|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
กระบวนการเรียนรู้กับการสร้างความคิดสร้างสรรค์
จำไม่ได้ว่าเคย save จากที่ไหน นานแล้วเหมือนกัน
เห็นประโยชน์ที่จะพึงมีแก่ผู้ที่แวะมาเยี่ยมเยือน จึงได้นำมาแบ่งปันกันครับผม
.........
การเรียนรู้คงมิใช่การจดจำคำครูสอนแล้วพอถึงเวลาสอบมานั่งนึกย้อนสิ่งเหล่านั้น เพื่อจะนำมาตอบคำถามในข้อสอบ! ... เพราะนั่นเท่ากับเป็นการเก็บข้อมูลจากที่ครูสอน เพื่อรอเวลาจะนำมาใช้หรือระบายข้อมูลนั้นออกมาอีกครั้งในช่วงเวลาสอบ เหมือนเป็นการคัดลอกสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา หากไม่ได้เกิดกระบวนการทางการย่อย หรือขบคิด วิเคราะห์หรือสังเคราะห์สิ่งที่ครูสอนเลย เพราะนั่นเท่ากับเราได้รับฝากของบางอย่างไว้ โดยไม่รู้ว่าของนั้นมีคุณค่าหรือนำมาใช้ประโยชน์อะไรแก่ชีวิตเราได้บ้าง เราไม่ได้ทดลองหยิบจับมันมาปฏิบัติแม้แต่เพียงเล็กน้อย
Dr.A. Noel Jones, Visiting Professor มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เสนอว่าการเรียนรู้ที่แท้จริงต้องเป็นกระบวนการ 5 ขั้นตอนดังนี้ (The Jones Model of Learning จาก ABAC Journal Vol. 26 No.1 January-April, 2006, p.4)
1. ผู้เรียนรู้ได้รับข้อมูลจากสื่อต่างๆ เช่น คุณครู ตำรา ซีดี หรือพูดคุยกัน เป็นต้น 2. ผู้เรียนรู้ถาม-ตอบเกี่ยวกับข้อมูลนั้น (เริ่มวิเคราะห์) 3. ผู้เรียนรู้เชื่อมโยงข้อมูลนั้นกับสิ่งที่ตนรู้ 4. ผู้เรียนรู้สังเคราะห์หรือสร้างความรู้ใหม่ขึ้นมา 5. ผู้เรียนรู้ประมวลเป็นความรู้ของตน
กล่าวได้ว่า กระบวนการเรียนรู้ของ Dr.Jones คือการที่รับข้อมูลมาแล้วไม่ได้มานอนแช่นิ่งอยู่เฉยๆ ในหัวสมอง แต่เกิดการย่อยเป็นส่วนๆ จากการถามตอบกับตนเอง ... ว่าได้รู้อะไรบ้างจากข้อมูลดังกล่าว มันเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร เกิดการเปรียบเทียบส่วนของประกอบต่างๆ ของข้อมูล สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาในการครุ่นคิด เมื่อสามารถเข้าใจข้อมูลอย่างพอสมควร ก็เหมือนกับเราได้รู้ส่วนประกอบของสิ่งที่เราจะบริโภคใส่สมองแล้ว ทีนี้ก็ต้องหาที่หาทางเก็บให้ถูกต้อง นั่นคือ สิ่งที่จะเติมลงไปหรือสิ่งที่ได้รับการย่อยมาพอสมควรนั้น จะสามารถเติมเต็ม/ต่อยอดกับความรู้เดิมของเราตรงส่วนไหน นั่นคือการเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว เมื่อเชื่อมโยงกันเสร็จก็สามารถมองภาพรวมหรือเรียกว่าสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา เพื่อที่จะพัฒนาเป็นฐานความรู้ของเราได้ในที่สุด จะเห็นว่ากระบวนการเรียนรู้เกิดจากการตระหนักรู้สองสิ่งคือ ตระหนักรู้สิ่งที่จะบริโภคใส่สมอง กับตระหนักรู้สิ่งที่ตนเองมีอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ รู้ให้ถ่องแท้ก่อนจะรับอะไรก็ตามมาใช้ประโยชน์ กระบวนการเรียนรู้จึงมิใช่การฟังคำครู จดตามคำครูสอน โดยที่ไม่ได้ตระหนักรู้อะไรเพิ่มขึ้นเลย ด้วยเหตุนี้ เด็กคนที่จดทุกคำพูดของครูกับเด็กที่ฟังครูพูดจนเข้าใจ แล้วจึงจด จะมีผลต่างกันนั่นคือในห้องเรียนเด็กที่จดทุกคำพูดครูจะไม่ได้ใช้สมองคิด หรือเชื่อมโยง/วิเคราะห์อันใด จิตใจคอยพะวงกับการจดให้ทันเท่านั้น ผิดกับเด็กที่ฟังครูให้เข้าใจก่อน เขาจะเริ่มใคร่ครวญครุ่นคิด เริ่มแยกแยะ เปรียบเทียบหรือเชื่อมโยงกับสิ่งที่เขาเคยพบเคยรู้จัก เด็กคนนี้จึงได้เปรียบตั้งแต่ต้น เพราะเขาได้เริ่มเรียนรู้ไปก่อนแล้วตั้งแต่ในชั่วโมง พอหมดเวลาครูสอน เขาจะพัฒนาไปได้เร็วกว่าในกระบวนการเรียนรู้ของตนโดยการกลับไปทบทวนศึกษาสิ่งที่ได้จดไปเพื่อให้เกิดความรู้ของตนในที่สุด
พูดถึงเรื่องการเรียนรู้ ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดทางสถาปัตยกรรม ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนคิดหรือเป็นต้นตำรับสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ นั่นคือ วิธีการที่จะส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์มีอยู่สองขั้นตอนคือ 1. ทำปัญหาที่แปลกให้คุ้นเคย 2. ทำปัญหาที่คุ้นเคยให้แปลก เนื่องจากอาชีพทางสถาปนิกต้องการแนวคิดแปลกใหม่ หรือความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ ฉะนั้นจึงมีหนังสือจากผู้มีความรู้หรือผู้โด่งดังต่างๆ พยายามหาวิธีคิดค้นเพื่อที่จะบรรลุถึงความคิดสร้างสรรค์ได้ตลอดเวลา หนึ่งในวิธีที่พบก็คือ
ทำปัญหาที่แปลกให้คุ้นเคย กับทำปัญหาที่คุ้นเคยให้แปลก? หนึ่งคือ เมื่อเราพบปัญหาที่แปลกใหม่สำหรับเรา เราก็พยายามเชื่อมโยงมันกับปัญหาที่เราเคยประสบมาก่อน เปรียบเทียบพิจารณาดูว่ามันเหมือนมันคล้ายหรือแตกต่างอย่างไร นี่คือขั้นตอนของการทำปัญหาที่แปลกให้คุ้นเคย ซึ่งเมื่อพิจารณากับกระบวนการเรียนรู้ของ Dr. Jones แล้ว มันก็คือ การถาม-ตอบ การวิเคราะห์สิ่งใหม่ๆ ที่เราได้จากครูสอนนั่นเอง ซ้ำยังมีการเชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้มาก่อนอีก กล่าวคือ ปัญหาที่แปลกใหม่ เทียบเท่ากับสิ่งที่ครูสอนในชั่วโมงนั่นเอง เพราะฉะนั้น วิธีการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่เริ่มต้น จากการทำปัญหาที่แปลกให้คุ้นเคยก็คือ การเกิดกระบวนการเรียนรู้ (ปัญหา) นั่นเอง แต่ยังไม่จบอยู่แค่นั้น เราอาจจะรับรู้หนทางแก้ปัญหาแปลกใหม่ซึ่งตอนนี้ กลายเป็นคุ้นเคยกับเราแล้วโดยเราเปรียบเทียบเชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้มาก่อน แต่นั่นอาจเป็นแนวทางเดียวหรือแค่มุมมองเดียวของเราที่มีต่อปัญหา ต้องมาถึงขั้นตอนที่สองคือ ทำปัญหาที่คุ้นเคยให้แปลก หมายความว่า เราควรมองปัญหาที่กลายเป็นคุ้นเคยแล้วในมุมมองใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยมอง เช่น มองดอกไม้ ในสายตากวีหมายถึง ผู้หญิงคนรัก ดอกไม้ในสายตาของผึ้งหรือแมลงจะมีค่าความหมายอย่างไร เป็นต้น สรุปง่ายๆ คือ การนำความคิดหรือคุณค่าความหมายของคนหลากหลายอาชีพสาขาที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อที่จะได้เห็นมุมมองอื่นๆ ต่อสิ่งนั้นอย่างเข้าใจถ่องแท้และรอบด้านมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการย้ายตำแหน่งที่เรายืนดูบางสิ่งบางอย่าง เพื่อจะเกิดความคิดที่แปลกใหม่หรือความคิดสร้างสรรค์ในที่สุด ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือ กระบวนการเรียนรู้กับการสร้างความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งอาจจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ว่า เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่จะเข้ามากับสิ่งที่มีอยู่ในตน และทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่กรอบความคิดหรือมโนทัศน์หนึ่งเท่านั้น
ถ้าเราก้าวขาออกมายืนอีกมุมหนึ่ง
เราอาจจะได้เห็นอะไรที่ดีกว่าก็เป็นได้! -
..........
อ่านแล้วได้คิดเหมือนกันครับผม
Create Date : 13 พฤษภาคม 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 15 พฤษภาคม 2550 21:24:24 น. |
Counter : 672 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
เดิมเป็นนักเคมีทำงาน R&D ด้านยาง (rubber) กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้สิบปี ... ... ตอนนี้มาทำงานด้านการขายและให้คำปรึกษา ...
ติดต่อได้ที่ 08-9114-8818 หรือทาง e-mail ครับ
ชอบออกกำลังกาย เล่นแบด ตีปิงปอง และเล่นเทนนิสได้ แต่ไม่ค่อยมีเวลาให้ได้ออกกำลังกายบ่อยๆ
.......
เราเชื่อเสมอว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม ...
|
|
|
|
|
|
|
|