แม้อากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด เมื่อหัวใจเรามีเพื่อน แม้กายเราจะหนาว แต่หัวใจของเรา อบอุ่น...เสมอ...
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
23 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
เจ้าชายหิมะ ตอนที่ 14

เมื่อแสงจันทร์สาดส่องใบหน้าบุตรชายของหัวหน้าโจรฝ่ายขวาชัดเจน ดาบในมือฝ่ายตรงข้ามกลับรีบลดลงทันที พร้อมกับย่อตัวลงคุกเข่า พร้อมกับจับมือหมอหนุ่มมาจรดที่หน้าผาก อันเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด

ซีนิธและแดนเทียน์มองอย่างงุนงง ปนอาการตกใจ เมื่อเหตุการณ์กลับตาละปัดอย่างเหลือเชื่อ

“ท่านซีนิธรีบหนีเถิด ขณะนี้ท่านริกเกอร์สั่งให้ทหารออกตามล่าตัวท่านเต็มไปหมดแล้ว โดยเฉพาะบ้านของท่าน มีแต่ทหารล้อมไว้เต็มไปหมด แถมตั้งรางวัลนำจับท่านสูงมากอีกด้วย”

“เจ้าเป็นใคร?”

ซีนิธเพ่งมองหน้าของฝ่ายตรงข้ามภายใต้แสงสว่างของจันทรา

“ข้าเป็นแค่ทหารคนหนึ่งที่เคยเป็นไข้ป่าเกือบตาย แต่โชคดีที่ได้ท่านรักษาจนรอดชีวิต ข้าซาบซึ้งในความตั้งใจของท่านที่ช่วยรักษาชีวิตคนเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างแท้จริง ท่านดูแลและพยายามรักษาข้าทุกวิถีทางจนหายได้ ข้าอยากขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้าในคราวนั้น” ทหารโจรลุกขึ้นยืน

บุตรชายของหัวหน้าโจรใหญ่นิ่งอย่างใช้ความคิด เขาจำทหารหนุ่มตรงหน้าคนนี้ได้แล้ว
“ท่านพ่อเป็นไงบ้าง” ซีนิธรีบถามถึงบิดาด้วยความเป็นห่วงกังวลใจ เกรงว่าจะเป็นต้นเหตุทำให้บิดาเดือดร้อน

“ท่านวาร์เดอร์ไม่เป็นไร ท่านอย่าห่วงเลย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” เขาไม่รู้จะบอกดีหรือไม่ว่า ขุนโจรวาร์เดอร์เป็นรองหัวหน้าในการตามล่าตัวบุตรชายของตัวเอง

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ท่านรีบหนีเถอะ ขอให้เราอย่าเจอกันอีก ข้าไม่อยากเจอท่านในสนามรบ ข้าคงช่วยท่านได้เท่านี้”

“ขอบใจเจ้ามาก” เขาตบไหล่ทหารโจรหนุ่ม

“ขอให้ท่านโชคดี” ทหารโจรโค้งคำนับให้ ก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

===========

บุตรชายหัวหน้าโจรใหญ่มองผ่านพุ่มไม้ใบหนาที่หลบซ่อนตัวอยู่ มองเห็นสัญลักษณ์ดอกไม้สีเหลืองหนึ่งดอกที่ตนเองทำไว้ บอกให้รู้ว่าเดินทางมาถึงบริเวณที่เป็นค่ายกล ซึ่งเขาได้วางแผนรับมือกับหัวหน้ากบฎริกเกอร์ไว้อย่างเต็มที่ และที่นี่เริ่มเข้าสู่เขตอันตราย เพราะใกล้ทางออกจากป่าเคนาฟ ทางออกนั้นมีทางเดียว ไม่ว่าจะหนีมาทางไหน สุดท้ายจะต้องมาออกทางนี้เท่านั้น เพราะด้านอื่นต่างห้อมล้อมด้วยหุบเหว พวกทหารโจรจะต้องตรวจตราอย่างเข้มงวด และยังไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อไป มองเห็นกองทหารโจรเดินตรวจตราเต็มไปหมด ในแววตาคมเข้มคู่นั้นมีแววกังวลใจ สมองคิดการอย่างหนักที่จะฝ่าด่านแต่ละด่านออกไปให้ได้

แดนเทียน์นั่งนิ่งมองกองทหารโจรที่เดินตรงมา มีจำนวนคนไม่น่าเกิน 20 คน เขาและเธอใช้ความเงียบความนิ่ง บวกโชคชะตา หลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ใบหนา มองกองทหารโจรที่กำลังจะเดินผ่านไป

“ฮัดชิ้ว!!” อยู่ ๆ แดนเทียน์ก็จามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เพราะรู้สึกคันจมูกอย่างมาก เนื่องจาก พุ่มไม้ที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น มีกลิ่นฉุน ละอองเกสรดอกไม้ทำให้เธอรู้สึกแพ้ ระคายเคืองจนต้องจามออกมา เธอรีบยกมือปิดปาก

“โพละ!!” เสียงอะไรบางอย่างหล่นลงมากระแทกพื้นแตกเกิดเสียงดัง กลบเสียงจามของเธออย่างบังเอิญ แถมยังมีโจรอีกหลายคนที่จามเพราะแพ้เกสรดอกไม้ชนิดนี้เหมือนกัน

ซีนิธมองผลไม้ป่าลูกโตขนาดมะพร้าวของต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลหล่นลงมากระแทกพื้นแตกเป็นสองเสี่ยง โล่งอกไปทีที่การจามของเธอไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องอย่างที่กังวลใจ เมื่อทหารโจรเดินผ่านไปได้ ทั้งคู่ลุกขึ้นเดินออกจากที่ซ่อน แต่ทว่าแดนเทียน์เหยียบถูกท่อนไม้ผุ ๆ ซึ่งด้านในกลวงเกิดเสียงดังขึ้น ความเงียบของป่าทำเสียงนั้นดังชัดเจน เป็นเหตุให้ทหารโจรที่เดินผ่านไปแล้วหันกลับมาทันที แถมพวกโจรส่งเสียงสัญญาณไปก้องป่าเพื่อเรียกกำลังทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้นและใกล้เคียง รวมกำลังเป็นจุดเดียว วิ่งดาหน้าเข้ามาทุกทิศทุกทาง

บุตรชายของหัวหน้าโจรฝ่ายขวาคว้ามือสาวน้อยวิ่งไปทันที

“โดด!!” ซีนิธสั่ง แล้วพากระโดดข้ามกองใบไม้บนพื้นดินไปพร้อมกัน

เหล่าทหารโจรตามมาติด ๆ วิ่งเหยียบกองใบไม้ พื้นดินบริเวณกองใบไม้ยุบยวบลงทันที เกิดหลุมขนาดใหญ่ซึ่งซีนิธทำหลุมพลางเอาไว้ ด้านในทาด้วยยางเหนียว ทำให้พวกโจรต่างติดหนึบหนับขึ้นจากหลุมไม่ได้ไปตาม ๆ กัน ส่วนที่เหลือวิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ

หมอหนุ่มหันมามองทหารโจรกำลังวิ่งตามมา พยายามล่อให้วิ่งไปตามแผนที่วางค่ายกลไว้ เมื่อเห็นว่าได้ระยะใกล้เคียง รีบใช้อาวุธลับขว้างตัดเชือกบนต้นไม้ใหญ่อย่างแม่นยำ ตาข่ายขนาดใหญ่หล่นลงมาคลุมทหารโจรเอาไว้ ซึ่งตาข่ายนั้นโรยด้วยเกสรดอกไม้ชนิดหนึ่งซึ่งมีผลให้คันคะเยอไปตาม ๆ กัน ส่วนที่เหลือยังคงไล่กวดตามอย่างไม่ละความพยายาม

บุตรชายคนเดียวของหัวหน้าโจรใหญ่หันมาส่งยาเม็ดหนึ่งให้แดนเทียน์กินกันไว้ ก่อนพาวิ่งขึ้นสู่ที่สูงล่อพวกโจรให้เข้าไปในป่าแห่งค่ายกลสุดท้าย พวกโจรวิ่งตามมาถึงด้วยความเหน็ดเหนื่อย เนื่องจากต้องขึ้นที่สูง ต่างเหนื่อยหอบหายใจแรงขึ้น เมื่อเข้าไปในป่า การหายใจแรงทำให้สูดกลิ่นดอกไม้ชนิดหนึ่งมีกลิ่นหอมเย็นสดชื่น แต่กลับมีฤทธิ์ทำให้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากขึ้น จนหมดแรงอ่อนระโหยไปตาม ๆ กัน

ซีนิธยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ที่น่ากังวลใจยิ่งนักเห็นจะเป็นกองทหารโจรที่รอดพ้นค่ายกลผ่านมาได้

“มันอยู่นั่น!! ตาม!” หัวหน้าโจรสั่งทหารโจรที่วิ่งตามมาสมทบให้กวดตามไปอย่างไม่รอช้า

ทั้งคู่วิ่งมาจนถึงหน้าผาสูงเหนือหุบเหว สุดทางหนี ยกเว้นว่าจะเหาะข้ามหุบเหวไปสู่หน้าผาอีกด้านหนึ่งที่อยู่ลดหลั่งลงไป

“ให้ตายสิ!!”

ซีนิธขมวดคิ้วย่นอย่างหนักใจ เมื่อมองเห็นทางตันในเบื้องหน้า มองเหลียวหน้าเหลียวหลัง จะถอยหลังกลับไปก็ไม่ทันแล้ว มองเห็นทหารโจรวิ่งไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด หันไปมองหน้าผาอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่ไกลนัก แต่ความสูงด้านล่างทำให้ใจฝ่อเอาการเลยทีเดียว เขาต้องตัดสินใจ อยู่ก็ตายไม่อยู่ก็ตาย ต้องไปตายเอาดาบหน้า แล้วแต่ฟ้าจะลิขิต

มองเห็นเถาวัลย์ที่เลื้อยเกาะเกี่ยวตามต้นไม้ใหญ่ คราวนี้คงต้องลองเป็นทาซานกับเขาดูบ้าง! มือข้างหนึ่งเลือกเถาวัลย์เส้นเขื่องขนาดยาวทีเดียว ทดสอบดึงดูท่าทางเหนียวแน่นดี คำนวณด้วยสายตาแล้วน่าจะยาวพอที่จะไปถึงหน้าผาอีกด้านหนึ่งได้อย่างสบาย

“แดนเทียน์ เข้ามากอดข้าเร็วเข้า” บุตรชายหัวหน้าโจรฝ่ายขวาหันมาสั่งสาวน้อย มือขวาพันเถาวัลย์กับมือตนเองไปมาหลายรอบ

“กอดทำไม! เจ้าจะทำอะไร!”

จะบ้าหรอ!! อยู่ ๆ ก็ให้เข้าไปกอดไม่บอกไม่กล่าวเหตุผล มันทำใจลำบากนะ!!

แดนเทียน์ทำหน้ายุ่ง อดบ่นขรมอยู่ในใจไม่ได้

“อย่าบอกนะว่า…” แล้วมองลงไปที่หน้าผาตรงหน้า ใจหายวูบ แค่เห็นความสูงลิบลิ่วเข่าก็อ่อน ขาก็สั่นแล้ว ถ้าจะให้ปีนลงไป หรือว่าห้อยโหนไปอย่างทาซานเห็นทีจะไม่ไหวแน่

“เจ้าจะกอดไม่กอด” พลางหันไปดูทหารโจรที่กำลังใกล้เข้ามา

“ไม่กอด! ไม่เอานะ เจ้าจะ….” ยังพูดไม่ทันจบ ซีนิธรีบพูดทับขึ้นมาทันที

“เจ้าไม่กอดข้า! งั้นข้ากอดเจ้านะ!” ไม่ทันสิ้นเสียงนั้น มือซ้ายของซีนิธก็คว้าตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน รีบพันเถาวัลย์เข้ากับตัวเธอและเขาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

สาวน้อยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นิ่งมองหมอหนุ่มตรงหน้าตั้งหน้าตั้งตาพันเถาวัลย์อย่างใจจดจ่อ

“ถ้าเจ้ากลัวให้หลับตาไว้นะ” ชายหนุ่มหันมาสบตาสาวน้อยตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนหันสายตามุ่งมั่นมองตรงไปยังเป้าหมาย ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระทึก เวลานี้เขาจะกลัวหรือลังเลไม่ได้ แล้วพาเธอเดินถอยหลัง แต่เธอไม่ยอมขยับ

“เร็ว! พวกโจรตามมาโน่นแล้ว” ซีนิธหันมามองคนในอ้อมแขน พบความหวาดกลัวฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“ไม่ต้องกลัวนะ ขอให้เจ้าเชื่อใจข้า” สองแขนจับต้นแขนของคนที่อยู่ตรงหน้าบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ

หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มที่สัมผัสได้ถึงความเข้มแข็งหนักแน่นมั่นคง ทำให้เธอใจชื้นขึ้น

“พร้อมนะ” เขาบอกเธอให้เตรียมตัวอีกครั้ง

แดนเทียน์พนักหน้า แม้ในใจยังสั่น ๆ กลัว ๆ อยู่ก็ตาม เป็นไงเป็นกัน! พยายามทำใจให้เข้มแข็ง เวลานี้เธอควรเชื่อใจเขาที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

ซีนิธพาเธอเดินถอยหลัง พร้อมกับเริ่มวิ่งไปพร้อมกัน เพื่อเพิ่มแรงส่งในการเหวี่ยงตัวออกไป ก่อนจะกระโดดตัวลอยพ้นออกจากเชิงหน้าผา มองเป้าหมายสู่หน้าผาอีกด้านหนึ่งที่ต้องไม่พลาดและต้องปลอดภัย

ทันทีที่ทั้งคู่พุ่งทะยานแหวกอากาศออกมากลางหุบเหว แดนเทียน์ใจหายวาบไปชั่วขณะหนึ่ง สองแขนกอดซีนิธไว้แน่นหลับตาปี๋ ตัวเกร็งกัดฟันแน่น ร่างทั้งสองลอยละลิ่วไปกลางอากาศ สองแขนอันแข็งแกร่งของบุตรชายหัวหน้าโจรใหญ่กอดเธอไว้แน่นเช่นกัน

พวกเหล่าทหารโจรวิ่งตามมาหยุดที่เชิงหน้าผา แต่ไม่ทันที่จะคว้าร่างของทั้งสองไว้ได้ หัวหน้าโจรรีบขวางมีดสั้นออกไปเพื่อตัดเถาวัลย์เส้นนั้น มีดคมเฉียบตัดฉับเข้ากับเถาวัลย์เส้นนั้นได้อย่างแม่นยำและขาดผึงทันที!!

แม้เถาวัลย์อีกด้านหนึ่งจะถูกตัดขาดแล้ว แต่ทว่า ด้วยเกือบถึงเป้าหมายแล้ว และแรงส่งที่แรงพอนั้นส่งให้ทั้งคู่ข้ามไปถึงเป้าหมายได้อย่างปลอดภัย

เมื่อถึงพื้นดินเชิงหน้าผาอีกด้านหนึ่ง ซีนิธเอาหลังลงกระแทกพื้นเพื่อกันตัวหญิงสาวเอาไว้จากการบาดเจ็บ ทันทีที่ถึงพื้นแรงเหวี่ยงและความเร็วทำให้ทั้งคู่หมุนครูดไถลไปกับพื้นดิน แล้วกลิ้งตามพื้นไปอีกสองสามตลบก่อนจะหยุดนิ่งสนิท ต่างคนต่างกอดกันแน่นอย่างใจหายใจคว่ำภายใต้ภาวะของความกลัวสุดขีด

หมอหนุ่มแห่งค่ายริกเกอร์หายใจเข้าออกแรง ๆ ถี่ ๆ ยังไม่หายตื่นเต้น สติค่อยคืนกลับมา ลืมตามองรอบตัวอย่างช้า ๆ เขาค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้า ๆ รู้สึกหายใจหายคอได้ทั่วท้องขึ้น ยังอดหวาดเสียวไม่หายกับนาทีชีวิตก่อนหน้านี้ มองรอบตัวเพื่อดูความปลอดภัย ไม่มีทหารโจรรออยู่อย่างที่กังวลใจไว้แต่แรก แล้วก้มลงมองคนในอ้อมแขน แอบยิ้มที่เห็นคนปากดียังกอดเขาแน่นอยู่

“ไหนเจ้าบอกว่า ไม่กอดข้าไง” อดพูดหยอกล้อแกล้งเธอไม่ได้

แดนเทียน์ลืมตาขึ้นมาทันที รีบถอนวงแขนที่กอดเขาไว้อยู่อย่างลืมตัว รู้สึกเจ็บที่หัวใจอีกแล้ว โกรธเขาจริง ๆ ชอบเอาภาวะแบบนี้มาล้อเล่นอยู่เรื่อย รีบผละออกมาจากอกกว้างของชายหนุ่ม แต่ทว่ายังไปไหนไม่ได้เนื่องจากยังมีเถาวัลย์ที่พันรอบตัวเขาและเธอไว้อยู่

“หยุดพูดบ้า ๆ ซะทีได้มั้ย!! สนุกนักหรือไง!” เธอตะหวาดแหวเสียงดังอย่างฉุนเต็มที่

ซีนิธไม่พูดอะไรต่อ ทำหน้าตาเฉยนอนมองใบหน้าสาวน้อยตรงหน้าที่ห่างไปไม่ถึงคืบ ซึ่งกำลังทำหน้ายุ่งเหยิง แถมส่งสายตาเขียวปัดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้

“เอาแขนออกไปนะ!” จับแขนของชายหนุ่มที่ค้างอยู่บนตัวเธอออกไป แล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี

“ลุกขึ้นสิ!” มองคนขี้แกล้งนอนอมยิ้ม ดูท่าทางสบายใจเหลือเกิน ลำพังตัวเธอเองจะลุกขึ้นคนเดียวก็ทำไม่ได้ เพราะตัวติดกันอยู่อย่างนี้

“จะรีบไปไหนล่ะ นอนคุยกันก่อน” หมอหนุ่มยิ้มกวน ๆ แหย่ต่ออย่างอารมณ์ดี

“บ้า!! พูดบ้า ๆๆ ใครจะอยากนอนคุยกับเจ้า!” แดนเทียน์กระแทกเสียงใส่อย่างโมโห

นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!! เธอเริ่มเดือดดาลเลือดขึ้นหน้ามาทันที ผู้ชายอะไรน่าเกลียดที่สุดเลย

“เอ๊ะ! สงสัยจะเข้าใจผิดน่ะ ขอโทษทีนะ” ซีนิธตีหน้าตายลุกขึ้นนั่ง มือหนาดึงเถาวัลย์รอบตัวเธอและเขาออก

“นี่!! ห้ามยิ้ม! หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้นะ!” แดนเทียน์ไม่ยอม จ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง

หมอหนุ่มพยายามจะไม่ยิ้ม พยายามจะทำหน้าเฉย ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งเห็นคนตรงหน้าโกรธจนหน้าแดง ก็ยิ่งขำ ทำให้หน้าตายิ่งดูขำมากกว่าเดิม

“หยุดนะ!! หยุด….…!!” แดนเทียน์เข้าไปรัวทุบแขนชายหนุ่มเมื่อเห็นเขาไม่ยอมหยุดยิ้มเยาะเธอเสียที

“โอ๊ย!” หมอหนุ่มร้องเสียงหลง

หญิงสาวสะดุ้ง! อย่างตกอกตกใจ เมื่อสังเกตเห็นแขนเสื้อของเขาขาดเนื่องจากการครูดไถลไปกับพื้นดิน แถมยังมีแผลถลอกปอกเปิดเป็นทางยาว แดงช้ำเป็นปื้น เลือดกำลังซึมออกมาเนื่องจากโดนกระทบกระแทกซ้ำจากกำปั้นของเธออีก

“ข้า…ข้าขอโทษ เจ็บมากรึเปล่า” แดนเทียน์ใจเสีย รู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นสาเหตุทำให้เขาเจ็บตัว

“ข้าไม่เป็นไรมากหรอก แต่ข้าเจ็บหัวใจมากกว่า”

“แหวะ!!” สาวน้อยทำจมูกย่น เธอละหมั่นไส้เขาจริง ๆ “เอายามาสิ! เดี๋ยวช่วยทาให้”

หมอหนุ่มจึงหยิบตลับยาสมุนไพรในย่ามออกมาส่งให้พยาบาลสาวจำเป็น

บ้า!! จะยิ้มอะไรกันนักหนา แดนเทียน์บ่นในใจ ไม่กล้าพูดออกมา กลัวจะยิ่งทำให้เป็นเรื่องอีก

=============

ทั้งคู่ออกเดินทางต่อ ซีนิธพยายามลำดับเส้นทางในหัวสมอง เพราะการกระโดดข้ามหน้าผามาแบบนี้ ทำให้แผนการเดินทางที่วางไว้แต่เดิมเปลี่ยนแปลง เขาต้องหาทางเดินเข้าสู่เส้นทางเดิมที่ได้วางแผนไว้แต่แรกให้เจอ และแล้วโชคก็เข้าข้างเดินทางมาถึงบริเวณที่มีสัญลักษณ์ดอกไม้สีเหลืองสองดอก บุตรชายของหัวหน้าโจรยิ้มอย่างมีความหวัง ในที่สุดเขาก็หาเส้นทางเดิมเจอจนได้ แล้วผิวปากเรียกม้าสีหมอกคู่ใจ ครู่เดียวม้าคู่ยากก็วิ่งทะยานออกมาหาด้วยความดีใจ เขาเอื้อมมือลูบหัวและตบคอของมันเบา ๆ

“ขอบใจที่เจ้ามา” แล้วหันไปทางสาวน้อย

“เราจะเดินทางด้วยม้า”

แววตาเธอแสดงความดีใจ แต่แล้วกลับครุ่นคิด

“นั่งไปด้วยกันหรอ” เธอถามด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อเห็นม้ามีเพียงตัวเดียว ไม่กล้านึกภาพตอนนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาบนม้าตัวนั้น

“อ้าว!! ก็ม้ามีตัวเดียว หรือเจ้าจะเดินไป” คนตอบแกล้งทำเสียงเครียด

“เอ้า! เร็วเข้า! ขึ้นม้าสิ” ออกคำสั่งอีกต่างหาก

คนถูกสั่งไม่รู้จะทำยังไง คิดอะไรไม่ออก เก้ ๆ กัง ๆ ขึ้นไปนั่งบนหลังม้า พร้อมกับรวบผมยาวมาข้างหน้า เพื่อไม่ให้เส้นผมตีถูกหน้าเขาเมื่อม้าออกตัววิ่ง

ซีนิธขึ้นนั่งบนหลังม้า หลังจากเธอขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาพยายามนั่งตัวตรง และนั่งเว้นระยะห่างจากตัวเธอเล็กน้อยเพื่อให้สาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างหน้าไม่รู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจจนเกินไป มือดึงบังเหียรม้าเตรียมพร้อม แล้วขยับเท้าแตะสีข้างม้าเป็นสัญญาณ เจ้าคู่ยากสี่เท้ารับคำออกตัววิ่งตามคำสั่งทันที

เดินทางมาถึงจุดที่มีสัญลักษณ์ดอกไม้สีเหลืองสามดอก ซีนิธมองเห็นด่านกองโจรขวางอยู่เบื้องหน้า ตัดสินใจควบม้าเร็วขึ้น หวังจะฝ่าด่านไปให้ได้

“หมอบลง!!” เขาสั่งหญิงสาวให้หมอบลงกับคอม้า

“จับให้แน่นนะ” แล้วควบม้าตะลุยไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

พลทหารโจรแตกกระเจิดกระเจิงเมื่อซีนิธควบม้ามาอย่างเร็วราวสายฟ้าแลบ กะชนแหลกหากใครไม่หลบ แถมในมือยังถือเถาวัลย์ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่เหวี่ยงเหนือศีรษะไปมารอบทิศทาง

แดนเทียน์หายใจหายคอโล่งขึ้น เมื่อพ้นด่านทหารโจรนั้นมาได้ แต่แล้วกลับสะดุ้งเมื่อบุรุษที่นั่งอยู่ข้างหลังซบหน้าลงมาที่ต้นคอของเธอ สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่มากระทบผิว

“ซีนิธ!! เจ้าทำอะไร” สาวน้อยตะโกนถามทันที พลางเอี้ยวตัวหันกลับมามอง สิ่งที่ทำให้เธอเพิ่มความตกใจเข้าไปอีก เมื่อมองเห็นเลือดแดงไหลรินมาตามท่อนแขนของเขา มือทั้งสองของชายหนุ่มยังจับบังเหียรม้าอยู่แม้จะดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อได้ยินคำถามของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า หมอหนุ่มจึงรู้สึกตัว หลังจากอยู่ ๆ ก็วูบไป จนศีรษะไปซบอยู่ที่ต้นคอของเธอ กัดฟันขยับศีรษะขึ้นจากต้นคอของเธออย่างอ่อนแรง พยายามบังคับลำตัวให้ตั้งตรง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกทีเมื่อรู้สึกเจ็บแผลที่หัวไหล่ขึ้นมา ทนเจ็บมาตลอด ปล่อยให้เลือดไหลไป เอาแต่ควบม้าออกมาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลัวว่าพวกทหารโจรจะตามมาทัน

“ซีนิธเจ้าได้รับบาดเจ็บนี่ เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ตอบข้าหน่อย” น้ำเสียงนั้นร้อนรนไม่น้อย เมื่อไม่ได้ยินคำตอบของเขานอกจากความเงียบงัน

“ข้าควบม้าให้นะ เกาะข้าไว้ให้ดีล่ะ” แล้วดึงสายบังคับม้ามาถือไว้เอง

“เจ้าอนุญาตให้ข้ากอดเจ้าได้…ใช่มั้ย…” เสียงบุรุษหนุ่มกระซิบบอกด้วยความอ่อนเพลีย

หญิงสาวขมวดคิ้วยุ่งเหยิงขึ้นมาทันที

“เฉพาะเวลานี้เท่านั้นนะ เจ้าหยุดพูดล้อเล่นได้แล้ว เจ็บขนาดนี้ยังมีหน้ามาตลกอีก”

รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม แม้ปากจะพูดหยอกล้อไปอย่างนั้น แต่ทว่ามือของเขากลับไม่ได้ทำอย่างที่ปากพูดเย้าหยอกไว้เลยแม้แต่น้อย

“ซีนิธ! เจ้าเกาะข้าให้ดีนะ ถ้าเจ้าตกม้าไป ข้าจะทำยังไง” เธออดเป็นห่วงเขาไม่ได้ กลัวเขาจะไม่ไหวตกม้าไปเหลือเกิน

“งั้นข้า…ขอรบกวนเจ้าด้วยนะ” หมอหนุ่มขยับศีรษะมาพักไว้ที่ไหล่หญิงสาวอย่างหมดแรง พยายามยกสองมือโอบเอวร่างบางเอาไว้อย่างอ่อนระโหยเต็มที

เขาเพิ่งเข้าใจความเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์ก็ครั้งนี้เอง ทั้งที่ผ่านมา เขาเคยแต่เป็นคนทำแผล เป็นคนรักษาเท่านั้น วันนี้โดนเสียเอง ถึงเริ่มเข้าใจ เขาตั้งใจว่า หากไม่จำเป็นจะไม่ทำให้ใครต้องบาดเจ็บเช่นเขาตอนนี้เลย

แดนเทียน์ควบม้าต่อไป ใบหน้าเคร่งเครียดไม่น้อย ต้องพยายามทำใจที่มีชายหนุ่มมากอดไว้อย่างนี้ เกิดมาไม่เคยมีใครทำกับเธออย่างนี้เลย ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่มีทางยอมให้เขาทำแบบนี้หรอก ทำไมต้องเป็นเขาด้วยนะ ทำไมต้องเจาะจงเป็นผู้ชายคนนี้ หรือเป็นคำสั่งของฟ้าที่จงใจแกล้งเธอ

แดนเทียน์ตัดสินใจหยุดม้า เธอลืมไปสนิทเลยว่าควรรีบห้ามเลือดและทำแผลให้หมอหนุ่มก่อน ที่สำคัญเข้าใจว่า หนีมาไกลระยะหนึ่งแล้ว ภาวนาขอให้พวกโจรอย่าตามมาอีกเลย

แผลนั้นค่อนข้างลึก มองเห็นเนื้อสีแดงขยุกขยุยอยู่ข้างใน ทำแผลไปพยาบาลจำเป็นก็ทำหน้าเหยเกไปด้วย รู้สึกอดเจ็บแทนเขาไม่ได้

“เจ้าเป็นไงบ้าง” แดนเทียน์เอ่ยถาม หลังจากทำแผลให้ชายหนุ่มเสร็จ
“ยังไกลหัวใจ ข้าไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก” แล้วจ้องหน้าคนถาม

“เป็นห่วงข้าหรอ…”

คนถูกถามทำหน้ายุ่งเป็นยุงตีกัน
“ข้าเป็นห่วงว่าจะไม่มีคนคอยคุ้มครองข้าจากริกเกอร์ต่างหากล่ะ” สาวน้อยสะบัดเสียง เดินหนีไปที่ม้าสีหมอก

หมอหนุ่มยิ้มแล้วส่ายหัวช้า ๆ ก่อนเดิมตามไป

“ไปกันต่อเถอะ”

ทั้งคู่ขึ้นม้าแล้วเดินทางต่อไป

=============

บังเหียรม้าถูกดึงทันที เมื่อมองเห็นกองทัพทหารโจรกองใหญ่ตั้งด่านอยู่เบื้องหน้าเรียงหน้ากระดานดำทะมึนนับพันคน หัวหน้าโจรแต่งเครื่องแบบเต็มยศที่ดูมีพลังอำนาจนั้นจะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากหัวหน้ากบฎริกเกอร์ พร้อมเหล่าหัวหน้าโจรทั้งหมด ธงสีดำโบกสะบัดตามแรงลม บนท้องฟ้ามีแต่เมฆก้อนสีดำยึดท้องฟ้าไว้ทั้งหมด ฟ้าแลบแปบปลาบและร้องครืน ๆ ตลอดเวลาราวกับตกอยู่ใต้มนต์ดำ

ทั้งคู่ลงจากหลังม้าสีหมอก แม้จะรู้ดีว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันโดยตรงได้ เพราะเขามีแต่ทางเสียเปรียบ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว คงถอยหรือหลบหนีไม่ได้อีกแล้ว นอกจากต้องกล้าเผชิญหน้ากับมัน

“แล้วเจอกันที่ชายป่านะเพื่อน” เขาตบคอม้าเพื่อนยากเบา ๆ ขณะนี้ถึงมีม้าก็หนีไม่พ้น เขาไม่อยากให้เพื่อนคู่ยากของเขาได้รับบาดเจ็บ

ม้าสีหมอกคู่ยาก ไม่ยอมขยับเมื่อเขาออกคำสั่งให้ไป ด้วยรู้ว่าเจ้านายกำลังเผชิญหน้ากับอันตราย

“ไปสิ! เจ้าอย่าทำให้ข้าหนักใจ” เขาสั่งเสียงเครียดขึ้น

ม้าสีหมอกจึงตัดใจวิ่งจากไปตามคำสั่ง

“ซีนิธ เจ้าเก่งมากที่ฝ่าด่านมาจนถึงที่นี่ได้” เสียงกังวาลของหัวหน้ากบฎริกเกอร์กล่าวทักทายเป็นประโยคแรก

“สมแล้วที่เจ้าเป็นลูกของวาร์เดอร์” แล้วปลายสายตามองถัดจากร่างของหมอหนุ่มไป

“แดนเทียน์ เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกรึ!” เขานึกไม่ถึงร่างซีดขาว ลมหายใจรวยริน ผิวเหี่ยวยับย่นเป็นยายแก่ของเธอวันนั้น ถึงจะหนีรอดไปได้ แต่ไม่น่าที่จะรอดชีวิต แถมวันนี้เธอยังดูสดใสเปล่งปลั่งกว่าที่เคยเจอในครั้งแรกเสียอีก เขาเคยสงสัยว่า พลังส่วนหนึ่งของเขาหายไปไหน วันนี้เขาพอจะเดาคำตอบนั้นได้แล้ว

“ข้ายังเสียดายไม่หาย ที่เจ้าไม่หลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับข้า”

แดนเทียน์ได้แต่จ้องมองฝ่ายตรงข้ามเขม็งโดยไม่พูดโต้ตอบ

“ซีนิธ ข้าจะให้โอกาสเจ้า ในฐานะที่เจ้าเป็นหมอประจำค่ายริกเกอร์มานาน รักษาทหารเจ็บป่วยมาตลอดอย่างเต็มที่ ที่สำคัญเจ้าเป็นลูกชายของวาร์เดอร์ ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะ ไฟท์เทอร์ ได้ข้าจะให้เจ้าออกจากป่าเคนาฟพร้อมกับแดนเทียน์อย่างปลอดภัย

ซีนิธมองไฟท์เทอร์ หัวหน้าโจรฝ่ายซ้าย ที่เพียบพร้อมด้วยฝีมือ ผ่านการสู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน เขารู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางเทียบฝ่ายตรงข้ามได้เลย ด้อยกว่าทั้งด้านฝีมือและประสบการณ์ มีแต่หัวใจแห่งนักสู้และสติปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เขาชนะได้

“ขอให้ท่านรักษาคำพูดก็แล้วกันท่านริกเกอร์”

แล้วหันมามองแดนเทียน์

“เจ้ามองหาลู่ทางหนีให้ดีนะ หากข้า…” ยังพูดไม่ทันจบ แดนเทียน์ยกมือมาแตะริมฝีปากของเขาเอาไว้ไม่ให้พูดต่อ

“ข้าเชื่อว่าท่านจะชนะ ซีนิธ” เธอให้กำลังใจเขาพลางจับมือชายหนุ่มบีบไว้แน่น แม้จะรู้ดีว่า ทางชนะเป็นหนทางที่มืดมนเหลือเกิน ซ้ำเขายังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย มันไม่ง่ายเลยที่จะชนะได้ แต่เธอก็พร้อมจะเชื่อมั่นเขาในเวลานี้ สิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดคือการให้กำลังใจเขาเท่านั้น

“ท่านวางใจนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าไม่มีวันให้ริกเกอร์ดูดพลังชีวิตข้าอีกแน่นอน” สายตาคู่นั้นเป็นประกายเด็ดเดี่ยวมั่นคง

=============

สวัสดีค่า...งานยุ่งมากกกก ก็ผ่านไปแล้วค่ะ เหลือแต่งานที่ยุ่งปานกลาง ฮ่า..ฮ่า... สบายดีกันรึเปล่าคะ เข้ามาอ่านแล้วอย่าลืม! สงสัยทักทายเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ขอบคุณค่า...



Create Date : 23 เมษายน 2551
Last Update : 7 มิถุนายน 2551 17:39:09 น. 2 comments
Counter : 401 Pageviews.

 
ดีคับ สนุกดี


โดย: แบงค์ IP: 222.123.116.206 วันที่: 3 ธันวาคม 2551 เวลา:16:41:25 น.  

 
ขอบคุณมากค่า...ที่แวะมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจคนเขียนนะคะ ^ _ ^


โดย: ริเศรษฐ์ วันที่: 3 ธันวาคม 2551 เวลา:18:40:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ริเศรษฐ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ที่นี่คือบ้านแห่งมิตรภาพ
ตั้งอยู่ในหมู่บ้านกำหลาบความเหงา
ถนนน้ำใจ ตำบลยอมรับ ทั้งหนักทั้งเบา
อย่าลืมอำเภอเรา อำเภอจริงใจที่สุดตลอดกาล
อ้อ! จังหวัดเป็นกำลังใจให้ตลอด
หากเธอว่างแวะมาจอดอย่ารีบผ่าน
ระหัสไปรษณีย์ “รอเธอมาเป็นเพื่อนอยู่นะ”
รอพบพาน.....
ไงก็มาสาบานเป็นเพื่อนกัน
ข้อความทักทาย s
New Comments
Friends' blogs
[Add ริเศรษฐ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.