย ๆ อย่างจากเรื่องนี้

แต่แง่คิดอย่างหนึ่งซึ่งไม่ควรลืมก็คือ ความทุกข์โศกนั้น จะดับได้ก็ต้องอาศัยธรรมะเข้าไปดับเท่านั้น


แล้วท่านละครับ ! จะยอมปล่อยให้ไฟทุกข์แผดเผาจิตใจวันแล้ววันเล่า โดยไม่คิดที่จะเอาน้ำอมฤต คือธรรมเข้าไประงับดับทุกข์นั้นบ้างเชียวหรือ ?




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553
2 comments
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2553 12:11:21 น.
Counter : 654 Pageviews.

 

อนุโมทนาค่ะ
เรื่องของพระนางเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ว่าแม้แต่ครอบครัวที่หลายคนอยากได้ อยากมี สุดท้ายแล้วก็ยึดเป็นที่พึ่งไม่ได้เลย

 

โดย: ละอองลม (wind_drizzle ) 11 กุมภาพันธ์ 2553 16:42:30 น.  

 

ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ผลบุญนี้จงคุมครองพระศาสนา พระมหากษัตริย์ และ
ประชาชนทุกคน

 

โดย: นางฟ้า IP: 202.183.235.3 29 มีนาคม 2553 12:39:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


hollowpig
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





CursorsFree Cursors
Friends' blogs
[Add hollowpig's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.