"Don't tell your problems to people: 80% don't care and the other 20% are glad you have them."
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
26 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
“ไหม”...จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย...Review หนังสือเล่มแรกในชีวิต...




ไหม : SETA
เขียนโดย อเลซซานโดร บาริกโก
แปล งามพรรณ เวชชาชีวะ
สนพ. ผีเสื้อ
ราคา 119 บาท 129 หน้า
ที่มา ซื้อจากคิโนะคุนิยะ สาขาพารากอน
ลักษณะการอ่าน อ่านอย่างละเอียด ช้าๆ เนิบๆ อ่านย้อนไปมา ซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำ (ย้ำเป็นพิเศษตรงจดหมายฉบับที่2)

เรื่องราวเล่าย้อนไปในสมัยปี 1861 ประเทศฝรั่งเศส (เรารึก็หลงคิดว่าเรื่องราวมันเกิดในอีตาลีตั้งนาน) ชายคนหนึ่ง (ชื่อแอร์เว) ทำอาชีพซื้อขายหนอนไหม โดยเขาจะออกเดินทางในเดือนตุลาคม ใช้เวลาสามเดือนเพื่อไปซื้อหนอนไหมจากญี่ปุ่น และใช้เวลาอีกสามเดือนเดินทางกลับ ส่วนเวลาเหลือทั้งปีก็พักผ่อน

แอร์เวมีเมียอยู่หนึ่งคน ชื่อว่าเอแลน ใครๆ ต่างก็บอกว่าเสียงของเธอนั้นเพราะมาก ทั้งเรื่องเธอโผล่มาอยู่ไม่กี่ตอน พูดอยู่ไม่กี่คำ แต่เธอก็เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่ง ที่จะลืมเสียไม่ได้เลย

แต่ถึงจะมีเมียแสนดีรออยู่ที่บ้าน แต่เขากลับไปหลง (ขอใช้คำว่าหลง) สาวญี่ปุ่น เมียน้อยผู้มีอิทธิพล และจีบกันต่อหน้าผัวเธอแบบไม่กลัวตาย (ขอยืมสำนวนคุณ the grinning cheshire cat เห็นภาพดีเหลือเกิน) พ่อหนุ่มหนอนไหมของเราก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำเอาเพ้อถึงสาวคนนั้นไปทั้งปี (ทั้งที่แม้แต่เสียงก็ไม่เคยได้ยิน) และหลังจากการเดินทางไปญี่ปุ่นคราวนั้น ก็ทำชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

แอร์เวเดินทางไปญี่ปุ่นบนเส้นทางเดิมซ้ำๆ กันทั้งหมด 4 ครั้ง (แอบคิดเหมือนกันว่าคุณอเลซฯ แกจะแอบใช้เมนู Copy – Paste หรือเปล่านะ)
ครั้งที่ 1 เขาพบ เขาหลง
ครั้งที่ 2 เขาหลงมากกว่าเดิม พร้อมด้วยข้อความสั้นๆ จากสาวญี่ปุ่นที่บอกว่า “จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย”
ครั้งที่ 3 ถึงแม้จะเริ่มเกิดสงคราม แต่เขาก็ยังมา จิตใจปั่นป่วนมากขึ้นเมื่อรู้สึกจะไม่ได้พบสาวญี่ปุ่นคนนั้นอีก
ครั้งที่ 4 เขาไม่ควรกลับมาอย่างยิ่ง แต่เขาก็มา แต่ทุกอย่างผิดพลาด จบสิ้น ไม่มีหนอนไหม ไม่ทางติดต่อกับหญิงสาวคนนั้นอีกแล้ว

แต่อีกหกเดือนหลังจากนั้น แอร์เวได้รับจดหมาย ไม่รู้ว่าใครส่งมา แต่เนื้อความเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด เขาจึงเดินทางไปหามาดามบลองช์ ผู้ซึ่งเคยแปลข้อความแรกให้...


เรื่องราวหลังจากนี้ Spoilนะจ๊ะ (แค่นี้ก็เล่ามาจะจบเล่มแล้ว)




ขอแอบบอกนิดนึง เราเองก็เขียนไปตามความคิดเห็นส่วนตัวนะจ๊ะ วิจงวิจารณ์อะไรไม่เป็นหรอก เป็นคนทื่อๆ นะ (แหะๆ) อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรก็เขียนไปตามนั้นจ้า ไม่แปลกนะถ้าขัดกับคนอื่น

เนื้อความในจดหมายยาวเจ็ดหน้ากระดาษนั้น เป็นถ้อยคำของหญิงสาวถึงชายหนุ่ม บรรยายถึงบทรักเร่าร้อน แต่ก็สวยงามหมดจด เมื่อบรรยายถึงจุดสิ้นสุด ก็ลงท้ายด้วยข้อความว่า “เราจะไม่พบกันอีก ลาก่อน”

หลังจากแอร์เวรู้เนื้อความในจดหมายนั้นแล้ว เหมือนสิ่งที่ค้างคาในใจทั้งหลายก็หมดไป เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อมาอีกหลายปี จนภรรยาเสียชีวิตด้วยโรคไข้สมอง แต่เขาก็พบความจริงบางอย่างที่ช็อคความรู้สึกมาก จึงเดินทางไปหามาดามบลองช์ อีกครั้งเพื่อถามให้แน่ใจว่า

“คุณเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนั้นใช่หรือไม่”
“เอแลนขอให้คุณเขียน และคุณก็ทำตาม”


มาดามบลองช์ตอบว่า

“ฉันไม่ได้เขียน”
“จดหมายฉบับนั้นเอแลนเป็นคนเขียน”
“เธอเขียนไว้แล้วเมื่อตอนมาหาฉัน ขอให้ฉันคัดลอกเป็นภาษาญี่ปุ่น และฉันก็ทำให้ นี่คือความจริง”



นี่คือความจริง

จดหมายที่แอร์เวหลงคิดว่ามาจากหญิงสาวลึกลับ กลับเป็นจดหมายจากเมียของเขาเอง ทำไมเธอต้องทำเช่นนั้นด้วยนะ ไม่รู้ว่าแอร์เวจะเข้าใจเธอหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ หลังจากรู้ความจริงนั้น เหมือนเขาได้ปลดเปลื้องพันธนาการ และสิ่งต่างๆ ที่เกาะกุมจิตใจตลอดเวลาหลายปีออกไปหมด เขากลับเป็นแอร์เวคนเดิม เหมือนก่อนที่จะไปญี่ปุ่น และ ”มีความสุขในสิ่งที่แต่ก่อนนี้เขาปฏิเสธเสมอมา”



ความเห็นจากคนอ่าน
ไม่เคยอ่านงานของ อเลซซานโดร บาริกโก มาก่อน พออ่านแล้วก็ซึ้งเลยว่างานเขียนที่เขาพูดกันว่ามัน น้อยได้มาก น่ะเป็นอย่างนี้นี่เอง ถูกใจเรานักล่ะ เพราะเป็นคนอ่านหนังสือแบบย้ำคิดย้ำทำ ไม่เข้าใจเหมือนกัน บางประโยคก็อ่านซ้ำๆ อยู่ได้ แต่แย่หน่อยที่อ่านจบมา สองวันแล้ว ความรู้สึกที่ลอยฟุ้งอยู่รอบตัวหลังจากอ่านจบมันเลยหายๆ ไป แต่ไม่เป็นไร พออ่านซ้ำอีกรอบก็ทำให้คิดอะไรได้หลายอย่างเหมือนกัน

สิ่งแรกที่ทุกคนต้องคิดเหมือนๆ กันอย่างแน่นอนก็คือ ทำไมเอแลนถึงเขียนจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา นั่นสิทำไม สำหรับเราคิดว่า คนเป็นเมีย ถึงแม้จะเจอหน้าผัวอยูปีหนึ่งแค่ห้าเดือน แต่ความเปลี่ยนแปลงในตัวของแอร์เวในแต่ละครั้งที่กลับจากญี่ปุ่น เอแลนต้องสังเกตได้อย่างแน่นอน แต่เธอจะทำอะไรได้ ในเมื่อเขาตกอยู่ในภวังค์ของความหลงขนาดนั้น ขนาดกอดเธอ ยังคิดว่าเธอเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนอื่น เธออาจจะคิดก็ได้ว่า “ก็ได้...หลงมันมากใช่มั้ย งั้นหลงให้มันสุดๆ ไปเลยนะ แต่เธอจะไม่มีวันรู้หรอก ว่านั่นมันตัวฉันเอง ข้อความจากฉัน และสุดท้าย คือ เธอกำลังหลงฉัน...”
(จขบ.แอบแรงหน่อยนะ)

เธอจึงหลอกสามีตัวเองให้เข้าใจว่านั่นคือจดหมายจากชู้รัก แต่ความจริงไม่ใช่ เราว่าเอแลนน่าเห็นใจมาก ถึงแม้สิ่งที่เธอทำจะชวนอึ้งขนาดไหนก็ตาม คิดดู คนเป็นเมียไม่สามารถจะเอาตัวเองให้ผัวหลงได้ แต่กลับต้องสวมรอยเป็นคนอื่นแล้วให้ผัวหลงแทน (แล้วก็สำเร็จเสียด้วย บ้าจริง!)

สาเหตของเรื่องทั้งหมดเราจะโทษใครดี ตาแอร์เว หรือหญิงสาวคนนั้น


หญิงสาว – ถ้าคิดว่าเธอเป็นสาเหตุ เพราะว่าหล่อนเป็นฝ่ายยั่วแอร์เวก่อน (ฉากที่แอบดื่มชาจากถ้วยแอร์เว ในขณะที่หนุนตักผัวอยู่) แล้วไหนจะฉากปิดตาอาบน้ำนั่นอีกล่ะ ผู้ชายคนไหนไม่หลงก็บ้าแล้ว แต่ในความเป็นจริง เธออาจแค่เบื่อๆ ก็ได้ อยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายมาจากฝรั่งเศสมาถึงที่ ก็ยั่วเล่นสักหน่อยเป็นไร การที่ส่งข้อความแรกให้ก็เพื่อลองใจเล่นๆ เท่านั้นแหละ ว่าเขาจะกลับมาไหม แต่พอคิดอีกที โทษเธอคนเดียวก็ไม่ได้หรอก แอร์เวเองก็ไม่เคยบอกว่ามีเมียแล้ว (ถ้าเคยบอกเธอก็ฟังไม่ออกอยู่ดี)

แอร์เว – เราว่าเขาแค่หลงจริงๆ นะ ไม่ได้เรื่องเลย เขาเองก็รู้ตัวดีว่ารักเมียมากแค่ไหน แต่ความลุ่มหลงมันรุนแรงเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น มนต์มายาของหญิงสาวที่แม้แต่เสียงก็ไม่เคยได้ยิน และได้พบเพียงปีละหนเท่านั้น มันคงเร้าความรู้สึกมากกว่าเมียที่นั่งรออยู่ที่บ้าน ถึงแม้ว่าเราจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแสนเจ็บปวดของแอร์เวในตอนหนึ่งที่เขาบอกว่า...

“แม้แต่เสียงของเธอผมก็ไม่เคยได้ยิน”
“เป็นความเจ็บปวดประหลาดนัก”
“ที่จะตายด้วยความอาลัยสิ่งซึ่งมิเคยได้สัมผัส”


อ่านแล้วปวดใจตามจริงๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า “ผู้ชายคนนี้มันเพ้อถึงชู้อยู่นาเว้ยยย ไปเห็นใจมันทำม้ายยยย...”

แต่หลังจากเขารู้ความจริงเรื่องจดหมายแล้ว เราขอเดาว่า เขาเองก็คงคิดได้เหมือนกัน ว่ามีเอแลนเท่านั้น ที่เป็นรักจริงของเขาตลอดมา จากประโยคที่ว่า ”มีความสุขในสิ่งที่แต่ก่อนนี้เขาปฏิเสธเสมอมา” เหมือนเวลาเราย้อนกลับคิดถึงเรื่องผิดพลาดสมัยเด็กๆ แล้วก็ส่ายหัวให้กับความไร้เดียงสานั้น พร้อมกับถอนหายใจ แล้วก็ดำเนินชีวิตต่อไป


Timeline ขำๆ
ปี 1861 เรื่องราวเริ่มขึ้น แอร์เวอายุ 32 ปี
ปี 1864 แอร์เวเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นครั้งที่สี่ (และครั้งสุดท้าย)
ปี 1869 คลองสุเอซเปิดใช้ การเดินทางไปญี่ปุ่นใช้เวลาเพียงยี่สิบวัน
ปี 1871 บาดาลบิอู ไปจากลาวิลดิเยอ
ปี 1874 เอแลนเสียชีวิตด้วยโรคไข้สมอง
ปี 1884 ไหมเทียมขึ้นลิขสิทธิ์
ปี 1897 แอร์เวเสียชีวิต รวมอายุ 68 ปี



สิ่งที่ได้หลังจากอ่านจบ
แน่นอนคือความบันเทิง ภาษาสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ แต่สื่อความหมายได้ลึกซึ้งเหลือเกิน ถ้าอ่านภาษาอิตาลีออกได้ก็คงดี อยากอ่าน Version ต้นฉบับบ้าง (ฝันกลางวันจริงๆ) หลังจากนี้คงหางานเล่มอื่นๆ ของคุณอเลซฯมาอ่านต่อ ติดใจซะแล้ว

นอกจากนั้น ก็ได้ข้อคิดว่า “ความหลงไม่เข้าใครออกใคร” ในชีวิตประจำวันเราก็หลงมาหลายอย่าง หลงผู้ชาย หลงสิ่งของ หลงตัวเอง แต่ถ้าความหลงมันมืดมัวบังตา เราจะมองเห็นสิ่งดีๆ อื่นๆ ไม่ได้เลย

ถ้าเราหลงผู้ชาย เราจะลืมเพื่อน ลืมพ่อแม่ ลืมคนอื่นๆ ที่ดีและคอยเป็นห่วงเราเสมอ
ถ้าเราหลงในสิ่งของ ในจิตใจเราจะมีแต่กิเลส ความอยากได้อยากมี จนลืมไปว่า “ถึงไม่มีมัน เราก็อยู่ได้”
ถ้าเราหลงตัวเอง เราจะมองข้ามความดีของคนอื่นๆ ไปหมด เห็นแต่ความดีของตัวเองเท่านั้น

เหมือนกับคำสอนพุทธศาสนาที่ว่า ความอยากได้ อยากมี และการถือเอาว่าสิ่งนั้นเป็นของตน จะนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะในความจริงแล้ว สิ่งเดียวที่เป็นของเรา และติดตัวเราไปตลอดก็คือ กรรม คำว่า “ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส” จะพูดกี่ครั้งก็ยังถูกเสมอ

เริ่มที่หนังสือ ไหงจบลงที่เรื่องกรรมได้เนี่ย....-_-“



อ่านแล้วเชิญหนอน(หนังสือ) ทั้งหลายมาคุยกัน ขอจบดื้อๆ อย่างนี้แหละ

สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับ “ไหม” จากที่อื่นๆ ได้ดังนี้

จากคุณ the grinning cheshire cat
จากคุณ grappa
จากเว็บ Faylicity

และวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ จากคุณ renton_renton


อีกเว็บที่วิจารณ์ภาพยนต์ได้ถึงกึ๋นมากค่ะ 55+
คุณ LMJ แนะนำมาค่ะ



Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 0:07:33 น. 22 comments
Counter : 1628 Pageviews.

 
เขียนดีจังค่ะ

ขำกับตรงนี้มาก "(แอบคิดเหมือนกันว่าคุณอเลซฯ แกจะแอบใช้เมนู Copy – Paste หรือเปล่านะ)" หัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา เราเป็นหนักกว่าอีก ตอนแรกนึกว่าหนังสือเข้าเล่มผิดเสียอีก แต่เปิดเทียบกันแล้วมันมีจุดต่างกันนิดหน่อยนี่หว่า ฮา

บล็อกนี้ก็วิจารณ์หนังเรื่องนี้ค่ะ สนุกดี
//vendetta.exteen.com/20080219/movie-silk


โดย: ลูกสาวโมโจโจโจ้ (the grinning cheshire cat ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:51:46 น.  

 
ยังไม่ได้อ่านค่ะ เกิดอาการผยองจะอยากอ่านเป็นภาษาต้นฉบับ (เอ้า เพ้อเจ้อได้อีก - -") แต่เท่าที่อ่านสปอยล์จากหลายๆที่แล้ว เราว่าตัวหนังก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งนะ เพียงแต่รายละเอียดสำคัญ และความ "น้อยได้มาก" มันหายไป แทนที่ด้วย...ความเยิ่นเย้อและความพยายามที่มากเกินไปเข้ามาแทน

ปล. จขบ.เขียนดีค่ะ


โดย: scarborough IP: 58.9.62.179 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:11:12 น.  

 
ขออ่านผ่านๆ ก่อนค่ะ

ตั้งใจจะอ่านแน่ๆ

คนชมเยอะเหลือเกิน


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:36:18 น.  

 
อ่านหนังสือเล่มนี้เพราะคำโปรยที่จขบ.ยกมาโปรยหัวบล็อกนั่นแหละค่ะ...พบประโยคนี้ในหนังสือรำลึกถึงคุณจรัล ศิลปินล้านนาผู้ยิ่งใหญในใจเรา...เป็นเหตุให้ตามไปหา "ไหม"มาอ่าน...อ่านแล้วก็ได้ความรู้สึกค่อนข้างใกล้เคียงกับที่จขบ.เขียนเลย...


โดย: แม่ไก่ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:05:39 น.  

 
เล่มนี้ไม่พลาดแน่ค่ะ


โดย: BoOKend วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:59:16 น.  

 
สวัสดีอีกรอบค่ะ

อ่า..ถูกค่ะ ถ้าดูจากปกเราอาจจะไม่สนใจมากนักนะคะ

แต่อ่านแล้วก็..อืมม์..คนเขียนเขียนเก่งค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:13:16 น.  

 
มาขยายความคอมเมนท์ของตัวเองนิดนึงค่ะ...คือประโยคที่ว่า...จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย...น่ะค่ะ เราพบในหนังสือชื่อ "รักและคิดถึงจรัล มโนเพ็ชร" ที่เขียนโดยภรรยาของเขา คุณอันยา โพธิวัฒน์...
เป็นตอนท้าย ๆ ของหนังสือที่ผู้เขียนพูดถึงคุณจรัลว่า..."บัดนี้นกป่าได้บินจากรวงรังของมันไปแล้วโผทะยานสู่ฟ้ากว้าง บนเส้นทางยาวไกลไร้จุดจบ ...จากไปและจะไม่กลับมา แม้จะกู่ร้องจนสุดเสียงว่า..."จงกลับมา หาไม่ข้าจะตาย..."

เราอ่านถึงตอนนี้แล้วร้องไห้อ่ะ...เลยสืบเนื่องให้ตามไปหา"ไหม"มาอ่านอย่างที่บอกไงคะ

เนื้อหาไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันหรอกค่ะ แต่วลีนี้มันฟังแล้วกินใจชะมัด...ยิ่งมาอ่านจากไหม...แล้วรับรู้ว่า...คนที่พูดประโยคนี้แท้จริงคือภรรยาของแอร์เวเอง ไม่ใช่ชู้รักที่เขาหลงไหล...มันยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ และซาบซึ้งใจในความรักของแอลเลนน่ะค่ะ...

แหะ ๆ มาเสียยาวเลย ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมเยียนที่บล็อกนะคะ


โดย: แม่ไก่ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:24:11 น.  

 
สวัสดีค่ะ

เรายังไม่มีรีวิวลาวค่ะ

ว่าจะลงเรื่องลาวใต้ แต่ยังเอารูปลงเครื่องไม่ได้อะค่ะ แหะๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:12:43 น.  

 
ไอซ์อ่านฉบับภาษาอังกฤษค่ะ ภาษาสวยมากทำให้อยากอ่านภาษาอิตาเลียนได้จัง ชอบเรื่องนี้ค่ะ ^^


โดย: Clear Ice วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:27:03 น.  

 
เอ๋อ...กลับมาเก็บไก่เข้าเล้าค่า...กุ๊ก กุ๊ก...

ไปดูอีกทีประโยคกินใจที่ว่าหาใช่แอลเลนพูดไม่...

อิอิ...อย่าถือสาคนแก่ค่ะ อ่านค่อนข้างนานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ปีที่คุณจรัลตายใหม่ ๆ ...

แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังคงประทับใจวิธีรักสามีของแอลเลนอยู่ดีล่ะค่ะ...


โดย: แม่ไก่ วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:00:18 น.  

 
.. อยู่ในลิส TBR .. เพิ่งอ่านจบเมื่อวานนี้เอง


โดย: แม่มดพันปี วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:08:03 น.  

 
แวะมาเยี่ยมครับ
ช่วงนี้ Blog ผมเปิดช้าจัง


โดย: คนขับช้า วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:5:55:01 น.  

 

ต๊าย อ่านของดีนะยะเนี่ย

ดีแล้วๆ จะทำให้ตัวเองมีชาติตระกูลขึ้นเยอะ

Catcher in the Rye นี่ซื้อแบบไฮโซนะ พี่ซื้อแบบเล่มปกขาวๆ บางๆ ตัวหนังสืออัดๆๆๆ

ตอนนี้อ่าน Kafka on the Shore ถึงหน้าที่ 380 กว่าๆ จาก 544 หน้า


โดย: merveillesxx วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:20:34:18 น.  

 
รีวิวได้ละเอียดดีค่ะ ขนาดเล่มแรกนะคะเนี่ย

แต่อ่านจบแล้วกลับรู้สึกว่า คนอ่านต้องรู้สึกเหมือนโดนทุบหัวหลังอ่านจบแน่ๆ เลย อึ้ง และซึ้ง แต่...นี่ตูอ่านอะไรฟะ? ยังไงชอบกล ขนาดอ่านรีวิวยังรู้สึกแบบนี้เลยค่ะ เหมือนวรรณกรรมยุคเก่า ที่ว่าด้วยกามากลับความรักและปรัชญาที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเรื่อง อ่านไปก็ขมวดคิ้วไป...ช่างซับซ้อนนักคนเขียน รอยหยักข้าน้อยมีไม่พอค่ะ


โดย: แก้วกังไส วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:7:21:16 น.  

 
มันเนิ่นนาน ยาวนาน
แต่มันจุอยู่ในคำพูดไม่กี่คำ

เหมือนใน"แวร์เธ่อร์ระทม" ของ เกอเธ่


โดย: หมาป่าเปลี่ยวกลางทุ่ง วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:15:53:22 น.  

 
เห็นรีวิวกันหลายคนแล้วชักอยากอ่านบ้างเหมือนกันค่ะ

มาตอบคำถามค่ะ(แหะๆ ช้าไปหน่อย ) เท่าที่ทราบ มีหนังสือของเอโดกาวะ รัมโปแปลไทยมาแค่ 4 เล่มเองค่ะ คือ"สยองขวัญ"ของสนพ.ผีเสื้อ "ห้องสีเลือด"ของสยามอินเตอร์บุ๊คส์ (2 เล่มนี้เป้นรวมเรื่องสั้นค่ะ) และอีก 2 เล่มเป็นชุดจอมโจรยี่สิบหน้า ที่มีอาเคจิ โคโกโร่เป็นตัวเอก แต่เนื้อเรื่องจะออกเด็กๆนิดนึงนะคะ รู้สึกจะออกมา 2 เล่มแล้ว เป็นของสนพ.สสท.ค่ะ


โดย: azzurrini วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:8:29:16 น.  

 
ไว้จะลองหามาอ่านดูบ้าง


โดย: ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์ วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:17:41:05 น.  

 
รีวิวได้ละเอียดมากคะ อ่านจนรู้สืกได้เลย


โดย: ich habe kein Geld วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:22:33:07 น.  

 
..เราชอบหนังสือเธอจังในบางเล่ม...ที่เราอ่านแนวเดียวกัน...เธออ่านอ่านบทกวีแคนโต้อ่ะป่าวอ่ะ..เดี่ยวเอาหนังสือมาเม้นไว่ให้นะจ้าร...ที่รัก...ของใครหว่า


โดย: ..NiM IP: 202.228.229.75 วันที่: 24 เมษายน 2551 เวลา:16:35:21 น.  

 
ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ แต่น่าอ่านดี..
ว่างๆยืมหนังสืออ่านมั่งสิ (มีไรก็ชอบอ่าน แต่ไม่ชอบลงทุน ฮ่า)


โดย: AnaloKz IP: 124.121.223.51 วันที่: 17 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:26:45 น.  

 
ความรัก.....เอแลนยอมทุกสิ่งเพื่อคนที่รัก
ความหลง...แอร์เวไร้สติลืมคิดถึงความจริง
ความใคร่...ชู้สาวเพียงต้องการแค่เสพสม
ความใน....ฮาระทำไมถึงยอมให้คบชู้
..เพื่อสนองความต้องการของนาง ??
..เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนทองเพื่อซื้ออาวุธทำสงคราม ??
(คิดว่าฮาระคงไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้อะไรเลยหรอกนะ..เป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน)

เจ้าของบลอคเขียนดีจัง..แอบหลงใหลเลย ...
เด๋วต้องขออ่านอีกหลาย ๆ รอบ (จดหมายเจ็ดฉบับ หุหุ)


โดย: AnaloKz IP: 124.120.3.50 วันที่: 23 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:13:23 น.  

 
อ่านจบก็รู้ว่ารักเล่มนี้ทันทีค่ะ
ดีใจที่คุณแม่ไก่ได้อ่าน"รักและคิดถึงจรัล มโนเพ็ชร" ที่พี่Quote ประโยคที่ว่า "จงกลับมาหาไม่ข้าจะตาย" นั้นเพราะเราชอบล้อกันอยู่เสมอ หมายถึงพี่กับพี่จรัล เวลาใครสักคนจะเดินทางจากไปนานๆ เราจะเขียนถึงกันด้วยคำพูดนี้ ตอนที่พี่จรัลเสียชีวิต ก็เลยจบหนังสือในบทสุดท้ายด้วยคำนี้ค่ะ
ดีใจที่คุณแม่ไก่ได้ตามอ่านหนังสืองดงามเล่มนี้ ตัวนักเขียนเป็นนักศึกษาวิชาดนตรีด้วย เขียนหนังสือเหมือนแต่งเพลงเลย ได้อารมณ์ทั้งสุข เศร้า เจ็บปวด เหมือนคีตกวีเขียนดนตรีซิมโฟนี


โดย: อันยา โพธิวัฒน์ IP: 203.170.208.171 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:14:28:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tenjo_Utena
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือมากที่สุด
รองลงมาคือการนั่งเอกเขนกจิบกาแฟ

ความฝันคือการได้ไปเรียนต่ออเมริกา
แต่ติดปัญหาคือไม่รู้ว่าจะไปเรียนอะไรดี






ตอนนี้กำลังอ่าน


ความคืบหน้า : เพิ่งเริ่มอ่าน
Friends' blogs
[Add Tenjo_Utena's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.