|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
กุญแจลับที่ 1 เป้าหมายที่ทำได้สำเร็จ คือเป้าหมายที่ฉลาด
ที่มา: จากหนังสือ Set the Dream & Happiness in Your Teens โดย Lee, Min Kyu "หนุ่มสาวทั้งหลายต้องมีความทะเยอทะยาน"
คำพูดนี้เป็นคำพูดของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐแมสซาซูเซตส์ที่พูดกับนักศึกษาชาวญี่ปุ่น เขาเคยถูกส่งไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อช่วยเหลือด้านการกำหนดนโยบายที่ทันสมัย แต่ผมไม่เคยเห็นใครประสบความสำเร็จได้โดยอาศัยเพียงความทะเยอทะยานเพียงอย่างเดียว เหมือนกับว่า ยิ่งมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ โอกาสแห่งความสำเร็จยิ่งมีมาก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วความทะเยอทะยานที่เป็นไปไม่ได้ในเชิงปฏิบัติและธรรมดาเกินไป มักจะทำให้พ่ายแพ้มากกว่าทำให้สำเร็จ
สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ความทะเยอทะยานที่สุดขั้ว แต่เราต้องการเพียง เป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจและรู้จักเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง
นักจิตวิทยาบอกกับเราว่าการกำหนดเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้สามารถใช้กฎ SMART เข้าช่วย นั่นคือ เป้าหมายที่มีประสิทธิภาพควรจับต้องได้ (Specific) วัดได้ (Measurable) ยึดการกระทำเป็นหัวใจสำคัญ (Action Oriented) สมจริง (Realistic) มีกำหนดวันแล้วเสร็จ (Timely) ปัจจัยทั้ง 5 ข้อนี้เรียกว่า SMART
ก่อนจะกำหนดเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ ควรพิจารณาหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้
S-เปลี่ยนเป้าหมายธรรมดาทั่วไปให้เป็นเป้าหมายที่จับต้องได้มากขึ้น
ตัวอย่างของเป้าหมายธรรมดาทั่วไป อย่างเช่น "บุคลิกดี" "สุขภาพดี" เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก การกำหนดเป้าหมายนั้นยิ่งเป็นรูปธรรมมากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น ยกตัวอย่างการกำหนดขอบเขตของเป้าหมาย เช่น "การออกกำลังกาย" "การเลือกรับประทานอาหาร" เป็นต้น จากนั้นค่อยแบ่งรายละเอียดที่จับต้องได้ เช่น "เวลา สถานที่ กลุ่มเป้าหมาย วิธีทำ จำนวน" โดยระบุได้อย่างชัดเจน
M-เปลี่ยนเป้าหมายที่วัดไม่ได้ให้เป็นเป้าหมายที่วัดได้
หากตั้งใจว่าจะลดความอ้วนตอนปิดเทอม ถ้ากำหนดเป้าหมายไว้เพียงว่า "ผอม" อัตราความสำเร็จจะน้อยมาก เพราะเปรียบเทียบและตัดสินได้ยากว่าผอมลงหรือเปล่า หากตั้งใจทำให้สำเร็จตามเป้าหมายจริงๆ จะต้องกำหนดออกมาเป็นตัวเลข ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนเป้าหมายจาก "ผอม" เป็น "ลดลง 5 กก." อัตราความสำเร็จก็จะสูงกว่าเดิมมาก
A-เปลี่ยนเป้าหมายเชิงความคิดให้เป็นเป้าหมายเชิงการกระทำ
ถ้าเป้าหมายของเธอคือ "ลดน้ำหนัก" เป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ เพราะในเป้าหมายนี้ไม่ได้บอกว่าการเป็นลดน้ำหนักต้องทำอย่างไร ฉะนั้นควรเปลี่ยนเป้าหมายให้ยึดการกระทำเป็นหัวใจสำคัญ เช่น "ทุกวันจะต้องออกกำลังกายวันละ 20 นาที หรือ วันละ 3 กม.เป็นอย่างน้อย เป็นต้น แบบนี้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีมากกว่า
R-เปลี่ยนเป้าหมายที่เกินจริงให้เป็นเป้าหมายที่สมจริง
คนที่มีน้ำหนักตัว 96 กก. แม้จะเชื่ออย่างมุ่งมั่นว่า "ขอเพียงลงมือทำจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน" แต่เขาจะสามารถลดน้ำหนักลงได้ 45 กก.ในเวลา 1 เดือนได้จริงหรือ เพราะเป็นเป้าหมายที่ดูเกินจริงเกินไปมาก ถ้าคิดจะลดน้ำหนักควรเริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ ที่เป็นได้ก่อน เช่น "ให้น้ำหนักคงที่ในอาทิตย์แรก" "ลด 500 กรัมในอาทิตย์ที่สอง" ถ้าคิดจะเรียนวิชาเคมีให้ได้ดีน่าจะซื้อหนังสือคู่มือที่ไม่ยากนักมาเริ่มต้นศึกษา หากต้องการปลูกฝังนิสัยเอาชนะอุปสรรค เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ ควรเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก่อน และทำให้สำเร็จ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความยากของเป้าหมาย น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า
T-เปลี่ยนเป้าหมายที่ไม่มีกำหนดเวลาแล้วเสร็จให้มีกำหนดที่ชัดเจนขึ้น
สาเหตุหนึ่งที่ไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ คือ การไม่กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนในการทำเป้าหมายให้ลุล่วง ซึ่งขั้นแรกจำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนในการทำให้แล้วเสร็จ โดยไม่ใช่การพูดลอยๆ ว่า "ในอนาคตอันใกล้นี้จะลดน้ำหนัก 30 กก." แต่ควรจะเปลี่ยนเป็น "ลด 5 กก.ภายใน 3 เดือน" ขั้นที่สองสำรวจว่าระยะเวลาที่กำหนดนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ หากกระชั้นหรือเนิ่นนานเกินไปอาจทำให้ไม่สำเร็จตามเป้าหมาย เพราะเมื่อคนเรากำหนดความคืนหน้าของงานโดยพิจารณาจากการกำหนดวันที่งานเสร็จสิ้น เวลาจะยิ่งยืดเยื้อไปนาน จึงยิ่งรู้สึกเหนื่อยมากขึ้น และทำให้ยิ่งห่างจากเป้าหมายมากขึ้นไปด้วย
ไม่ลองไม่รู้
เขียนเป้าหมายที่ต้องการทำสำเร็จ และควรเป็นเป้าหมายที่สามารถยืนยันผลได้ ต้องจำไว้ว่าเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพควรจับต้องได้ วัดได้ กระทำได้ สมจริง และมีกำหนดวันแล้วเสร็จ ดังตัวอย่าง
เป้าหมาย : ออกกำลังกาย เวลา : 6 โมงเช้า สถานที่ : สนามกีฬา วิธี : วิ่งเหยาะๆ จำนวน : 5 รอบสนาม
Create Date : 11 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 16:03:25 น. |
|
0 comments
|
Counter : 250 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|