Adobe อิฐดินดิบ
1 การเลือกพื้นที่ที่จะทำบ้าน ควรจะเป็นที่ที่น้ำท่วมไม่ถึงถ้าเป็นพื้นราบก็ควรจะถมดินให้สูงกว่าระดับพื้นทั่วๆไป เพราะบ้านดิน ไม่กลัวลมไม่กลัวฝนไม่กลัวไฟกลัวอย่างเดียวคือน้ำท่วม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้บ้านอยู่ไกลจากน้ำท่วมให้ได้
2 การออกแบบบ้าน เจ้าของบ้านควรจะเป็นคนออกแบบบ้านเอง เพราะไม่มีไครรู้ดีเท่าเจ้าของบ้านว่าเขาต้องการบ้านรูปร่างย้งไง ต้องการห้องทำอะไรบ้าง หรือ ต้องการใช้พื้นที่ใหนทำอะไร บ้านไม่เกินสองชั้นไม่มีอะไรซับซ้อนไนการออกแบบ และไม่จำเป็นต้องคำนวณสัดส่วนต่างๆเพียงแค่ขีดเส้นไปตามพื้นดินแล้วทำฐานตามไปตามจินตนาการ ยกเว้นบ้านที่มากกว่าสองชั้นอาจจะหาผู้มีประสบการช่วยแม้ว่าบ้านดินจะสามารถสร้างสูงได้หลายชั้น แต่ยิ่งสูงยิ่งหนักในการขนอิฐขนดินขึ้นไปบ้านชั้นเดียวหรือสองชั้นง่ายที่สุดสำหรับคนที่เริ่มทำบ้านใหม่ๆ
บ้านดินจะออกแบบเป็นรูปทรงอะไรก็ได้ จะเป็นวงกลม หรือผนังตรงก็ได้หรือจะลากเส้นไปยังไงก็ได้ตามต้องการแต่ถ้าเป็นผนังตรงยาวเกิน 4 เมตรควรจะทำติ่งยื่นออกมาด้านนอกของกำแพงยาวอย่างน้อย 8 นิ้ว ทุกๆ 4 เมตรจะทำให้ กำแพงแข็งแรงมากขึ้นโดยเฉพาะขณะก่อใหม่ๆกำแพงยังไม่แห้งเวลาเคลื่อนไหวบนกำแพงแรงๆอาจทำให้กำแพงเอนเอียงได้ การทำติ่งหรือการสร้างมุมขึ้นบนกำแพงตรงๆจะช่วยได้มาก จริงๆแล้ว ติ่งก็คือเสาดินที่ติดเชื่อมกับกำแพงด้านนอกห้องนั่นเอง
บ้านดินไม่ควรมีเสาไม้เสาคอนกรีตหรือเสาอื่นๆอยู่ในกำแพงนอกจากเสาอิฐดินที่ก่อเชื่อมติดอยู่ในกำแพงบางส่วน เพราะบ้านดินเป็นการก่อสร้างโดยใช้เทคนิค ผนังรับน้ำหนัก ผนังทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน้ำหนักจากข้างบนจะกระจายลงบนผนังทั้งหมดระบบผนังรับน้ำหนักจึงรับน้ำหนักได้มากกว่าระบบเสารับน้ำหนักเช่นบ้านทั่วๆไปได้หลายสิบเท่าการมีเสาอยู่ในกำแพงดินจะทำให้บ้านดินไม่แข็งแรงเพราะเสาจะแยกไม่ให้ผนังดินเชื่อมติดกันเวลามีแรงสะเทือนแรงๆเช่นแผ่นดินใหวจะทำให้เกิดรอยร้าวตรงที่เป็นเสาได้เมื่อเกิดรอยร้าวขึ้นหมายความว่ากำแพงไม่ได้เชื่อมติดกันอีกต่อไป การกระจายน้ำหนักก็จะจบลงตรงรอยร้าวผนังส่วนนั้นก็จะตั้งอยู่โดยไม่มีอะไรค้ำยันถือว่าไม่แข็งแรงเลย
เวลาออกแบบควรจะคำนึงถึงทิศทาง แสง ลม ฝนว่ามันมาจากทิศทางใหนบ้างและเราต้องการใช้ประโยชน์จากมันยังไงบ้างเช่นใน ประเทศที่ฤดู หนาวยาวนานเขาจะทำบ้านให้แสงแดดเข้าไปในบ้านให้มากๆบ้านจะได้อุ่นนานๆส่วนบ้านในเขตร้อนเราจะทำบ้านให้มีแสงแดดเข้าบ้านน้อยๆบ้านจะได้เย็นสบายส่วนมากเราจะให้แดดเข้าบ้านเฉพาะตอนเช้าๆเพราะไม่ร้อนแต่เราก็ต้องการแสงเพื่อให้บ้านน่าอยู่ บ้านที่ทึบมืดเพราะช่องแสงและหน้าต่างน้อยเกินไปจะทำให้รู้สึกอึดอัด และยุงเยอะ บ้านในเขตร้อนเราต้องการให้ลมผ่านถ้าเราออกแบบให้บ้านมีทิศทางที่ต้อนรับลมได้ดีก็จะช่วยให้บ้านน่าอยู่ขึ้น บ้านดินหรือบ้านอื่นๆเราก็ไม่อยากให้ ฝนเข้าบ้านอยู่ดี ดังนั้นเราควรจะรู้ทิศทางของฝนเพื่อจะได้ทำชายคายาวขึ้นหรือหาต้นไม้มาปลูกบัง ฝน
ถ้าต้องการให้บ้านดินควบคุมอุณหภูมิได้ใก้ลเคียงกับห้องแอร์ควรจะมีเพดานที่มิดชิดมีประตูหน้าต่างที่ปิดเปิดได้ดีและมีช่องลมบนผน้งใต้เพดานที่เปิดปิดได้เพราะผนังบ้านดินมีความหนาอย่างน้อย 8 นิ้ว ความร้อนจากแสงแดดใช้เวลาประมาณ 10 - 11 ชั่วโมงกว่าจะทะลุเข้าไปในบ้านได้ถ้าผนังถูกแสงแดดโดยตรงดังนั้นถ้าเราปิดประตูหน้าต่างตอนกลางวันอากาศภายในห้องจะอยู่ระหว่าง 25 -26 c จนถึงเวลาบ่าย 5 6 โมง เย็น ความร้อนจะทะลุเข้าไปในบ้านได้ ภายในห้องจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ถ้าเป็นฤดูหนาวห้องจะอุ่นพอดีมา แม้ข้างนอกจะหนาวจนต้องใส่เสื้อกันหนาวหลายผืนแต่ในบ้านใส่เสื้อยืดตัวเดียวอยู่ได้สบาย เนื่องจาก ผนังที่หนาจะเก็บความร้อนได้นานหลายชั่วโมงถ้าเป็นหน้าร้อนตอนเย็นจะร้อนมากต้องเปิดประตูหน้าต่างและช่องลมใต้เพดาน เพื่อให้อากาศร้อนไหลออกไปแล้วอากาศเย็นจากข้างนอกจะเข้ามาแทนที่ โดยวิธีนี้จะทำให้อุณหภูมิภายในห้อง ใกล้เคียงกับห้องแอร์มาก โดยไม่ต้องมีแอร์
การคำนวณว่าจะใช้อิฐกี่ก้อนวิธี ง่ายๆคือหาพื้นที่ผนังมั้งหมด โดยเอาความกว้างคูณความยาวคูณความสูงของผนังบ้านทั้งหมดตัดประตูหน้าต่างออกจะเหลือพื้นที่กี่ตารางเมตตรถ้าทำอิฐขนาด 4x8x16 นิ้ว จะใช้อิฐประมาณ 25 ก้อน ต่อ หนึ่งตารางเมตร คูณกันออกมาก็จะได้จำนวณอิฐที่เราต้องการแต่เวลาทำอิฐควรทำเผื่อไว้ บ้างเล็กน้อยก็ได้
Copyright Pun Pun Thailand Group 2008
Create Date : 01 สิงหาคม 2552 |
|
27 comments |
Last Update : 1 สิงหาคม 2552 19:37:05 น. |
Counter : 12023 Pageviews. |
|
|
|
3 ทำ ฐาน หรือ เทคาน การทำบ้านดินชั้นเดียว อาจจะไม่จำเป็นต้องทำฐานก็ได้ถ้าไม่ห่วงเรื่องปลวกวัตถุประสงค์หลักของฐานหรือคานบ้านดินคือ ป้องกันปลวกฉนั้นฐานควรจะอยู่เหนือดินไม่จำเป็นต้องขุดลึกลงไปในดินวัตถุประสงค์รองลงมาคือป้องกันความชื้นที่จะขึ้นมาหาอิฐดินหรือน้ำท่วมยกเว้นที่ถมใหม่ที่ยังไม่ผ่านฝนเลยหรือพื้นที่ที่เป็นดินเหนียวมากๆเช่นบริเวณลุ่มน้ำต่างๆ เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยาจำเป็น ต้องมีฐานใหญ่และลึกลงไปในดินด้วย เพราะที่ถมใหม่ดินจะยังไม่แน่นโอกาศทรุดจะมีมากและพื้นดินเหนียวดินจะขยายตัวและอ่อนนิ่มมากเมื่อเปียกน้ำและจะหดตัวอย่างมากเมื่อแห้งดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีฐานเหมือนบ้านทั่วๆไปการทำฐานบนพื้นที่ที่มีหินหรือทรายปนมากๆควรทำฐานเหนือดินโดยใช้ก้อนอิฐดินที่แห้งแล้วตั้งด้านข้างเรียงกันเป็นแบบพิมพ์ แทนไม้แบบโดยให้ฐานกว้างอย่างน้อยเท่ากับความกว้างของอิฐที่จะก่อหรืออย่างน้อย 8 นิ้ว และความสูงอย่างน้อย 5 นิ้วขึ้นไปแล้วเทคอนกรีตเสริมเหล็กหรือเสริมไม้ไผ่ก็ได้ควรจะแกะอิฐดินที่ใช้เป็นแบบพิมพ์ออกก่อนที่คอนกรีตจะแห้งจะแกะง่ายและไม่เสียอิฐนำมาก่อใช้ได้อิกเหมือนเดิมหรือจะใช้เศษคอนกรีตที่คนทุบตึกทิ้งหรือก้อนหินมาก่อด้วยปูนทำเป็นฐานก็ได้
4 ทำแบบพิมพิ์อิฐ ขนาดของอิฐที่เราใช้ส่วนมากคือ 4x8x16 นิ้ว ขนาด ของอิฐไม่สำคัญแต่ขนาดของกำแพงสำคัญกว่ากำแพงบ้านดินควรจะหนาอย่างน้อย 8 นิ้วขึ้นไปเพื่อความแข็งแรงเพราะเป็นระบบผนังรับน้ำหนักและเพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในบ้านด้วยฉนั้นขนาดของอิฐทำเท่าไรก็ได้ตามต้องการผมเคยทำ ขนาด 5x10x16 นิ้วปรากฏว่าไม่มีคนอยากจะช่วยยกอิฐเลย โดยเฉพาะเวลาก่อขึ้นสูงๆไม่มีใครอยากส่งอิฐให้เพราะมันหนักแต่ก่อได้เร็วมากถ้าทำก้อนเล็กก็จะรู้สึกว่ามันไปช้ามากแต่ขนาด 4x8x16 นิ้วค่อนข้างจะดี นไม่ค่อยรังเกียจที่จะช่วยยกช่วยส่งแบบพิมพ์จะทำด้วยเหล็กหรือไม้ก้ได้แต่ไม้จะง่ายและถูกกว่าจะทำเป็นช่องเดียวหรือหลายช่องก็ได้แล้วแต่ว่าจะมีคนช่วยยกกี่คน
5 เตรียมพื้นที่ทำอิฐ ควรจะหาที่ที่ใกล้กับฐานให้มากที่สุดเพราะจะไม่ต้องขนไกลงานหนักที่สุดในการทำบ้านดินคือการขนดินฉะนั้นถ้าทำใก้ลๆฐานทำอิฐเสร็จก็ขนเข้าไปกองไว้กลางฐานเลยเวลาก่อก็ยกมาก่อได้เลยพื้นที่จะทำอิฐควรปรับให้เรียบที่สุดจะได้อิฐที่สวยที่สุดแต่พื้นที่จะทำอิฐไม่ควรเป็นคอนกรีตหรือพลาสติกหรือพื้นที่มีผิวเรียบมากๆเพราะจะแห้งช้ามากและแกะออกไม่ได้เพราะมันจะดูดติดแน่นมากเพราะน้ำชึมผ่านไม่ได้ทำให้แห้งช้าและอากาศผ่านไม่ได้พอน้ำจากอิฐระเหยออกทางด้านบนด้านเดียวเลยเกิดช่องศูนยากาศ ขึ้นระหว่างด้านล่างของก้อนอิฐกับพื้นที่เรียบเลยทำให้แกะออกยากมาก
6 การเลือกดินที่จะใช้ทำอิฐ หรือทำบ้าน เราต้องการดินที่มีดินเหนียวปนอย่างน้อย 15% ขึ้นไปและไม่ใช่ดินเหนียวล้วนวิธีทดสอบง่ายๆคือเอาดินมากำมือหนึ่งผสมน้ำนวดให้เหนียวปั้นเป็นเส้นขนาดนิ้วมือและยาวเท่ากับนิ้วมือ จับปลายข้างหนึ่งยกขึ้นถ้าเสันดินไม่ขาดก็ถือว่าใช้ได้อีกวิธีหนึ่งคือเอามือที่เปื้อนดินจุ่มลงไปในน้ำแล้วยกขึ้นโดยไม่ต้องแกว่ง ถ้ามือสะอาด เลย แสดงว่าทรายเยอะเกินไป ใช้ไม่ได้ ถ้ามีดินติดมืออยู่บ้าง ถือว่าใช้ได้แต่ถ้าต้องล้างมือนานๆจึงจะสะอาดถือว่าดินเหนียวเยอะเกินไปใช้ไม่ได้ถ้าจำเป็นต้องใช้ต้องเพิ่มทรายและเส้นใยมากขึ้น