ตรวจแถว FIF 2554 ทองคำนำลิ่ว
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ภาพรวมของการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ หรือเอฟไฟเอฟในรอบปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร กองชนิดไหนรุ่งหรือร่วง
ปี 2554 ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นปีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาพอสมควร ทั้งการปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐ สึนามิในญี่ปุ่น ปัญหาการเมืองในตะวันออกกลาง ตลอดจนปัญหาหนี้ยุโรป เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่เข้ามากระทบบรรยากาศการลงทุนของโลกให้ผันผวนตามไปด้วย และถือเป็นปีที่อาจจะดูไม่สู้ดีนักสำหรับกลุ่ม กองทุนที่ไปลงทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) อย่างไรก็ตาม กองทุนที่มีผลงานดีสุดในปี 2554 ที่ผ่านมา ยังคงเป็น กองทุนทองคำ ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 24.38% เลยทีเดียว โดยภาพรวมของกองทุน FIF ในไทยเองมีสินทรัพย์สุทธิลดลงเหลือ 329,834.82 ล้านบาท จากสิ้นปี 53 ที่ 429,117.48 ล้านบาท ลดลง 99,282.66 ล้านบาท หรือลดลง 23.14% Fundamentals สัปดาห์นี้ จะสรุปภาพรวมของกองทุน FIF ตลอดจนผลงานของกองทุน FIF แต่ละประเภทในรอบปี 2554 มาฝากกัน .......................................... @ FIF โตลดลง 23.14% จากการสำรวจข้อมูลการเติบโตของกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ในปี 2554 ที่ผ่านมา พบว่า กองทุน FIF มีสินทรัพย์สุทธิลดลงเหลือ 329,834.82 ล้านบาท จากสิ้นปี 2553 ที่ 429,117.48 ล้านบาท ลดลง 99,282.66 ล้านบาท หรือลดลง 23.14% ทั้งนี้ มีบลจ.อยู่ 9 แห่ง หรือคิดเป็นสัดส่วน 45% ที่มีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม ในขณะที่บลจ.อีก 11 แห่งที่เหลือ หรือคิดเป็น 55% มีการเติบโตน้อยกว่าอุตสาหกรรม ในจำนวนนี้มีเพียง 3 บลจ.เท่านั้น ที่ยังมีการเติบโตเป็นบวก โดยบลจ.ที่มีการเติบโตในส่วนของกองทุน FIF สูงที่สุด 5 อันดับแรก นำมาโดยอันดับ 1 บลจ.ซีมิโก้ มีสินทรัพย์สุทธิ 8.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.29% 2) บลจ.อเบอร์ดีน มีสินทรัพย์สุทธิ 5,973.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.38% 3) บลจ.ฟิลลิป มีสินทรัพย์สุทธิ 198.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.28% 4) บลจ.กสิกรไทย มีสินทรัพย์สุทธิ 125,216.63 ล้านบาท ลดลง 1.30% และ 5) บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) มีสินทรัพย์สุทธิ 5,187.81 ล้านบาท ลดลง 10.41% อย่างไรก็ตาม ในแง่ของส่วนแบ่งการตลาดกองทุน FIF พบว่า 80.94% ยังคงอยู่กับ 5 บลจ.ที่มีแบงก์เป็นแม่ นำมาโดยอันดับ 1 บลจ.กสิกรไทย มีสินทรัพย์สุทธิ 125,216.63 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 37.96% อันดับ 2 บลจ.ไทยพาณิชย์ มีสินทรัพย์สุทธิ 59,554.11 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 18.06% อันดับ 3 บลจ.ทหารไทย มีสินทรัพย์สุทธิ 37,392.84 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 11.34% อันดับ 4 บลจ.กรุงไทย มีสินทรัพย์สุทธิ 31,112.97 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 9.43% และอันดับ 5 บลจ.ธนชาต มีสินทรัพย์สุทธิ 13,683.44 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 4.15% @ หุ้นโลกผลตอบแทนสูงสุด 3.91% สำหรับ กองทุนหุ้นโลก ในปี 2554 ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 6.13% โดยกองที่มีผลงานดีสุดให้ผลตอบแทน 3.91% ในขณะที่กองที่แย่สุดให้ผลตอบแทนติดลบ 29.66% หรือต่างกันอยู่ 33.57% โดยกองทุนหุ้นโลกที่มีผลงานดีสุด 5 อันดับแรก นำมาโดย อันดับ 1 กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์ (TISCOUS) ของบลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทน 3.91% 2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ แพลทตินัม โกลบอล ฟันด์ (SCBPGF) ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้ 2 ดาว ให้ผลตอบแทน 3.20% 3) กองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอสแอนด์พี 500 (ASP-S&P500) ของบลจ.แอสเซท พลัส ให้ผลตอบแทน 2.40% 4) กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล 35 สตาร์ ฟันด์ (I-35 STAR) ของบลจ.เอ็มเอฟซี ให้ผลตอบแทน 2.34% และ 5) กองทุนเปิด อเบอร์ดีน เวิลด์ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ ฟันด์ (ABWOOF) ของบลจ.อเบอร์ดีน ได้ 3 ดาว ให้ผลตอบแทน 1.67% @ หุ้นเอเชียดีสุดลบ 5.53% ส่วน กองทุนหุ้นเอเชีย-ไม่รวมญี่ปุ่น ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 15.34% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 5.53% ในขณะที่กองที่มีผลงานแย่สุดให้ผลตอบแทนติดลบ 26.78% หรือต่างกันอยู่ 21.25% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุด 5 อันดับแรก ในปี 2554 ได้แก่ อันดับ1) กองทุนเปิดกรุงศรีอาเซียนนิวมาร์เก็ต (KF-ASEAN) ของบลจ.กรุงศรี ได้ 4 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 5.53% 2) กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เดลี่ อาเซียน อิควิตี้ (CIMB-PRINCIPAL ASEAN) ของบลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ให้ผลตอบแทนติดลบ 8.85% 3) กองทุนเปิด อเบอร์ดีน เอเชีย แปซิฟิค เอคควิตี้ ฟันด์ (ABAPAC) ของบลจ.อเบอร์ดีน ได้ 4 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 8.95% 4) กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย คอนซูเมอร์ ชนิดไม่จ่ายเงินปันผล (UOBSAC-N) ของบลจ.ยูโอบี (ไทย) ให้ผลตอบแทนติดลบ 9.02% และ 5) กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย คอนซูเมอร์ ชนิดจ่ายเงินปันผล (UOBSAC-D) ของบลจ.ยูโอบี (ไทย) ให้ผลตอบแทนติดลบ 9.13% @ หุ้นตลาดเกิดใหม่ติดลบ 7.71% ด้าน กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ เองนั้น ในปี 2554 ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 17.88% โดยกองที่มีผลงานดีสุดให้ผลตอบแทนติดลบ 7.71% ในขณะที่กองที่แย่สุดนั้นให้ผลตอบแทนติดลบ 27.34% หรือต่างกัน 19.63% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุด 5 อันดับแรก ในปี 2554 ได้แก่ อันดับ 1) กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล อีเมอร์จิ้ง โกรท ฟันด์ (ABGEM) ของบลจ.อเบอร์ดีน ได้ 4 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 7.71% 2) กองทุนเปิดฟิลลิปเอช แชร์ส์ และ เรด ชิพ (PHR) ของบลจ.ฟิลลิป ให้ผลตอบแทนติดลบ 14.51% 3) กองทุนเปิดทหารไทย Emerging Markets Equity Index(TMBEMEQ) ของบลจ.ทหารไทย ได้ 3 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 14.97% 4) กองทุนเปิดวรรณเอเอ็ม โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต เอควิตี้ (1AM-GEM) ของ บลจ.วรรณ ได้ 4 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 15.14% และ 5) กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40 (ING BRIC) ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้ 3 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 15.20% @ ตราสารหนี้โลกได้ 7.87% สำหรับ กองทุนตราสารหนี้โลก ในปี 2554 ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.46% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.87% ในขณะที่กองที่มีผลงานแย่สุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 1.03% หรือต่างกันอยู่ 8.90% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุด 5 อันดับแรก ในปี 2554 ได้แก่ อันดับ1) กองทุนเปิดวรรณเอเอ็ม โกลบอล บอนด์ 2 (1AMGBF2) ของบลจ.วรรณ ได้ 4 ดาว ให้ผลตอบแทน 7.87% 2) กองทุนรวมบัวหลวงโกลบอลฟิกซ์อินคัม (B-FIF2) ของบลจ.บัวหลวง ได้ 4 ดาว ให้ผลตอบแทน 6.09% 3) กองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรสหราชอาณาจักร (TISCOUK) ของบลจ.ทิสโก้ ได้ 2 ดาว ให้ผลตอบแทน 4.04% 4) กองทุนเปิดกรุงศรีโทเทิลรีเทิร์นบอนด์ (KF-TRB) ของบลจ.กรุงศรี ให้ผลตอบแทน 3.96% และ 5) กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล ออพพอร์ทูนิตี้ บอนด์ ฟันด์ (MGB) ของบลจ.เอ็มเอฟซี ได้ 3 ดาว ให้ผลตอบแทน 3.89% @ กองทุนทองคำแชมป์ 24.38% ในส่วนของ กองทุนทองคำ ในปี 2554 เป็นกลุ่มกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในกลุ่มกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.51% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 24.38% ในขณะที่กองที่แย่สุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 21.50% หรือต่างกันอยู่ 45.88% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุด 5 อันดับแรก นำมาโดย อันดับ1) กองทุนเปิดกรุงศรีโกลด์ (KF-GOLD) ของบลจ.กรุงศรี ด้วยผลตอบแทน 24.38% 2) กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ ฟันด์ (KT-GOLD) ของบลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทน 22.03% 3) กองทุนเปิดแอสเซทพลัสโกลด์ (ASP-GOLD) ของบลจ.แอสเซท พลัส ให้ผลตอบแทน 18.46% 4) กองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ (TMBGOLD) ของบลจ.ทหารไทย ให้ผลตอบแทน 14.24% และ 5) กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท โกลด์ ชนิดไม่จ่ายเงินปันผล (UOBSG-N) ของบลจ.ยูโอบี (ไทย) ให้ผลตอบแทน 13.89% @ กองทุนน้ำมันผลตอบแทนสูงสุด 8.34% ด้าน กองทุนพลังงาน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในปี 2554 ที่ผ่านมา 3.54% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.34% ในขณะที่กองที่มีผลงานแย่สุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 4.09% หรือต่างกันอยู่ 12.43% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ1) กองทุนเปิดทหารไทยออยล์ฟันด์ (TMBOIL) ของบลจ.ทหารไทย ให้ผลตอบแทน 8.34% 2) กองทุนเปิดซีมิโก้ ออยล์ แทรคกิ้ง ฟันด์ (S-OIL) ของบลจ.ซีมิโก้ ให้ผลตอบแทน 6.76% 3) กองทุนเปิดเค ออยล์ (K-OIL) ของบลจ.กสิกรไทย ให้ผลตอบแทน 6.74% 4) กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์( (ASP-OIL) ของบลจ.แอสเซท พลัส ให้ผลตอบแทน 3.71% และ 5) กองทุนเปิดกรุงศรี ออยล์ (KF-OIL) ของบลจ.กรุงศรี ให้ผลตอบแทน 3.38% @ กองธุรกิจสุขภาพได้ 7.15% ขณะที่กลุ่ม กองทุนหุ้นสุขภาพ ที่ปัจจุบันมีเพียง 2 กองทุนเท่านั้น ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.44% นำมาโดย กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) ของบลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทน 7.15% และ กองทุนเปิดเคเค โกลบอล เฮลธ์แคร์ (KK GHC) ของบลจ.เกียรตินาคิน ให้ผลตอบแทน 5.73% @ กองแบรนด์เนมดีสุดติดลบ 5.85% สำหรับกอง FIF ในกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในปี 2554 ติดลบ 6.21% โดย กองทุนเปิดธนชาตพรีเมียมแบรนดส์ฟันด์ (T-PREMIUM BRAND) ของบลจ.ธนชาต ได้ 5 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 5.85% และ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ชิค ฟันด์ (I-CHIC) ของบลจ.เอ็มเอฟซี ได้ 4 ดาว ให้ผลตอบแทน ติดลบ 6.57% @ กองธุรกิจน้ำดีสุดติดลบ 4.45% ส่วนกองทุนในกลุ่มธุรกิจน้ำนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 8.57% นำมาโดย กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล วอเตอร์ (ING GW) ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ให้ผลตอบแทนติดลบ 4.45% และ กองทุนเปิดกรุงศรีเวิร์ลวอเตอร์ (KF-Water) ของบลจ.กรุงศรี ให้ผลตอบแทนติดลบ 12.68% @ กองโครงสร้างพื้นฐานติดลบ 12.69% ด้านกลุ่มกองทุนที่ลงทุนใน ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ในปี 2554 ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 14.44% นำมาโดย กองทุนเปิดธนชาตอินฟราสตรัคเจอร์ แอนด์ แน็ชเชอรัล รีซอร์ส ฟันด์ ออฟ ฟันด์ (T-INFRA) ของบลจ.ธนชาต ให้ผลตอบแทนติดลบ 12.69% และ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเวสท์ เอเชีย อินฟราสทรัคเจอร์ ฟันด์ (I-ASIA INFRA) ของบลจ.เอ็มเอฟซี ให้ผลตอบแทนติดลบ 16.20% @ กองหุ้นจีนดีสุดติดลบ 10.32% ในกลุ่มของ กองทุนหุ้นจีน นั้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 16.48% โดยกองที่มีผลงานดีสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 10.32% และกองที่แย่ที่สุดให้ผลตอบแทนติดลบ 24.90% หรือต่างกัน 14.58% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุด 5 อันดับแรกในปี 2554 ได้แก่ อันดับ1) กองทุนเปิดอเบอร์ดีน ไชน่า เกทเวย์ ฟันด์ (ABCG) ของบลจ.อเบอร์ดีน ให้ผลตอบแทน ติดลบ 10.32% 2) กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index (TMBCHEQ) ของบลจ.ทหารไทย ได้ 1 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 13.66% 3) กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า (ING GC) ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ให้ผลตอบแทนติดลบ 14.48% 4) กองทุนเปิดเคเค ไชน่า ฟันด์ (KK CH) ของบลจ.เกียรตินาคิน ให้ผลตอบแทนติดลบ 16.21% และ 5) กองทุนเปิดกรุงศรีไชน่าอิควิตี้ (KF-CHINA) ของบลจ.กรุงศรี ให้ผลตอบแทนติดลบ 16.24% @ กองบริคดีสุดติดลบ 15.20% สำหรับ กลุ่มกองทุนหุ้นบริค (BRIC) ที่ลงทุนใน 4 ประเทศ ได้แก่ บราซิล-รัสเซีย-อินเดีย-จีน นั้นในปี 2554 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 21.82% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุดนำมาโดย อันดับ1) กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย บริค 40 (ING BRIC) ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้ 3 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 15.20% 2) กองทุนเปิดกรุงศรีบริคสตาร์ (KF-BRIC) ของบลจ.กรุงศรี ได้ 3 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 24.69% และ 3) กองทุนเปิดแอสเซทพลัสบริค (ASP-BRIC) ของบลจ.แอสเซท พลัส ได้ 2 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 25.57 @ กองยุโรปติดลบ 5.78% ด้านกลุ่ม กองทุนหุ้นยุโรป ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 15.25% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุดในปี 2554 นำมาโดยอันดับ1) กองทุนเปิดอเบอร์ดีน ยูโรเปี้ยน โกรท ฟันด์ (ABEG) ของบลจ.อเบอ์ดีน ได้ 2 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 5.78% 2) กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ยูโร ไฮดิวิเดนด์ (ING EHD) ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้ 1 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 15.56% และ 3) กองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิเมอร์จิ้ง อีสเทอร์น ยุโรป เอฟไอเอฟ (MS-EE EURO) ของบลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) ได้ 2 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 24.40% @ หุ้นสหรัฐสูงสุด 3.91% สำหรับกลุ่ม กองทุนหุ้นสหรัฐ นั้นในปี 2554 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.16% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุด นำมาโดย กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์ (TISCOUS) ของบลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทน 3.91% และ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอสแอนด์พี 500 (ASP-S&P500) ของบลจ.แอสเซท พลัส ให้ผลตอบแทน 2.40% @ กองญี่ปุ่นติดลบ 12.92% ปัจจุบันมีเพียง 1 กองทุนที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสนิปปอนโกรท (ASP-NGF) ของบลจ.แอสเซท พลัส ได้ 2 ดาว ให้ผลตอบแทนติดลบ 12.92% @ ละตินอเมริกาติดลบ 17.80% ปัจจุบันมีเพียง 1 กอง ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีละตินอเมริกาอิควิตี้ (KF-LATAM) ของบลจ.กรุงศรี ให้ผลตอบแทนติดลบ 17.80% @ ตะวันออกกลางติดลบ 18.49% ปัจจุบันมีเพียง 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค มีน่า หุ้นทุน (K-MENA) ของบลจ.กสิกรไทย ให้ผลตอบแทนติดลบ 18.49% @ สินค้าเกษตรติดลบ 9.11% ในกลุ่ม กองทุนสินค้าเกษตร นั้นในปี 2554 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 11.24% โดยกองทุนที่มีผลงานดีสุดในกลุ่มนี้ นำมาโดยอันดับ1) กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเวสท์ โกลบอล อะกริบิซซิเนส ฟันด์ (I-AGRI) ของบลจ.เอ็มเอฟซี ให้ผลตอบแทนติดลบ 9.11% 2) กองทุนเปิดเค อะกริคัลเจอร์ (K-AGRI) ของบลจ.กสิกรไทย ให้ผลตอบแทนติดลบ 11.69% และ 3) กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์ (TISCOAEF) ของบลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนติดลบ 12.92% ทั้งหมดนี้เป็นภาพสรุปของผลการดำเนินงานของ กองทุน FIF ที่ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกในรอบปี 2554 ที่ผ่านมา หากมองโอกาสการลงทุนในต่างประเทศเป็นเรื่องของการกระจายความเสี่ยงก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจจะมาเติมเต็มไว้ในพอร์ตได้เช่นเดียวกัน
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2555 7:45:32 น. |
Counter : 1258 Pageviews. |
|
|
|