แม้อากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด เมื่อหัวใจเรามีเพื่อน แม้กายเราจะหนาว แต่หัวใจของเรา อบอุ่น...เสมอ...
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
19 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
เจ้าชายหิมะ ตอนที่ 10

Pearly Dantean

ห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่นัก มีแสงสว่างรอดผ่านจากช่องด้านบนได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น จึงทำให้ห้องมืดสลัว และดูอับ ๆ พื้นปูด้วยฟางแห้ง มีเตียงเก่า ๆ ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง มีผนังอยู่เพียงสามด้าน ด้านที่เหลือประกอบด้วยไม้เป็นซี่ ๆ เรียงกันเป็นกรงขังดีดีนี่เอง

หญิงสาวเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องขัง สมองครุ่นคิดอย่างหนัก เกิดคำถามขึ้นมาอย่างมากมาย คำพูดของชายหนุ่มคนนั้นจะเชื่อถือได้หรือไม่ คนที่ลอบเข้ามาหาเธอเมื่อสามวันก่อน เธอควรทำตามที่เขาบอกหรือไม่ แต่เธอไม่มีทางเลือกเอาเสียเลย หากทุกคำพูดที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง เธอควรอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือเขา ที่สำคัญเธอไม่สนใจว่าเธอจะหนีรอดออกจากที่นี่ได้หรือไม่ ขอเพียงเธอได้มีโอกาสแก้แค้นให้พ่อแม่ของเธอ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เหลือวันนี้อีกเพียงวันเดียว เธอจะต้องเข้าพิธีเซค์แล้ว เธอจะทำอย่างไรดี?

มองดูไม้เล็กแหลมคมสามอันที่เขาให้ไว้ติดตัวเพื่อใช้ยามจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อพบหัวหน้ากบฎริกเกอร์ แล้วรีบเก็บซ่อนอาวุธดังกล่าวเอาไว้ทันที เมื่อได้ยินเสียงโซ่ตรวนดังขึ้นจากการไขกุญแจประตูเหล็กด้านบน เสียงรองเท้าและการเดินหนัก ๆ ลงบรรไดหิน เสียงนั้นดังใกล้เข้ามา กุญแจโซ่ขนาดใหญ่หน้าห้องขังของเธอถูกไขให้เปิดออก ร่างยักษ์ของโจรหน้าตาดุดันโผล่หน้าเข้ามา

“ข้าได้รับคำสั่งให้มาพาเจ้าไปตรวจร่างกาย และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อรอเข้าพิธีเซค์ในวันพรุ่งนี้” สิ้นเสียงกร้าว เธอถูดฉุดกระชากลากตัวไปทันที

หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ขมุกขมอมและเต็มไปด้วยฝุ่นและขี้ดิน เป็นชุดสีขาวสะอาดตา ความงามของวัยสาว ผิวพรรณอันผุดผ่อง ทำให้เธอกลายเป็นหญิงงามในพริบตา

ดวงตาคู่งามนั้นสะดุจเล็กน้อยเมื่อถูกนำตัวมาตรวจร่างกาย เธอจำได้เขาคือคนที่ลอบเข้าไปพบเธอในห้องขังเมื่อสองวันก่อน ที่แท้เขาเป็นหมอในค่ายโจรนี่หรอกหรือ? แสงสว่างทำให้มองเห็นใบหน้าอันอ่อนโยนและความคมเข้มบนใบหน้าชายหนุ่มชัดเจน

“โปรดนำมือของเจ้าออกมาวางข้างหน้า” เสียงสุภาพที่เอ่ยขึ้น ทำให้หญิงสาวแปลกใจ ในความแตกต่างของกิริยาหมอโจรหนุ่ม ที่แตกต่างจากโจรคนอื่นโดยสิ้นเชิง

ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่งราวกับกำลังอ่านใจของกันและกัน

ซีนิธสังเกตสีเล็บทุกนิ้วของเธอเป็นเป็นมันเงาวับ และเป็นสีชมพูระเรื่อ แสดงถึงสุขภาพโดยรวมของเธอสมบูรณ์ดี แล้วยกมือแตะข้อมือของหญิงสาวแผ่วเบาด้วยความสุภาพเผื่อจับดูชีพจรการเต้นของหัวใจ และตรวจเบื้องต้นส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจนเสร็จเรียบร้อย

“สุขภาพของเจ้าแข็งแรงดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทำอะไรด้วยสติ อย่าตื่นเต้นตกใจจนเกินไป” สองประโยคสุดท้ายราวกับจะบอกบางสิ่งบางอย่างอยู่นัย ๆ

“ขอให้เจ้าเชื่อข้านะ”

สาวน้อยพยักหน้ารับ

วันใหม่เดินทางมาถึง บริเวณพิธีเซค์ผ้าสีขาวถูกขึงจนตึงล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยม โต๊ะยันต์พิธีตั้งอยู่ด้านหน้าของกระโจมสีขาวซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีทางเข้าออกได้อยู่เพียงทางเดียว ทหารโจรรายล้อมอยู่ด้านนอกของผ้าสีขาวเป็นพันนาย เมื่อดวงตะวันเคลื่อนตัวมาตรงศรีษะ เป็นเวลาฤกษ์ดีที่สุดที่จะประกอบพิธี

กระถางไฟถูกจุดขึ้นหมายถึงพิธีกรรมเริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงสวดมนต์ร่ายคาถาเสียงต่ำ ๆ ประสานเสียงกันดังคลอตลอดเวลาของเหล่านักพรต เพิ่มความขลังและศักดิ์สิทธิ์ เมฆหมอกสีเทาทะมึนเริ่มเคลื่อนตัวมาบดบังดวงอาทิตย์ให้หม่นมัว ลมพัดแรงจนใบไม้เอนลู่ไหวไปเป็นทางเดียวกัน เสียงลมอื้ออึงอล หวีดหวิว และเสียงใบไม้เสียดสีกันปะปนกับเสียงร้องโหยหวนของปิศาจดังกึกก้องทั่วสารทิศ ท้องฟ้าปรากฎสายฟ้าแลบแปลบปลาบ รอบนอกของพิธีเกิดฝนตกหนักอย่างบ้าคลั่ง

บรรดาระดับหัวหน้าโจรยืนเข้าแถวหน้ากระดานขนาบข้างซ้ายขวาลดหลั่นกันตามฐานะ หัวแถวด้านขวาปรากฏร่างของหนุ่มใหญ่ ขุนโจรวาร์เดอร์หัวหน้าโจรฝ่ายขวายืนนิ่งด้วยความสงบเมื่อมองจากภายนอก แต่ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วงกังวลในตัวบุตรชายยิ่งนัก

หัวหน้ากบฏริกเกอร์ยืนนิ่งมองสาวน้อยในชุดสีขาวถูกนำเข้ามาในปรำพิธี เมื่อเดินมาใกล้ถึงโต๊ะยันต์พิธีศักดิ์สิทธิ์ ทหารโจรสองคนปล่อยมือจากแขนของหญิงสาว ก่อนถอยหลัง โค้งคำนับให้หัวหน้ากบฎอย่างนอบน้อม แล้วหันหลังเดินออกไป

“เจ้าชื่ออะไร” เสียงอันทรงพลังเอ่ยถาม

ชายหนุ่มใหญ่อยู่ในชุดขาวสะอาจตาเช่นกัน บุคลิกน่าเกรงขาม ผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่า หยักโศกเล็กน้อย เพิ่มความคมเข้มของใบหน้าอันหล่อเหลา รอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากทำให้เขาดูมีเสน่ห์ ดวงตาคมเข้มสีนิลที่ไม่เคยครั่นคร้ามหวาดกลัวต่อสิ่งใดคู่นั้น แฝงความเลือดเย็น และร้ายลึกซ่อนอยู่ข้างใน ถึงแม้เขาจะมีอายุเกือบ 60 ปี แต่ยังดูหนุ่มมากและเต็มไปด้วยพละกำลังความแข็งแกร่ง

หญิงสาวพยายามมีสติ แม้จะยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ได้ยินเสียงเต้นรัวของหัวใจของตัวเองดังอยู่ตลอดเวลา

“ข้าชื่อเพอลี่ แดนเทียน์”

มหาโจรหนุ่มใหญ่สบตาของเด็กสาวอยู่ครู่หนึ่ง เธอรู้สึกแปลกเหมือนสูญเสียการควบคุมตนเอง หลังจากสบตาคมเข้มที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจคู่นั้นแล้ว ราวกับตกอยู่ใต้มนต์สะกด

หนุ่มใหญ่ยื่นมือขวาออกมาข้างหน้า

สาวน้อยวางมือของตนเองลงบนฝ่ามืออันใหญ่โตของบุรุษตรงหน้า เขาสัมผัสมือของเธอแผ่วเบา พาเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ ความรู้สึกเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นที่เธอรับรู้ความเป็นตัวของตัวเองได้ นอกนั้นไม่อาจฝืนความต้องการของบุรุษชุดขาวข้างกายได้เลย

“ซีนิธ…ท่านเตรียมพร้อมแล้วใช่มั้ย….??” ความรู้สึกเลือนลางที่หลงเหลือน้อยนิดเหมือนเป็นเพียงเส้นด้ายบางเบาแห่งความกังวลใจ

พิธีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว……..

============





เจ้าชายแรร์เน็สได้แต่ยืนมองเจ้าหญิงเดินจากไป เมื่อเธอพยายามบอกความต้องการของตนเองว่าควรแยกทางกันตรงนี้ เขาเข้าใจผิดหรือเปล่า…? อยากให้เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น แต่ทำไมเธอถึงพยายามยืนยันความต้องการของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกหนึ่งบอกตัวเองว่า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรั้งเธอเอาไว้ เกิดคำถามขึ้นในใจมากมาย ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมถึงรู้สึกไม่อยากให้เธอจากไปอย่างนี้ แต่ไม่อาจพูดถ้อยคำเพื่อรั้งให้เธออยู่…และเดินทางไปด้วยกันอย่างที่ใจคิด แต่ที่ทำได้คือ การหันหลังเดินจากเธอมา ตามที่เธอต้องการ

เจ้าชายเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ความรู้สึกนั้นไม่อาจรู้ได้ว่าเรียกว่าอะไร แต่เป็นความรู้สึกดี รู้สึกสบายใจ ที่ได้อยู่ใกล้เธอ และความรู้สึกนี้ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าหญิงดวงตาสีเขียวสดใส ด้วยเกรงว่าอาจจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนี้ได้ ความรู้สึกที่ว่า ไม่อยากให้เธอจากไป มันรู้สึกแย่ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก จึงตัดใจให้เธอเดินจากไป…

“เจ้ามีหน้าที่ต้องคอยดูแล และปกป้องคน ๆ หนึ่ง” เสียงของบิดาดังขึ้นมาในหัวสมอง

นั่นสิ! เธอเป็นผู้อ่านคาถา หากถูกฝ่ายมืดจับตัวไป ความหายนะต้องอุบัติขึ้นบนโลกนี้แน่ ทำไมข้าถึงลืมคิดถึงข้อนี้นะ

อีกความคิดหนึ่งเริ่มให้เหตุผล ที่ควรแก่การยอมรับอย่างรวดเร็ว

และที่จริงแล้ว เขาต้องมาฆ่าผู้อ่านคาถา เป็นความผิดของเขา ที่ไม่อาจตัดใจฆ่าเธอได้ลง เขาต้องรับผิดชอบหากสิ่งใดจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เจ้าชายหันหลังกลับ เดินกลับไปทางเดิมทันที


“แรร์เน็ส………………..” เจ้าชายรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของเจ้าหญิงเฟรนรี่จากที่ไหนสักแห่ง เงยหน้ามองท้องฟ้ากว้าง หันซ้ายหันขวา ราวกับจะค้นหาแหล่งที่มาของเสียง แม้จะรู้ดีว่าขณะนี้เขาและเธออยู่ห่างไกลกันเป็นกิโล แต่ทว่า…ทำไมถึงได้ยินเสียงของเธอ และสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงนั้นบ่งบอกความตกใจกลัว และต้องการความช่วยเหลือจากเขา

สมองยังไม่ทันสั่งอะไร เท้ากลับไวกว่าความคิด เจ้าชายผมเทารีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วราวสายลมกรด มุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดิมที่เดินแยกจากเธอมา ต้นไม้สองข้างทางลู่เอนไปทางเดียวกันตามแรงความเร็วของการเคลื่อนที่ของเจ้าชาย

“แรร์เน็สช่วยข้าด้วย!!” เสียงเจ้าหญิงยังคงร้องตะโกนให้ได้ยิน ยิ่งทำให้หัวใจของเจ้าชายร้อนรน

โจรสิบกว่าคนวิ่งไล่ตามหลังเจ้าหญิงเฟรนลี่มาติด ๆ เมื่อเจ้าชายผมเทาวิ่งมาถึง รีบคว้ามือเจ้าหญิงพาวิ่งไปทันที ด้วยคิดว่าการปะทะกันอาจมีการบาดเจ็บล้มตาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าชายเลยที่จะเอาชนะสมุนโจรชั้นต่ำเหล่านั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสาวน้อยคนนี้ กลับรู้สึกไม่อยากประหัตถ์ประหารชีวิตของใครหากไม่จำเป็นจริง ๆ

วิ่งมาได้ซักพักใหญ่ เมื่อเหลียวหลังยังเห็นเหล่าโจรยังวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ แต่หนทางหนีเริ่มลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นทางขึ้นเขา เจ้าหญิงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ขาหมดแรงจนวิ่งไม่ไหว

“แรร์เน็ส…” เจ้าหญิงรั้งมือเจ้าชายไว้ ก้มตัวลงต่ำพลางหอบหายใจถี่ ๆ มือข้างหนึ่งจับหัวเข่าของตัวเองไว้แน่น ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“ข้า…ไป…ไม่…ไหว…แล้ว…” เจ้าหญิงพูดสลับกับการหายใจเข้าออกแรง ๆ

บุรุษผมเทาหันกลับมามองอาการเหนื่อยล้าของเจ้าหญิง รู้ดีว่าเธอคงไปไม่ไหวอีกแล้ว หันกลับไปมองพวกโจรที่ยังได้ยินเสียงเอะอะโวยวายตามมาอยู่ไม่ไกลนัก หันซ้ายหันขวามองหามุมหลบภัย มองเห็นพุ่มไม้หนาข้างหน้าผา น่าจะเป็นมุมหลบภัยที่ดี พวกโจรคงไม่สังเกตเห็นและต้องวิ่งเลยไปอย่างแน่นอน คิดดังนั้นแล้ว จึงรีบจูงเจ้าหญิงเข้าไปหลบในพุ่มไม้หนานั้น

ทุกอย่างก้าวต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเพียงไหล่เขาแคบ ๆ ริมหน้าผาเท่านั้น หากพลาดพลั้งต้องตกหน้าผาตายสถานเดียว บริเวณนั้นยังระเกะระกะด้วยเถาวัลย์เรื้อยระโยงระยางอย่างยุ่งเหยิง มือขวาเลือกยึดจับเถาวัลย์ที่ดูมั่นคงและเหนียวแน่น เมื่อได้ที่เหมาะแล้วจึงนั่งลงซ่อนตัวอยู่หลังใบไม้หนา ๆ นั้น มือของเจ้าหญิงจับมือของเจ้าชายแน่นด้วยความกลัว ก้มหน้าซบกับต้นแขนแข็งแรงของบุรุษหนุ่มผมเทา พยายามไม่มองลงไปเบื้องล่าง

เสียงฝีเท้าโจรดังใกล้เข้ามาทุกที ทั้งคู่ต่างนิ่งงันอยู่ในความเงียบ และช่วยกันภาวนาให้เหล่าโจรวิ่งผ่านเลยไป โชคเข้าข้าง โจรวิ่งเลยไปอย่างที่เจ้าชายคาดการไว้ ทั้งคู่รอจนเสียงฝีเท้าโจรวิ่งไกลออกไปทุกที ๆ รอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ ขยับตัว เดินออกมาจากไหล่เขาแคบ ๆ นั้น

ทันใดนั้น!

เท้าข้างหนึ่งของเจ้าหญิงกลับสะดุจรากไม้ แล้วลื่นลงจากไหล่เขานั้น มือของเจ้าหญิงคว้าตัวเจ้าชายไว้ได้ทัน แต่กลับเป็นการดึงให้ทั้งคู่ไถลตกลงมาจากหน้าผาอย่างรวดเร็ว มือของเจ้าชายยึดเถาวัลย์ไว้แน่น ทั้งคู่จึงยังไม่ถึงกับดิ่งพสุธาลงสู่เบื้องล่าง แต่ทว่ามือของเจ้าชายนั้นครูดกับเถาวัลย์จนได้แผลถลอกปอกเปิดไม่น้อย เท้าของเจ้าชายแรร์เน็สพยายามแตะแหง่นหินที่บังเอิญยื่นออกมาตามหน้าผาไว้เพื่อผ่อนน้ำหนักที่เจ้าชายต้องแบกรับทั้งตัวเขาเองและตัวของเจ้าหญิง

“เจ้าห้ามปล่อยมือนะ เฟรนลี่ จับข้าไว้ให้แน่น ๆ นะ” จ้องหน้าเจ้าหญิงเฟรนลี่ที่กำลังกอดเอวเจ้าชายอยู่ แล้วปล่อยมือข้างที่เหลือจากตัวเจ้าหญิง เพื่อใช้อีกมือช่วยยึดเถาวัลย์ไว้อีกข้างหนึ่งเผื่อผ่อนน้ำหนักที่หนักอึ้งขึ้นทุกขณะ

เจ้าหญิงแหงนหน้ามองหน้าเจ้าชายแห่งเรียว

“….ข้าสร้างปัญหาให้กับเจ้าอีกแล้ว…”

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เจ้าหญิงคิดแยกทางกับเจ้าชายก่อนหน้านี้ น้ำตารื้นขึ้นมาคลอดวงตาคู่งามนั้นไว้ มองมือของเจ้าชายที่เกร็งยึดเถาวัลย์เอาไว้แน่น เส้นเอ็นอันเกิดจากการเกร็งข้อมือปูดโปนไปหมด เลือดสีแดงกำลังไหลรินลงมาจากฝ่ามือที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากเถาวัลย์ แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากที่ต้องโหนห้อยต่องแต่งสองคนเช่นนี้

“เฟรนลี่…เจ้าอย่าคิดโง่ ๆ นะ”

เจ้าชายมองดวงตาของเจ้าหญิงราวกับรู้สิ่งที่เจ้าหญิงคิดจะทำ แต่ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ เถาวัลย์ดังกล่าวกลับขาดผึงลงทันที ไม่อาจต้านทานน้ำหนักของทั้งคู่ไว้ได้ ทั้งสองล่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากเถาวัลย์มีความคดเคี้ยวพันกันยุ่งเหยิงกับเถาวัลย์เส้นอื่นที่ไม่เป็นอิสระจากกันอย่างเด็ดขาด ทำให้ทั้งคู่เลื่อนลงมาหยุดห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศอีกครั้ง

ทั้งสองคนต่างแทบหยุดหายใจ หัวใจเกือบหยุดเต้นกับนาทีวิกฤตก่อนหน้านี้ แล้วหายใจออกเบา ๆ อย่างโล่งอก พักเหตุการณ์น่าหัวใจวายไว้ก่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง ค่อยรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้น

“ถ้าท่านเพียงคนเดียวคงเอาชีวิตรอดได้ ข้า…ไม่อาจเป็นตัวถ่วงของเจ้าอีกต่อไป ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ข้าจะไม่ลืมเจ้าเลย แรร์เน็ส…”

มือสองข้างของเจ้าหญิงเริ่มหมดกำลังลงเรื่อย ๆ กอดเจ้าชายไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

“เฟรนลี่!! เจ้าต้องไม่ปล่อยมือนะ!!” เจ้าชายตะโกนเสียงลั่น แต่ไม่ทันขาดคำ มือทั้งสองข้างของเจ้าหญิงปล่อยมือจากร่างของเจ้าชาย ดิ่งลงสู่เบื้องล่างตามแรงดึงดูดของโลกทันที

“เฟรนลี่!!” เสียงเจ้าชายตะโกนก้องหุบเขา

รวดเร็วกว่าความคิดนึก เสี้ยววินาทีนั้น เจ้าชายปล่อยมือจากเถาวัลย์ทันทีเช่นกัน รีบกระโจนตามลงไป ชั่วพริบตาคว้าร่างบางนั้นไว้ได้ทัน กอดร่างในอ้อมแขนแน่น เอาตัวเองกันร่างของหญิงสาวเอาไว้ หากต้องกระทบกระแทกสิ่งใด ร่างของเขาจะคอยเป็นเสมือนเกราะที่คอยปกป้องคุ้มครองจากอันตราย

แทบหยุดหายใจไปชั่วระยะเวลาหนึ่งของการดิ่งพสุธาลงสู่พื้นโลก เหมือนไร้ตัวตน ไร้ความรู้สึก ไร้ความคิดนึก ร่างของเจ้าชายและเจ้าหญิงปะทะกับกิ่งก้านสาขาของต้นไม้สูงใหญ่ที่เป็นป่ารกครึ้มด้านล่าง ผ่อนแรงการเสียดทานของแรงโน้มถ่วงของโลก

เจ้าชายมีสติตื่นเต็มตลอดเวลา พยายามปกป้องร่างในอ้อมแขนให้เกิดการบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งคู่ปะทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่เต็มแรง ก่อนดิ่งลงสู่พื้นดิน โชคดีด้านล่างปกคลุมด้วยหญ้าอันอ่อนนุ่มที่ขึ้นหนาทึบในบริเวณนั้น ทำให้แรงกระแทกลดลง ทุกอย่างจึงสงบนิ่งหยุดการเคลื่อนไหว

สักพักใหญ่มือของเจ้าหญิงเฟรนลี่ขยับเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอย่างช้า ๆ

ข้าอยู่ที่ไหน….ข้าตายหรือยัง….ถ้าตายแล้ว…ท่านพ่อท่านแม่อยู่ที่ไหน…ได้โปรด…มารับข้าด้วย….ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน…

ความรู้สึกของเจ้าหญิงรู้สึกสับสน

เปลือกตาของเจ้าหญิงลืมค่อย ๆ ลืมขึ้น แล้วขยับใบหน้าขึ้นจากแผ่นอกกว้างของเจ้าชาย มองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างงุนงง ยกมือจับหน้าตาตัวเองและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สัมผัสได้ถึงลมหายใจของความมีชีวิต หยิกตัวเองยังเจ็บอยู่

“ข้ายังไม่ตายนี่…”

รีบก้มลงมองเจ้าชายที่นอนนิ่งอยู่เบื้องหน้า เสื้อผ้าของเจ้าชายขาดวิ่นเนื่องจากปะทะทั้งกิ่งไม้น้อยใหญ่ ทั้งครูดกับเปลือกไม้ เสี้ยนไม้ และหนามแหลมคมจากต้นไม้นานาชนิดจนถลอกปอกเปิดไปหมด ตามเนื้อตัวมีแต่ริ้วรอย และเต็มไปด้วยบาดแผลใหญ่น้อย

“แรร์เน็ส!!” เจ้าหญิงเขย่าตัวชายหนุ่ม พลางส่งเสียงเรียกชื่อเจ้าชายครั้งแล้วครั้งเล่า

“เจ้าเป็นไงบ้าง!!” ยกมือตบแก้มเจ้าชายถี่ ๆ ด้วยความหวังว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แม้จะยังกังวลใจไม่น้อยเพราะตกลงมาสูงขนาดนั้น แถมเขายังช่วยปกป้องเธอจากการปะทะกับกิ่งก้านสาขาของต้นไม้สูงใหญ่โดยตรงอีกด้วย

“แรร์เน็ส…เจ้า…ไม่เป็นไรใช่มั้ย…” เจ้าหญิงเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเรียกเท่าไหร่ ร่างนิ่งงันตรงหน้าก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าตอบข้าหน่อย…แรร์เน็ส…อย่าเงียบแบบนี้…” หญิงสาวใจเสีย น้ำเสียงเริ่มสั่น น้ำตาเริ่มคลอสองตาคู่งามนั้น สมองเริ่มคิดไปในทางร้าย ๆ มือสั่นเทาค่อย ๆ เคลื่อนไปที่ปลายจมูกของเจ้าชาย แต่ไม่กล้าที่จะเลื่อนเข้าไปใกล้ กลัวเหลือเกิน….กลัวว่า…มันจะปราศจากลมหายใจของการมีชีวิต

“เจ้าต้องไม่ตายนะ แรร์เน็ส” พลางโผเข้ากอดร่างบุรุษผมเทาแน่น สัมผัสได้แต่ความเย็นจากกายบุรุษ ครู่หนึ่งเจ้าหญิงลุกขึ้นมามองหน้าเจ้าชายอีกครั้ง

“แรร์เน็ส….” มือเรียวแตะแก้มของเจ้าชายแผ่วเบา หยดน้ำใส ๆ ราวอัญมณีจากดวงตาของเจ้าหญิงร่วงผล็อย หล่นลงกระทบใบหน้าของเจ้าชาย แล้วปรากฏแสงสว่างเล็ก ๆ วาบหายไปใต้ผิวหน้ากร้านของบุรุษผมเทา

“เจ้าจากข้าไปจริง ๆ เหรอ….” เจ้าหญิงถามร่างที่นอนแน่นิ่งนั้น ด้วยเสียงสั่นเครือ

ไม่มีคำตอบใดใด มีแต่ความเงียบงัน

“ไม่จริงใช่มั้ย!! เจ้าต้องฟื้น เจ้าตายไม่ได้นะ ทำไม!! ใคร ๆ ที่อยู่ใกล้กับข้าต้องมีอันเป็นไปอย่างนี้ ได้โปรดเถอะ ข้าขอร้อง!!” เจ้าหญิงซุกหน้าลงบนแผ่นอกของเจ้าชายอีกครั้ง พลางร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นที่สุด

ครู่หนึ่งเจ้าชายแรร์เน็สค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นช้า ๆ เนื่องจากก่อนตกลงกระแทกพื้น ต้นคอของเจ้าชายกระแทกเข้าอย่างแรงกับขอนไม้ใหญ่ ยังผลให้เจ้าชายหมดสติไปนาน

“ใครมาร้องไห้ฟูมฟายอะไรแถวนี้” เจ้าชายได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใกล้เหลือเกิน

ดวงตาสีสนิมเหล็กลืมขึ้น กระพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับโฟกัสของภาพที่เห็นตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น พยายามลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ มองเห็นร่างของเจ้าหญิงร้องไห้จนตัวสั่นเทา มือสองข้างกอดตัวของเขาไว้แน่น ใบหน้าซบอยู่บนแผ่นอกของเขา

มือหนา ๆ เลื่อนมาตบแผ่นหลังของหญิงสาวที่เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“เฟรนลี่….ข้าไม่เป็นไรแล้ว….” พลางลูบหลังเจ้าหญิงอย่างปลอบโยน

“แรร์เน็ส….!!!” เจ้าหญิงผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าบุรุษตรงหน้า

เจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตยังคงจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองนัก

เจ้าชายไม่ปล่อยให้เจ้าหญิงมองหน้าเจ้าชายอยู่ในระยะใกล้ขนาดนั้นนานนัก รีบขยับตัว ใช้ศอกยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง

“เจ้ายังไม่ตายใช่มั้ย?” จับมือเจ้าชายบีบไว้แน่นด้วยความดีใจ

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว…” มองใบหน้าเจ้าของดวงตาสีเขียวที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา

หน้าเศร้า ๆ หม่นหมองของเจ้าหญิงเฟรนลี่เมื่อครู่คลายลง มุมริมฝีปากบางอันงดงามค่อย ๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มสดใสแห่งความดีใจเป็นที่สุด พร้อมดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นเป็นประกายแจ่มใสอีกครั้ง รอยยิ้มแบบนี้ที่เขาอยากเห็นเหลือเกิน เจ้าหญิงโผเข้ากอดเจ้าชายแน่นด้วยความดีใจอย่างลืมตัว

“ข้าดีใจเหลือเกิน…ที่เจ้าไม่เป็นอะไรนะ แรร์เน็ส…”

บุรุษผมเทานิ่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้เธอกอดเขาเอาไว้อย่างนั้น หัวใจซึมซับรับรู้ความรู้สึกที่แสนดีเหล่านั้นเอาไว้จนเต็มเปี่ยม

===============

ด้านนอกของพิธีเซค์ฝนกำลังตกหนัก ทะเลเมฆสีเทาทะมึนดำครอบคลุมพื้นที่ไว้ทุกทิศทุกทาง ทั้งเสียงฟ้าเสียงฝนคำรามกึกก้องกัมปนาท ราวกับระคนของเสียงปิศาจโหยหวน บานหน้าต่างที่ปราศจากแสงแห่งตะวันในยามบ่ายคล้อยหม่นมัวไปถนัดตา ละอองฝนสาดกระเซ็นเข้ามาในห้องบางเบา คราบของน้ำส้มแห้งกรังอยู่ในแก้วน้ำทรงสูงบนโต๊ะไม้ข้างเตียงนอน บนเตียงหนานุ่ม บุตรชายของขุนโจรฝ่ายขวานอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ใช่คนที่จะนอนตื่นสายจนถึงเวลาบ่ายคล้อยเช่นนี้ มิหนำซ้ำวันนี้เขาจะต้องตื่นเพื่อทำภารกิจตามที่ได้ตั้งใจไว้ แต่ไม่อาจต้านทานฤทธิ์ยานอนหลับจากน้ำส้มคั้นที่ดื่มก่อนนอนไปเมื่อคืนนี้

ครู่ใหญ่ชายหนุ่มบนเตียงขยับตัวเมื่อฤทธิ์ของยานอนหลับหมดลง ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ รีบลุกพรวดขึ้นนั่ง

“ตายล่ะ!” ชายหนุ่มหันขวับ มองออกไปนอกหน้าต่างทันที เห็นม่านฝนหนาทะมึนหม่นมัวไปหมดทุกสารทิศ แสดงว่าพิธีเซค์ยังไม่สิ้นสุด แล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว แม้จะมีอาการมึนศีรษะอยู่ไม่น้อย ก่อนลุกขึ้นมองเห็นแก้วน้ำส้มที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน หยิบขึ้นมามองพลางขมวดคิ้วย่นราวกับนึกอะไรบางอย่างออก แล้วกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ รีบรุดออกจากบ้านทันที

“ซีนิธ!! เจ้าจะไปไหน” แคร์เซียรีบตะโกนตามหลัง พลางวิ่งเข้ามาดึงแขนบุตรชายของเจ้าของบ้านเอาไว้ ก่อนที่เขาจะก้าวพ้นประตูบ้านออกไป

“ท่านใช่มั้ย?” ซีนิธจ้องหน้าสาวใช้ “วางยานอนหลับข้า!” เขาพูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด

=============



Create Date : 19 มีนาคม 2551
Last Update : 19 มีนาคม 2551 23:51:47 น. 5 comments
Counter : 418 Pageviews.

 
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะค่ะ ชอบมากเลยค่ะ


โดย: kae IP: 87.50.126.65 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:6:00:40 น.  

 
kae

ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ ที่ฝากข้อความทักทายคนเขียนนะคะ ดีใจมาก ๆ เลย ^ _ ^

ว่าแต่อ่านตั้งแต่ตอนแรกเลยหรือเปล่าคะ


โดย: ริเศรษฐ์ วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:22:06:21 น.  

 
อุ้ยยยอ่านค่ะอ่าน แต่มาคอมเม้นรวมยอดไว้ตอน10 อิอิอิ เพิ่งเปิดไปเจอเมื่อวานตอนมืดแระอะค่ะ เลยตามอ่านจนถึงตอนนี้ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ่ค่ะ


โดย: kae IP: 87.49.96.80 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:22:52:21 น.  

 
kae

แล้วนึกยังไงถึงตัดสินใจเข้ามาอ่านเรื่องนี้ละคะ เพราะเรื่องที่ลงวันหนึ่ง ๆ เยอะมาก ๆ เลย

เห็นค่าอ่านแล้ว ต้องรีบเอาตอนใหม่มาลงค่ะ แต่ก่อนจะนาน ๆ ลงทีหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่ามีใครติดตามอ่านหรือเปล่า อีกอย่างเพิ่งหาคำสั่งทักทายเจอค่ะ อิอิ

ว่าแต่เรียนอยู่หรือทำงานแล้วละคะ

ขอบคุณนะคะ ที่เข้ามาทักทาย^ _ ^ ดีใจค่ะ


โดย: ริเศรษฐ์ วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:23:06:49 น.  

 
ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ แต่ปกติเป็นคนชอบอ่านอยู่แล้วค่ะ ลองอ่านไปเรื่อยๆๆ อยู่ไกลบ้านว่างแระมันเหงาก้อได้ห้องนักเขียนนี่แหละค่ะ พอช่วยได้บ้างค่ะ ตอนนี้อยู่เกาะค่ะ อิอิ เกาะลูกเกาะผัว 5555555+++เป็นแม่บ้านค่ะ ช่วยมาลงต่อให้เรื่อยๆหน่อยนะค่ะ ขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยนะจ้ะ


โดย: kae IP: 83.93.206.162 วันที่: 21 มีนาคม 2551 เวลา:3:41:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ริเศรษฐ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ที่นี่คือบ้านแห่งมิตรภาพ
ตั้งอยู่ในหมู่บ้านกำหลาบความเหงา
ถนนน้ำใจ ตำบลยอมรับ ทั้งหนักทั้งเบา
อย่าลืมอำเภอเรา อำเภอจริงใจที่สุดตลอดกาล
อ้อ! จังหวัดเป็นกำลังใจให้ตลอด
หากเธอว่างแวะมาจอดอย่ารีบผ่าน
ระหัสไปรษณีย์ “รอเธอมาเป็นเพื่อนอยู่นะ”
รอพบพาน.....
ไงก็มาสาบานเป็นเพื่อนกัน
ข้อความทักทาย s
New Comments
Friends' blogs
[Add ริเศรษฐ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.