|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
|
|
|
|
พ ร ะ กุ ณ ฑ ธ า น เ ถ ร ะ (ผู้เป็นเลิศทางด้านจับสลากเป็นรูปแรก)
ก่อนอื่นใคร่ขอทำควมเข้าใจกับคำว่า จับสลาก ในทางฝ่ายสงฆ์เสียก่อน ว่าหมายความว่าอย่างไร ?
สลาก เขาแปลว่า ซี่ไม้ ในเวลามีของถวายไม่เหมือนกัน หรือของไม่พอแก่พระ หรือเวลามีกิจนิมนต์ที่เจ้าภาพไม่ได้นิมนต์ทั้งหมด หรือเป็นพุทธประสงค์ที่จะทรงนำพาไปเฉพาะบางส่วน ก็ต้องใช้วิธีจับสลาก ในกรณีที่ต้องมีการจับสลากนี้ ท่านพระกุณฑธานเถระ ท่านมักจะขับสลากได้เป็นรูปแรกเสมอ ทั้งนี้ก็เป็นด้วยอำนาจแห่งคุณความดีและบารมีของท่านนั่นเอง สำหรับบุญที่ท่านได้สร้างไว้ และส่งผลทำให้ท่านได้เป็นเลิศทางด้านจับสลากนั้น จะได้เล่าให้ฟังตอนท้าย ๆ ของเรื่องนี้
ส่วนตอนนี้เรามาศึกษาชีวประวัติอันน่าสนใจของท่านพระกุณฑธานเถระกันก่อนดีกว่า กุณฑะ + ธานะ พระกุณฑธานเถระนั้น แต่เดิมชื่อ ธานะ เกิดในพระนครสาวัตถี ในตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง ในเมื่อท่านเกิดมาในตระกูลพราหมณ์ การศึกษาเบื้องต้นของท่านจึงต้องเรียนวิชาไตรเพทอันเป็นวิชาประจำตระกูลของพราหมณ์ ต่อมาเมื่อเติบใหญ่แล้ว ท่านก็ได้มาบวชในพระพุทธศาสนาเพราะได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเกิดความเลื่อมใส และนับแต่วันที่อุปสมบทมาก็ได้มีเหตุการณ์อันทำให้ท่านพระธานะต้องประสบกับความอัปยศอดสู โดยที่ท่านเองก็ได้ได้รู้ตัวไม่ และจากเหตุนี้ก็ทำให้ท่านต้องถูกเรียกชื่อด้วยคำนำหน้าชื่ออันไม่เป็นมงคลนามเลย ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่า มีรูปผู้หญิงมาปรากฎอยู่ข้างหลัง และคอยติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง รูปหญิงนั้นได้เที่ยวติดตามไปข้างหลังอยู่เป็นนิจ แต่ท่านไม่เห็นรูปหญิงนั้นหรอก มีประชาชนเท่านั้นที่แลเห็น และตั้งแต่รูปหญิงมาปรากฎอยู่ข้างหลังท่านเช่นนั้น ประชาชนจึงพากันเรียกชื่อของท่านโดยเพิ่มคำนำหน้าชื่อเป็น กุณฑธานะ หรือ โกณฑธานะ ก็เรียก ซึ่งก็มีความหมายว่า ท่านพระธานะผู้ลามก ต้องโทษกรรม ชื่อเสียงเรียงนามของพระกุณฑธานะเถระ อันเป็นไปในเรื่องที่ไม่ดีเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้ท่านเสียชื่อโดยที่ท่านไม่รู้ตัวเลย เข้าทำนองที่ว่า นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น แต่กลับต้องตกมาเป็นแพะรับบาปในเรื่องนั้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ถ้าจะพิจารณากันถึงเหตุผลต่าง ๆ ด้วยตาเนื้อและปัญญาของปุถุชน คงจะไม่ได้คำตอบตรงตามเป็นจริงแน่ เพราะว่าตาเนื้อและปัญญาของปุถุชนนั้น มองดูหรือรู้อะไรได้ไม่ลึกซึ้ง ยังมีการเข้าใจผิดไขว้เขว โทษนั่น โทษนี่ โทษคนอื่นบ้าง โทษเทวดาฟ้าดินบ้าง เหล่านี้เป็นต้น โดยไม่ยอมโทษตนเองหรือบาปกรรมของตนเองเลย ฉะนั้นจึงพิจารณาเหตุผลต่าง ๆ สู้พระอริยะไม่ได้ เพราะท่านใช้ตาปัญญา และปัญญาของท่านผู้หมดกิเลสแล้ว การที่ท่านจะไปโทษผู้อื่น หรือสิ่งอื่นนั้นท่านไม่นิยมกระทำ ขั้นแรกท่านจะต้องดูที่ตัวของท่านก่อน และการดู ท่านก็ดูที่ กรรม คือการกระทำ ว่าผลอย่างนั้น มาจาก บุญกรรม คือการทำดี หรือ บาปกรรม คือการทำชั่ว ท่านไม่ยอมตีโพยตีพาย โทษอะไรต่อมิอะไรชนิดไร้เหตุผล การพิจารณาเหตุผลของพระอริยะทั้งหลาย ย่อมจะสวนทางกันกับปุถุชนอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากปัญญานั้นเป็นคนละระดับกัน หลังการพิจารณาเรื่องกรรมตามอย่างที่พระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงกระทำไว้เป็นตัวอย่าง ก็คือพิจารณาถึงอดีตกรรมและปัจจุบันกรรมว่าเราได้ทำดีหรือชั่วอะไรไว้บ้าง อันจะส่งผลดีผลขั่วให้กับเราในปัจจุบันและอนาคต ข้อนี้จะเห็นได้จากเรื่องของพระพุณฑธานเถระที่เกิดเรื่องเสื่อมเสีย จนถึงกับมีชื่อที่มีความหมายในทางไม่ดีมานำหน้าชื่อนั้นก็เนื่องมาจากอดีตกรรมที่ท่านได้เคยทำบาปเอาไว้ เมื่อครั้งที่ท่านเกิดเป็นภุมเทวดา คือเทวดาที่อาศัยอยู่ ณ ภาคพื้น ในสมัยแห่ง กัสสปพุทธเจ้า โน้น ทั้งนี้โดยมีเรื่องเล่ากันมาว่า อุโบสถกรรมในแต่ละยุค ในครั้งนั้นยังมีพระภิกษุ ๒ รูป ซึ่งเป็นสหธรรมิกที่มีความสนิทชิดชอบกันมาก วันหนึ่งท่านทั้งสองได้ชวนกันออกจากที่พักเพื่อไปทำอุโบสถกรรมอันเป็นกิจวัตรที่พระทุกรูปจะต้องกระทำตามพุทธบัญญัติ ซึ่งการทำอุโบสถกรรมนั้นท่านมีจุดหมายเพื่อให้พระภิกษุทุกรูปได้มาประชุมกัน เพื่อฟังพระปาติโมกข์ คือพระวินัยที่เป็นข้อห้ามของพระและเพื่อเป็นการตราจดูความประพฤติปฏิบัติ ว่าถูกหรือผิดอย่างไร จะได้แก้ไขข้อที่ผิดให้มีความเสมอภาคกันในทางปฏิบัติพระวินัย แต่กำหนดเวลาการทำอุโบสถกรรมนั้น จะมีกำหนดระยะเวลาเป็นไปตามพระชนมายุของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ซึ่งไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นกาลเวลาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระชนมายุยืนนานมาก ๆ การกระทำอุโบสถกรรมนั้น อาจจะมีกำหนด ๖ ปี จึงมีครั้งหนึ่ง หรือลดต่ำลงมาเป็น ๑ ปีต่อครั้งหนึ่ง หรือ ๖ เดือนต่อครั้งหนึ่ง แต่สำหรับในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้าของเรานี้ การทำอุโบสถกรรมได้กำหนดให้ทำ ๑๕ วันต่อครั้งหนึ่ง คือทำทุกกึ่งเดือน
ส่วนในสมัยศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้านั้น ๖ เดือนจึงมีขึ้นครั้งหนึ่ง ภุมเทวดา ผู้มิจฉาทิฏฐิ
ขณะเมื่อพระภิกษุทั้ง ๒ รูปกำลังมุ่งไปสู่โรคอุโบสถอย่างมีความสุขนั้น ภุมเทวดาได้ห็นความสนิทชิดชอบของพระภิกษุทั้ง ๒ รูปนั้นแล้ว ก็คิดว่า ภิกษุ ๒ รูปนี้มีความชอบพอกันยิ่งนัก รักใคร่สามัคคีกันมาก .... เราจะทำไฉนหนอ จึงจะให้ท่านทั้ง ๒ นี้ แตกคอกันได้ เอาเข้าแล้วไหมล่ะ เจอเทวดาอันธพาลเข้าให้แล้ว พระท่านอยู่ของท่านดี ๆ ก็คิดจะหาทางแกล้งให้ท่านผิดใจกัน ... อย่างนี้แหละที่ท่านเรียกว่า เทวดามิจฉาทิฏฐิ หลังจากที่ภุมเทวดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ คิดหาอุบายที่จะทำลายมิตรภาพของพระภิกษุทั้ง ๒ รูปนั้นแล้ว ก็ได้เฝ้าสพยายามติดตามไปคอยหาโอกาสที่จะกลั่นแกล้ง ภาพลวงตาพาเข้าใจผิด และเวลาที่ภุมเทวดารอคอยก็มาถึง เมื่อพระภิกษุรูปหนึ่งเอ่ยปากฝากจีวรไว้กับพระภิกษุอีกรูปหนึ่งผู้เป็นสหาย และบอกให้รออยู่สักครู่หนึ่ง ว่าแล้วก็แวะออกไปถ่ายอุจจาระ ในขณะนั้น ภุมเทวดาถือโอกาสปลงกายเป็นสตรีที่สวยงามแล้วแสร้งเดินตามมาข้างหลังของพระเถระ ในตอนที่พระเถระได้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะเสร็จ แล้วเดินออกมาจากระหว่างพุ่มไม้ ภุมเทวดาแปลงที่แสร้งเดินตามหลังพระเถระมานั้น มิใช่เดินมาเฉย ๆ แต่กลับแสดงกิริยาเสมือนหนึ่งว่า ได้ร่วมหลับนอนกับพระเถระนั้นมา คือทำเป็นสลัดผม นุ่งห่มผ้า ปัดสันหลัง คล้ายกับเปื้อนฝุ่น แล้วออกไปยืนอยู่ข้างหนึ่งและพอสังเกตเห็นว่า พระภิกษุรูปที่ยืนรออยู่ข้างนอกได้เห็นตนแล้ว ก็ทำทีเดินจากไป ฝ่ายพระภิกษุที่ยืนรออยู่เมื่อเห็นกิริยาของภุมเทวดาแฝงก็สำคัญผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงจริง ๆ จึงเกิดความเสียใจว่า โอ้ ! เสียแรงที่เราอุตส่าห์คบหากับภิกษุนี้มาเสียนมนาน ถ้าเรารู้เสียแต่แรกว่าจะเป็นพระทุศีลเช่นนี้ เราจะไม่ยอมคบหาด้วยเลย เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว พอพระภิกษุผู้เป็นสหายเดินมาถึงก็จึงยื่นจีวรให้พลางกล่าวว่า ท่านจงเอาจีวรของท่านคืนไป ผมจะไม่ขอร่วมทางกับท่านอีกแล้ว เพราะว่าศีลของท่านขาดแล้ว พระภิกษุรูปนั้น อุทานขึ้นมาด้วยความงุนงง อะไรกัน ! ก็ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ศีลของผมจะขาดไปได้ยังไง ท่านจะพูดว่าไม่ได้ทำผิดได้ยังไงกัน ก็ผมยืนอยู่ที่นี่ ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามหลังท่านออกมาเมื่อตะกี้นี้เอง แล้วท่านจะมาปฏิเสธว่า ศีลของท่านไม่ขาดได้ยังไง
พระเถระผู้ที่ไม่ได้กระทำความผิดแต่ต้องตกเป็นคนผิดโดยไม่รู้ตัว ฟังพระภิกษุผู้เป็นสหายพูดใส่ร้ายดังนี้ ก็มีความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าฟ้าผ่าลงบนศีรษะยังได้กล่าวยืนยันว่า ขอท่านอย่าได้พูดปรักปรำผมเลย เรื่องชั่วเช่นนี้ ผมไม่ได้ทำจริง ๆ ขอรับ ท่านอย่าปฏิเสธเลย ก็ผมเห็นกับตา ผมจะเชื่อท่านได้ยังไง พระภิกษุที่ยืนรอพูดด้วยความมั่นใจ โดยถือเอาการมองเห็นของตนเป็นใหญ่ ... ว่าแล้วก็เดินแยกทางจากพระภิกษุผู้เป็นสหายไป เป็นอันว่ามิตรภาพที่มีต่อกันมาเป็นเวลานานปี ก็ต้องมาสิ้นสุดลงเสียตรงนี้ น่าเสียดายเหลือเกินที่ต้องมาร้าวฉานกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นจริง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นด้วยอำนาจแห่งภุมเทวดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ได้สร้างภาพลวงตาจนเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้น และนี่แหละคือบุพกรรมฝ่ายบาปของพระกุณฑธานเถระในชาติหนึ่ง ที่ได้เกิดเป็นภุมเทวดาแล้วสร้างกรรมอันเป็นบาปเอาไว้ ร้อนรน ด้วยผลบาป ด้วยวิบากแห่งกรรมอันเป็นบาปนั้น ก็ได้ส่งผลทำให้ภุมเทวดาต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก หมกไหม้อยู่ตลอดพุทธันดรหนึ่ง (ช่วงเวลาที่ว่างจากพระพุทธเจ้า คือช่วงเวลาหลังจากที่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนิพพานแล้ว กับที่พระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งจะมาตรัสรู้) (พระสมณโคดมพุทธเจ้าปัจจุบันเป็นพระพุทธเจ้าถัดจากพระกัสสปพุทธเจ้า - ผู้เรียบเรียง) ลุมาถึงศาสนาแห่งพระสมณโคดมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนี้ภุมเทวดาผู้ไปไหม้อยู่ในนรกนั้นก็ได้กลับมาเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่กรุงสาวัตถี โดยมีชื่อว่า ธานะ และเมื่อเติบโตก็ได้มาบวชในพระพุทธศาสนา และนับจากวันที่บวชแล้วก็ปรากฎว่ามีรูปผู้หญิงคอยติดตามท่านอยู่เสมอ (ภาพลวงตาอันเกิดจากผลบาปที่ทำไว้ ตั้งแต่สมัยเป็นภุมเทวดา) จนเป็นเหตุทำให้หมู่ชนกล่าวขานกันไปทั่ว ฟ้องให้จัดการ อย่าว่าแต่ประชาชนจะโจษขานกันโดยทั่วไปเลย แม้แต่พระภิกษุทั้งหลายที่ได้เห็นพระกุณฑธานเถระ ว่ามีผู้หญิงคอยติดตามไปข้างหลัง ในเวลาเที่ยวบิณฑบาตก็ยังได้นำความนี้ไปบอกท่านอนาถบิณฑเศรษฐีว่า ท่านเศรษฐี ขอท่านจงได้ขับไล่ภิกษุผู้ทุศีลนี้ให้ออกไปจากวิหารของท่านเสียเถิด ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกัน ไม่ให้เกิดความเสียหายแก่พระภิกษุผู้ประพฤติปฏิบัติชอบทั้งหลาย ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเมื่อได้ยินคำกล่าวของภิกษุเช่นนั้นก็จึงได้ย้อนถามไปว่า อ้าว! แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ประทับอยู่ในพระวิหารหรอกหรือ ? ประทับอยู่ ... ท่านเศรษฐี ข้าแต่พระคุณเจ้า ก็ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหาร พระองค์คงจะทรงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี เอาไว้เป็นพระธุระของพระองค์เถิด เมื่อพระภิกษุทั้งหลาย เมื่อเห็นว่าท่านเศรษฐีไม่ให้ความร่วมมือด้วย จึงพากันไปหานางวิสาขามหาอุบาสิกา แล้วเล่าเรื่องของพระกุณฑธานเถระให้ฟัง หวังจะให้ช่วยขับไล่พระกุณฑธานเถระออกจากวัดไป นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ได้ให้คำตอบแก่พระภิกษุเหล่านั้นเช่นเดียวกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ชะรอยว่าท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีและนางวิสาขามหาอุบาสิกาคงจะถือหลักที่ว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ปลงอนิจจา ขืนพูดว่าจะพาตัว บาปชั่วชาติ
เพราะท่านทั้งสองก็เป็นผู้อยู่ใกล้พระและรู้เรื่องของพระดีท่านจึงไม่ยอมเกี่ยวข้อง เรื่องของพระ ปล่อยให้พระท่านชำระกันเอง พระภิกษุทั้งหลายเมื่อเห็นว่าท่านอนาถบิณกเศรษฐีและนางวิสาขามหาอุบาสิกาไม่ยอมกระทำตามคำขอร้อง จึงพร้อมกันไปแจ้งเรื่องนั้นแด่พระเจ้าโกศลว่า
ขอถวายพระพรมหาบพิตร มีพระภิกษุผู้ทุศีลรูปหนึ่ง ชื่อว่าพระกุณฑธานะได้พาผู้หญิงคนหนึ่งเที่ยวไป กระทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่พระภิกษุทั้งปวง ขอมหาบพิตรจงทรงขับไล่พระกุณฑธานะให้ออกไปจากแว่นแคว้นของพระองค์เถิด พระเจ้าโกศลได้ตรัสถามว่า แล้วพระกุณฑธานะนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่วิหาร ขอถวายพระพร เมื่อทรงที่พักของพระกุณฑธานเถระแล้ว จึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายจงกลับไปก่อนเถิด แล้วโยมจะไปจับภิกษุนั่นเอง พอถึงเวลาเย็น พระราชาจึงเสด็จไปยังวิหารพร้อมด้วยพวกราชบุรุษ เจอเรื่องประหลาด ! เมื่อเสด็จถึง จึงให้พวกราชบุรุษรายล้อมเสนาสนะของพระกุณฑธานเถระไว้ ส่วนพระองค์ก็ได้เสด็จบ่ายพระพักตร์ ทรงมุ่งไปสู่ที่อยู่ของพระกุณฑธานเถระนั้น ฝ่ายพระกุณฑธานเถระเมื่อได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมในบริเวณกุฎิของท่าน ท่านจึงออกจากกุฎิไปยืนดูอยู่ที่หน้ามุข ขณะนั้น ! พระเจ้าโกศลได้ทอดพระเนตรมาที่พระกุณฑธานเถระ ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ทหน้ามุขก็ได้ทรงเห็นเป็นภาพผู้หญิงยืนอยู่ข้างหลัง พอพระกุณฑธานเถระเห็นว่าพระราชาเสด็จมา ก็จึงเข้าไปนั่งในกุฎิ พระราชาเห็นเช่นนั้นก็จึงได้รีบเสด็จตามขึ้นไปบนกุฎิ ด้วยทรงหวังจะพิสูจน์ให้รู้ข้อเท็จจริง แต่ที่ไหนได้ พอขึ้นไปถึงกุฎิผู้หญิงที่เห็นเมื่อสักครู่ไม่ร็หายไปไหนเสียแล้ว มองดูตามที่ต่าง ๆ ก็ไม่พบ จึงได้ตรัสถามว่า เอ๊ะ ! เมื่อครู่นี้ โยมได้เห็นหญิงคนหน่งยืนอยู่ ณ ที่นี้ ขณะนี้เขาไปไหนเสียล่ะ อาตมาภาพไม่เห็นมีผู้หญิงที่ไหนเลย ... ขอถวายพระพร ท่านจะตอบว่าไม่เห็นได้ยังไง ก็ในเมื่อตะกี้นี้โยมยังเห็นอยู่เลยนี่นา พิสูจน์ดูให้รู้แน่ ถึงพระราชาจะตรัสย้ำดังนั้น แต่พระกุณฑธานเถระก็ยังย้ำคำเดิมว่าไม่เห็นอยู่เช่นเดิม ทำให้พระราชารู้สึกแปลกพระทัย จึงใคร่จะทดลองดูใหม่ แต่ผลที่ได้ก็ปรากฎว่าเหมือนเดิม คือตอนที่พระกุณฑธานเถระยืนอยู่ที่หน้ามุข ก็จะเห็นรูปผู้หญิงยืนอยู่ข้างหลัง แต่พอเจ้าไปใกล้ ๆ รูปหญิงนั้นก็จะหายไป พอรูปผู้หญิงนั้นหายไป พระราชาจึงได้ตรัสถามอีกว่า หญิงนั้นไปอยู่ไหน ! พระกุณฑธานเถระตอบว่า
ขอถวายพระพรมหาบพิตรอาตมภาพไม่เห็นจริง ๆ เมื่อเห็นว่าพระราชายังไม่ทรงเชื่อ ก็จึงได้ถวายพระพรชี้แจงว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร มิใช่แต่มหาบพิตรเท่านั้นที่ทรงแลเห็นรูปผู้หญิงมาปรากฎอยู่ข้างหลังของอาตมภาพ แม้แต่ประชาชนชาวแว่นแคว้นก็พากันกล่าวว่ามีหญิงเดินตามหลังอาตมภาพไป แต่อาตมภาพก็ไม่เคยเห็นเลย เมื่อพระกุณฑธานเถระชี้แจงให้พระราชาฟังดังนี้แล้ว พระราชาก็ทรงแน่พระทัยว่า ผู้หญิงที่เห็นนั้นต้องเป็นรูปหญิงที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจบาปกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ ให้ไล่ กลับบำรุง เป็นอันว่าหลังจากที่พระราชาเกิดความเข้าพระทัยในเรื่องจากที่เกิดขึ้นกับพระกุณฑธานเถระแล้ว ก็จึงได้ตรัสนิมนต์ว่า เมื่อเกิดมีรูปหญิงเดินตามไปข้างหลังพระคุณเจ้าอย่างนี้ แล้วไม่มีใครใส่บาตรพระคุณเจ้า ก็ขอให้พระคุณเจ้าจงไปที่วังของโยมเถิด โยมจะเป็นผู้บำรุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัยทั้ง ๔ เอง ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็เสด็จนิวัติกลับพระราชวังของพระองค์ ฝ่ายพวกภิกษุผุ้เป็นโจทก์รู้สึกไม่พอใจในการกระทำของพระราชาที่ได้ตรัสอาราธนาพระกุณฑธานเถระให้ไปรับบิณฑบาตในพระราชวัง ซึ่งเป็นการผิดความประสงค์ของพระภิกษุผู้เป็นโจทก์เหล่านั้น พระภิกษุผู้เป็นโจทก์เหล่านั้นจึงได้พากันกล่าวติเตียนพระราชว่า จงดูการกระทำของพระราชาเถิด พวกเราบอกให้ขับไล่พระกุณฑธานะนี้ออกไปเสียจากวิหาร กลัมานิมนต์เพื่อจะถวายปัจจัย ๔ เป็นการช่วยให้ท่านได้รับความสุขสมบูรณ์เสียอีก ทนไม่ไหวแล้วนะ !
ฝ่ายพระกุณฑธานเถระในตอนก่อนนั้น ท่านเคยถูกภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ท่านก็เป็นผู้เงียบเฉย ไม่ยอมโต้ตอบตรงกับคติที่ ว่า แพ้เป็นพระ ท่านจึงรักษาความเป็นพระเอาไว้โดยการเป็นผู้นิ่งเฉยเสีย
แต่มาในตอนหลังนี้ เมื่อท่านได้รับการพิสูจน์จากพระราชาว่า ท่านเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ แต่พระภิกษุทั้งหลายยังไม่ยอมรับการทรงตัดสินของพระราชานั้น ทั้ง ๆ ที่พระราชาก็เป็นผู้ที่พระภิกษุทั้งหลายถวายพระพรเชิญมาท่านจึงนึกไม่พอใจในการกระทำของพระภิกษุเหล่านั้น ที่ยังเที่ยวพูดว่า หาว่าท่านเป็นพระลามก เป็นผู้ทุศีล ท่านจึงกล่าวโต้ตอบขึ้นบ้างว่า ท่านทั้งหลายนั่นแหละเป็นผู้ทุศีล เป็นผู้ลามก แม้อุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านทั้งหลาย ก็ชั่วช้าไม่ผิดอะไรกับพวกท่าน พวกพระภิกษุผู้เป็นโจทก์ได้เที่ยวพูดให้ร้ายแก่พระกุณฑธานเถระมาเป็นเวลานาน โดยไม่เคยคิดที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเราหรือเอาใจเราไปใส่ใขจเขาดูบ้างว่า ผู้ที่ถูกนินทาว่าร้ายจะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดใจสักแค่ไหน ครั้นมาถูกพระกุณฑธานเถระพูดว่าเอาให้บ้าง ก็รู้สึกเจ็บใจทนไม่ไหว พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลฟ้องว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระกุณฑธานะได้ด่าว่าพวกข้าพระองค์ว่า เป็นผู้ทุศีล เป็นผู้ลามากพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระประสงค์จะทรงทราบความจริงในเรื่องนี้ จึงทรงรับสั่งให้หาพระกุณฑธานะมาเข้าเฝ้า และตรัสถามว่า กุณฑธานะได้ยินข่าวว่าเธอพูดด่าพวกภิกษุเหล่านี้ว่าเป็นผู้ทุศีล เป็นผู้ลามก จริงหรือเปล่า จริง พระเจ้าข้า เธอกล่าวเช่นนั้นเพราะเหตุไร กุณฑธานะ ก็เพราะว่า ภิกษุเหล่านี้พากันมาด่าว่าข้าพระองค์ก่อน .... จ้าพระองค์มิได้ชั่วช้าเช่นนั้น จึงรู้สึกเจ็บใวจ ทนไม่ไหว จึงกล่าวตอบไปบ้าง พระเจ้าข้า เป็นเพราะเหตุใด ? เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำกราบทูลของพระกุณฑธานเถระดังนี้แล้ว ก็จึงตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโจทก์บ้างว่า ภิกษุทั้งหลาย เหตุใดพวกเธอจึงพากันว่ากล่าวกุณฑธานะนี้ พวกพระภิกษุเหล่านั้นจึงพากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุที่พวกข้าพระองค์ว่ากล่าวก็เพราะพวกข้าพระองค์ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเที่ยวเดินตามพระกุณฑธานเถระไปทุกหนทุกแห่ง ซึ่งเป็นการไม่สมควรแก่สมณะเลย พวกข้าพระองค์เห็นแล้วจึงได้ว่ากล่าวออกไปเช่นนั้น พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อได้สดับคำกราบทูลเช่นนั้น จึงได้หันกลับไปถามพระกุณฑธานเถระบ้างว่า การที่ภิกษุทั้งหลายเห็นว่ามีผู้หญิงเดินตามหลังเธอไปนั้นจริงหรือเปล่าล่ะ กุณฑธานะ จริง พระเจ้าข้า แล้วที่เธอว่ากล่าวภิกษุทั้งหลายนั้น เธอได้เห็นผู้หญิงเดินตามหลังพวกภิกษุเหล่านี้หรืออย่างไร ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นหรอกพระเจ้าข้า พุทธดำรัสที่ตรัสเตือน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามจนทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว จึงได้ตรัสเตือนสติพระกุณฑธานเถระว่า กุณฑธานะ ก็ในเมื่อเธอไม่ได้เห็นผู้หญิงเดินตามหลัง พวกภิกษุเหล่านี้ แต่เหตุไฉนเธอจึงได้ว่ากล่าวภิกษุเหล่านี้ ... เธอรู้ไหมว่า การว่ากล่าวคนอื่นโดยไม่มีมูลความจริงเช่นนั้นเป็นการไม่สมควรเลย เธอควรจะเข้าใจว่าเรื่องไม่ดีซึ่งเกิดขึ้นกับเธอนี้ ก็เพราะอาศัยความเห็นผิดของเธอในชาติก่อน แล้วมาบัดนี้ทำไมเธอยังจะมีความเห็นผิดอีกเล่า พระภิกษุทั้งหลายต้องการจะทราบเรื่องในอดีตของพระกุณฑธานเถระ จึงได้พากันกราบทูลถามว่า พระกุณฑธานะนี้เคยกระทำอกุศลอะไรมาในอดีตชาติก่อน พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงแสดงบุพกรรมของพระกุณฑธานเถระให้พระภิกษุทั้งหลายได้ฟัง ดังที่ได้กล่าวมาในตอนต้นว่า บาปกรรมของพระกุณฑธานเถระนี้ มีมาแต่เมื่อชาติที่เกิดเป็นภุมเทวดา หลังจากนั้นพระองค์ได้ตรัสสอนพระกุณฑธานเถระต่อไปอีกว่า กุณฑธานะ การที่เธอต้องมาประสบกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ ก็เพราะบาปกรรมที่เธอเคยทำไว้อย่างนี้ ฉะนั้นต่อแต่นี้ไป เธออย่าได้ว่ากล่าวอะไรแก่ภิกษุทั้งหลายอีกนะ เธอจงนิ่ง เพราะเมื่อเธอทำอย่างนี้ได้ เธอก็จะถึงซึ่งนิพพาน เมื่อตรัสเตือนดังนี้แล้ว ก็จึงได้ตรัสเป็นธรรมภาษิตว่า เธออย่ากล่าวคำหยาบต่อใคร ๆ เพราะผู้ที่ถูกเธอว่าแล้วจะว่าตอบเธอ
การโต้เถียงกันย่อมเป็นทุกข์ โทษแห่งการโต้ตอบกันจะพึงมีแก่เธอ
ถ้าเธอทำตนให้นิ่งเงียบ เธอจะถึงซึ่งนิพพาน การโต้เถียงกันจะไม่มีแก่เธอ
เมื่อธรรมเทศนาจบลง ก็ปรากฎว่าได้มีผู้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก ส่วนพระกุณฑธานเถระก็ได้ดำรงตนอยู่ในพระโอวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานแล้วได้บำเพ็ญสมณธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด และภายหลังจากที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว รูปผู้หญิงที่ปราฎคอยติดตามท่านก็หายไป และไม่มาปรากฎให้ใคร ๆ เห็นอีกเลย เลิศทางจับสลาก
พระกุณฑธานเถระนี้ ดังที่ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ท่านเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายทางด้านจับสลากได้เป็นรูปแรก ทั้งนี้ก็เป็นด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลแต่หนหลัง ซึ่งท่านได้สร้างไว้ ถ้าจะถามว่าท่านสร้างบุญอะไรไว้ ? ท่านก็ได้กล่าวไว้ว่า ... ในอดีตชาตินั้น พระกุณฑธานเถระได้กเกิดขึ้นในเรือนของผู้มีตระกูล ๆ หนึ่ง ในเมืองหงสาวดี ซึ่งตรกงับพุทธกาลแห่งพระปทุมุตรพุทธเจ้า
(พระปทุมุตรพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าถัดย้อนจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันขึ้นไป ๑๕ พระองค์ - ผู้เรียบเรียง) วันหนึ่งท่านได้ไปฟังธรรมที่พระวิหาร ได้เห็นพระปทุมุตรพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งพระภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งอันเลิศกว่าพระภิกษุทั้งหลายทางด้านจับสลากได้เป็นรูปแรก ก็นึกพอใจอยากจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง จึงกระทำกุศลในสำนักของพระปทุมุตรพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาหวังจะให้ได้รับตำแหน่งเช่นนั้น พระปทุมุตรพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า ความปรารถนาของกุลบุตรนี้ไม่มีอะไรขัดข้อง จึงทรงพยากรณ์ว่า ความปรารถนาของเธอจักสำเร็จในศาสนาของพระสมณะโคดมพุทธเจ้า โน้น กุณฑธานะกุลบุตรได้ฟังพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว ก็ให้เกิดความดีใจเป็นล้นพ้น และพยายามกระทำกุศลต่อมาจนตลอดชีวิต พอตายจากชาตินั้นก็ได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลกมาโดยลำดับ จวบจนมาถึงศาสนาของ กัสสปพุทธเจ้า ท่านจึงได้มาเกิดเป็นภุมเทวดา และได้มาสร้างกรรมชั่วด้วยการแปลงตนเป็นผู้หญิง เข้าไปทำลายมิตรภาพของพระภิกษุ ๒ รูปให้แตกจากกัน บาปกรรมนั้นจึงมาทำให้ท่านต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักในชาตินี้ แต่ส่วนบุญกรรมที่ท่านได้ทำไว้ ก็ได้ส่งผลทำให้ท่านได้เป็นผู้เลิศกว่าพระภิกษุทั้งหลายทางด้านจับสลากได้เป็นรูปแรกเสมอ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นด้วยท่านได้เศษบำเพ็ญบุญ และเคยตั้งความปรารถนาเอาไว้ตั้งแต่ในอดีตชาตินั่นเอง
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 14:43:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1023 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|