ความเห็นแตกต่างกันเป็นธรรมชาติของสังคม ถึงอย่างไรก็ไม่ทางขจัดความเห็นที่แตกต่างกันได้ จึงมีแต่ต้องยอมรับ
Group Blog
 
 
มีนาคม 2549
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
จำลอง ศรีเมือง Buddhist Fundamentalist


ลัทธิ Fundamentalism หรือพวกนิยมจารีตดั้งเดิมทางศาสนา โดยพยายามหันกลับไปหาหลักธรรมในศาสนาดั้งเดิม เช่น อิสลาม Fundamentalism ก็ฝันถึง สังคมยุคพระมะหะหมัด ที่ถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอิสลาม พวกนี้จะตีความศาสนาตามคัมภีร์เดิม โดยไม่อภิวัฒน์เขากับโลกสม้ยใหม่ ถือว่าสมัยใหม่เป็นยุคแห่งความเสื่อมโสม ปฎิเสธสังคมยุคใหม่

พวก มุสลิม Fundamentalism ก่อความวุ่นวายไปทั่วโลก ทั้งวางระเบิด ทั้งก่อการร้าย บินลาเดน คือ หัวหอกที่สำคัญของ มุสลิม Fundamentalism

พวก Fundamentalism นิยมความรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าคนที่ไม่ยึดมั่นในจารีตหลักธรรมเดิมเป็น คนบาป เป็นคนเลว

Fundamentalism มีอยู่ในทุกศาสนา พวกคริสเตียน เช่น พวก คลูลักแคนส์ เป็นต้น

ศาสนาพุทธก็มี พวก Fundamentalism ในศรีลังกา เป็นต้น

เมืองไทย กำลังเกิด " Buddhist Fundamentalist" ตัวฉกาจขึ้นมาแล้วครับ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ผู้ที่นิยมความรุนแรงมาตลอดชีวิต ใครที่ไม่มีวัตรปฎิบัติ อย่างตน พวกนี้มักคิดว่าเป็นคนบาป เป็นคนเลว เป็นคนที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก การปฎิบัติตัวของสันติอโศก ที่สวนกระแสโลก คือตัวอย่างการยึดมั่นในจารีตดั้งเดิมส่วนหนึ่ง

Buddhist Fundamentalist จะไม่อันตราย หากเขาไม่เข้ามายุ่งทางการเมือง หรือรณรงค์ทางการเมือง เพื่อบังคับให้คนอื่นต้องเชื่ออย่างตน จำกัดความเชื่ออยู่ในหมู่พวกเขา

พล.ต.จำลอง มือเปื้อนเลือดมาตลอดชีวิต ตั้งแต่เป็นทหาร พฤษภาทมิฬ เป็นคนนิยมการต่อสู้ด้วยความรุนแรง

ผมเชื่อว่าหาก พล.ต.จำลอง เกิดมาในสังคมมุสลิม เขาต้องไปเข้าร่วมกับบินลาเดน อย่างแน่นอน หรือ ไม่ก็ บินลาเดนนั่นแหละคือ ศิษย์เอกของเขา ดีที่เขาเกิดในสังคมพุทธ ที่อย่างไร ก็ไม่สนับสนุนความรุนแรง


ด้วยมือที่เปื้อนเลือด ก็พยายามชดเชย บาปของตน โดยการ กินมังสะวิรัติ ปฎิบัติธรรม แต่ก็ละได้เฉพาะกิเลส ขั้นพื้นฐานเท่านั้น เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (แต่ยุให้คนอื่นฆ่ากันก็บาปอยู่ดี) กินน้อย ใช้น้อย ซึ่งก็เป็น แค่ระเบียบแบบแผนในการดำรงชีวิตธรรมดาเท่านั้น หากได้พิสูจน์ว่า "บรรลุหลักธรรมใดในพุทธศาสนาจนถึงขั้นโสดาบันไม่" หากจะมองอีกมุมหนึ่ง เขาใช้ศาสนา เป็นเครื่องมือไต่เต้าทางการเมือง เพื่อ ชื่อเสียง เกียรติยศ และอำนาจ ไม่มีแหล่งใดที่เขาจะหา ผู้สนับสนุน ได้ดีเท่ากับ ศาสนิกชนที่เคร่งครัดแบบสันติอโศก ที่เขาเข้าไปเป็นพวก และกลายเป็นผู้นำทางการเมืองของคนเหล่านั้น

คนที่ไม่เคย ฆ่าคน ปฎิบัติศีลห้า เป็นนิจ ประกอบสัมมาอาชีพวะ ก็มีหลักธรรมทัดเทียมกับจำลองแล้ว แต่อำนาจชื่อเสียง อาจสู้ไม่ได้ แต่ศาสนาพุทธ สอนให้ ลด ละ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือ

***St. จำลอง นักบุญแห่งสันติอโศก***

พล.ต.จำลองเป็นนักรบ มาชั่วชีวิต ตอนนี้เขาไปสังกัดอยู่ในกลุ่มลัทธิทางศาสนากลุ่มหนึ่ง

เราต้องยอมรับว่า "ลัทธิศาสนา" นั้นมีความเหมือนกัน และเป็นสากลอยู่อย่างหนึ่งคือ "มีความต้องการขยายตัวและเพิ่มจำนวนสมาชิก" เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้แต่ละลัทธิหรือศาสนาอยู่รอดได้ นี่เป็นธรรมชาติสากลของลัทธิ หรือศาสนา การได้สมาชิกเพิ่ม หรือได้อิทธิพลเพิ่ม(เพื่อนำไปสู่การขยายสมาชิก) คือ การทำบุญอันยิ่งใหญ่ในทุกศาสนาหรือทุกลัทธิ

พล.ต.จำลองตอนนี้คือ "ขุนศึก" หรือ Saint ที่สำคัญยิ่งของ "สำนักสันติอโศก" เขาต้องต่อสู้ทุกอย่างแม้สละชีวิต เพื่อลัทธิหรือนิกายของเขา นี่คือ Nature สำคัญของ saint หากเป็นมุสลิม พล.ต.จำลองคือ "นักรบที่ศักดิสิทธิ์ของพระเจ้า" หรือ Martyre

ดังนั้น สิ่งที่ พล.ต.จำลองทำก็เพื่อ ลัทธิความเชื่อของเขา แม้จะต้องใช้ชีวิตของคนอื่นสังเวยก็ตาม เราจึงไม่อาจเอาจิตใจเราไปวัดเขาได้ว่าเขาจะเชื่อ แบบที่เราเชื่อ

ถามว่า พล.ต.จำลอง จงรักภักดี และเชื่อฟังในหลวงหรือไม่ ผมว่าคงเชื่อฟัง แต่ถามว่า ระหว่างในหลวงกับ สันติอโศก พล.ต.จำลองจงรักภักดีใครมากกว่ากัน ตรงนี้ผม "สงสัยอย่างยิ่ง"

ผมไม่เคยเชื่อว่า saint ของคริสต์ จะเชื่อฟังจงรักภักดีต่อ King มากกว่าพระเจ้าของเขา King เป็นอะไรที่ถัดไปจากพระเจ้าของเขา หากจุดมุ่งหมายของ King ไม่ขัดกับพระเจ้าของเขา เขาก็ยังเชื่อมั่นใน King แต่หากขัด ผมว่า เขาเลือก พระเจ้าไม่ได้เลือก King

สำหรับ พล.ต.จำลอง ผมไม่กล้าวิจารณ์ แต่การกระทำ ทั้งหลายย่อมบ่งชี้ไปถึงเจตนา ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา การกระทำหรือ ปฎิกริยา ของสสาร ย่อมบ่งชี้ ถึงเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์

การเคลื่อนย้ายคนหลายหมื่นเพียงแค่เดินเล่น ไม่ให้เบื่อ คงเอาไปหลอกทารกได้ แต่ประเทศนี้คงไม่ได้โง่กันทุกคน

การได้อำนาจทางการเมือง การมีอิทธิพลทางการเมืองเท่านั้นที่จะทำให้สันติอโศก แหวกวงล้อม ของ"มหาเถรสมาคมได้" และเป็นการง่ายมากที่จะแพร่อิทธิพลเข้าไปในองค์กรที่คนกลุ่มนี้ ครอบงำและมีอำนาจทางการเมืองอยู่ และทำให้การ Recruit สมาชิก เพิ่มจำนวน Member เป็นไปได้สะดวกขึ้น

การเพิ่ม member คือธรรมชาติของทุกลัทธิทางศาสนา

********************************
วิจารณ์ โดย : ศุภวัฒน์

บ่อแม่นครับ บ่อใจ่ Fundamentalism ครับ
น่าจะเป็น Postmodernist มากกว่าคับ

ดูปฏิกิริยาต่อทุนนิยม และ อารยธรรมตะวันตก
ดูปฏิกิริยาต่อสังคมส่วนใหญ่

การก่อเกิดสันติอโศกเกิดจากความเสื่อมโทรม ของยุค modern นะครับ
และ ลักษณะของขบวนการนี้ มีการ Deconstruction ระบบโครงสร้างเดิม
สร้างโครงสร้างใหม่

มีการสร้างความหมาย(discourse) เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าใช้เช่น
สมัยพระพุทธเจ้า พราหมณ์ อธิบายพรหมอีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้า อธิบายอีกอย่างหนึ่ง จะเห็นได้จากการสร้างความหมายใหม่ของ
ปลุกเสก พุทธาภิเษก สำนึกดี แทนสวัสดี เจริญธรรม แทน สวัสดี
การอธิบายเศรษฐกิจพอเพียง ในรูปแบบการปฏิบัติ เป็นต้น

และการสร้างความรู้(constructivism)อีกระบบหนึ่ง ได้แก่ ระบบการตีความพุทธศาสนา โดยใช้หลักการอีกหลักการหนึ่งที่มีความแตกต่าง

การปฏิเสธระบบเดิม เป็นการสร้าง Subject ที่มีอำนาจกำหนดวิถีชีวิตตนเอง
ระบบเดิม ทำให้ อโศก เป็นแค่ Object

ความรุนแรงโดยการใช้กำลังของสันติอโศกไม่มีแน่นอน
มีแต่ความรุนแรง ที่ใช้ความรู้ชุดหนึ่ง ไว้ตีหัว คนอื่น ดูได้จากหนังสือต่าง ๆ

ความเห็นของผมคิดว่า มันยิ่งกว่ายุคทันสมัยอีก มันไม่กลับไป
แบบ Fundamentalism ผมอยากเรียกว่า พุทธแบบ postmodern มากกว่า

อีกประการหนึ่งที่ไม่จัดประเภทเป็น Fundamentalism เพราะปฏิบัติการประจำวันของสำนักไม่ได้แตกต่างจากวัดป่าทั่วไปเลย
การยุ่งเกี่ยวกับการเมืองก็เป็นแค่ Discourse ซึ่งมีคำอธิบายที่แตกต่าง
จากพุทธประเพณีซึ่งก็เล่นการเมืองหลังฉากเหมือนกัน มันก็ คือ คือ กัน

อ่านหนังสือเพิ่มเติม

Deconstruction ของ derrida
Power Knowledge ของ Foucault

****************************************
ตอบคำวิจารณ์ : ประชาชน(ไทย)

คุณ ศุภวัฒน์ คุณอาจนิยามว่า Postmdern หรืออะไรก็ได้ครับ เพราะมันการนิยาม "วิถีชีวิต กระบวนการคิด" ของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเองครับ จะตั้งชื่อว่า xxx อะไรก็คงเป็นเรื่องของภาษาแหละครับ ทำให้มันสวยงามงงงวย อย่างไรก็คือ วาทกรรมทางด้านภาษา แต่ สันติอโศกก็คือ การย้อนวิถีชีวิต กลับไปสู่รากฐานเดิมนั้นเอง ซึ่งผมนิยามว่า Fundamentalism แต่อาจแตกต่างตรงที่ สันติอโศกเลือกตีความ ตามความเชื่อของตน เนื่องจากพุทธ ไม่มีคัมภีร์ เล่มเดียวแบบมุสลิมนั้นเอง

แต่การที่จะย้อนกลับไปใช้วิถีชีวิตอย่างไร โลกทัศน์อย่างไร ก็ถือเป็นเสรีภาพครับ ตรงนี้ไม่ว่ากัน

ความรุนแรงจากมือ "สันติอโศก" ไม่มีแน่ แต่เป็นเชื้อให้เกิดความรุนแรง อันนี้ผมสงสัย ตอนพฤษภาทมิฬ การเคลื่อนพลของจำลอง ศรีเมือง นั้นคือ กลยุทธ์ "ล่อให้ยิง" เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือกระทำ ใช้การทรมานตนของตน เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาเป็นพวก แน่นอน หากเจอฝ่ายตรงข้ามที่นิยมความรุนแรง แบบ "สุจินดา" ก็เข้าทางสันติอโศกทันที

ขึ้นชื่อว่า "สงคราม" มันคือการต่อสู้ เพื่อให้ได้รับชัยชนะ เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าทำสงคราม เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ก็คือ "คู่สงคราม" นั้นเอง ฝ่ายหนึ่งอาจใช้อาวุธ เพื่อเข่นฆ่า อีกฝ่ายหนึ่ง "อาจใช้ร่างกายและชีวิตของไพร่พลของตนให้อีกฝ่ายฆ่า" เพื่อจู่โจมจิตใจ ของฝ่ายตรงข้าม หรือพลเมือง มันก็เป็นแค่ Process ของสงครามเท่านั้น

อยู่ๆ สันติอโศก ก็ลุกขึ้นมาประกาศสงคราม กับ Elected Government นำทัพเคลื่อนพลเข้าสู่สงคราม ประกาศก้องไม่ชนะไม่เลิก ชิงเป็น "ฝ่ายประกาศสงครามก่อน"

แต่ต่างจากสงครามทั่วไปคือ แทนที่จะโจมตีทหารศัตรูให้ตายไป ก็เอาชีวิตทหารของตนเข้าไปหลอกล่อ เพื่อให้ศัตรู สังหารชีวิต ตามยุทธศาสตร์ "ทรมานตน เพื่อจู่โจมจิตใจศัตรู" และมวลชน

หากสำหรับคนทั่วไปนี่คือ สุดยอดกลยุทธ์ แต่มันก็คือกลยุทธ์ "ชั่วร้าย เลือดเย็นอำมหิต" อย่างสุดยอด สังเวยชีวิตทหารตน และคนโง่เขลา เพื่อชัยชนะ

วิญญาณของวีรชน ย่อมอิ่มเอิบจากชัยชนะ เป็นบันไดให้ "ลัทธิสันติอโศก" ก้าวเข้าสู่ชัยชนะ กองกระดูกเหล่านั้น ก็แค่ปูทางให้สันติอโศกได้อำนาจทางการเมืองนั่นเอง


ผู้ที่ประกาศสงครามก่อน ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตามในการรบ ย่อมเป็นผู้ "ตัดสินใจใช้กำลังเป็นเป้าหมายในการแก้ไขความขัดแย้ง"

แต่สงครามครั้งนี้ หาใช้ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสันติอโศกไม่ อยู่ๆ สันติอโศก ก็ลุกขึ้นมาประกาศสงคราม ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้ถูกโจมตี


มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ "นอกจากสงครามขยายดินแดน" นั่นเอง โดยฉวยโอกาสที่สังคมกำลังขัดแย้ง ประกาศสงคราม เพียงแต่ลักษณะ รูปแบบมันละเอียดอ่อนจนยากที่จะจับได้นั่นเอง

หากได้ชัยชนะ "สันติอโศก" ก็ได้ อาณาเขตความชอบธรรมการยอมรับมากขึ้นในปริมณฑลแห่งการ "ขยายดินแดนทางลัทธิ เพื่อเพิ่มมวลสมาชิก"


ผู้ก่อสงคราม ก็คือปีศาจกระหายเลือดนั่นเอง
----------



Create Date : 08 มีนาคม 2549
Last Update : 18 มีนาคม 2549 17:27:10 น. 7 comments
Counter : 1111 Pageviews.

 
จำรองเป็พวกห่มน้ำตาล เป็นพวกลัทธิใหม่ "ลัทธิขอทาน" ขอบริจากที่ดินให้วัด ขอตำแหน่ง ขอมันทั้งชีวิตและเป็นอาชญากร "พฤษภาทมิฬ"


โดย: ห่มเหลือง IP: 203.146.253.106 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:8:19:27 น.  

 
พวกที่คัดค้าน "พระราชกฤษฎีกา" เลวมาก เหมือนเป็นพวกกบฏไม่เห็นแก่เบื้องสูง


โดย: มนุษย์ IP: 203.146.253.106 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:8:25:32 น.  

 
จำลองทำถูกในกรณีของพฤษภาทมิฬ

แต่ในขณะนี้ ผมคิดว่าท่านทำไม่ถูก


โดย: t IP: 202.44.7.49 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:8:26:05 น.  

 
อ่านสนุกดี


โดย: IP: 125.24.72.170 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:11:06:32 น.  

 
จำรองเป็นพวกที่ชอบใช้ กฏหม่


โดย: กฏหมาย IP: 203.146.253.106 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:11:44:31 น.  

 
พาคนไปตาย แล้วยังมีหน้ามาอีก เบื่อพวกนี้จัง แก่แล้วยัง ไม่ยอมเลิก


โดย: ,,, IP: 203.156.6.157 วันที่: 9 มีนาคม 2549 เวลา:23:52:23 น.  

 

การออก พรบ.ปรองดอง ครั้งนี้ ก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติและประชาชนในประเทศไทย คือ
1) ทำให้กฎหมายและคำพิพากษาในประเทศไทยล้มละลาย เกิดความไม่เชื่อถือในชนทุกชนชั้นและนานาชาติทั่วโลก ต่อไปจะเกิดสิทธิสภาพนอกอาณาเขตดังเช่นที่เคยเกิด
มาในอดีต คือหากมีการฟ้องร้องทางกฎหมายกับชาวต่างชาติ ชาวต่างชาติจะไม่ยอมรับกฎหมายไทยและศาลไทยเพราะหากชาวต่างชาติชนะคดี ก็สามารถออกกฎมายยกเลิกคดีให้เป็นฝ่ายแพ้คดีได้ ต่อไปหากคนไทยมีคดีความกับคนต่างชาติก็ต้องไปขึ้นศาลต่างประเทศเพราะนานาชาติทั่วโลกไม่เชื่อถือกฎหมายและศาลไทย เพราะผู้มีอำนาจทางการเมืองในประเทศไทยสามารถออกกฎหมายใด ๆ ก็ได้ที่เห็นว่ามีผลประโยชน์ต่อพวกเขาได้
2) ต่อไปในอนาคตหากนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน ของผู้มีอำนาจที่ปกครองบ้านเมืองด้วยเสียงข้างมากในรัฐสภาได้กระทำความผิดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การคอร์รัปชั่น, การโกงการเลือกตั้ง, การทำลายล้างนักการเมืองหรือประชาชนฝ่ายตรงช้าม แม้กระทั่งการหมิ่นสถาบันฯหรือการล้มล้างสถาบันฯที่ประชาชนชาวไทยเคารพนับถือ ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้นก็จะออกกฎหมายลบล้างความผิดจาการการกระทำความผิดต่าง ๆ ของพวกเขาได้โดยสะดวกเพราะอาศัยบรรทัดฐานของ พรบ.ปรองดอง ฉบับนี้
3) เกิดเป็นเผด็จการรัฐสภาอย่างแท้จริง คือเป็นการรวบอำนาจ ฝ่ายนิติบัญญัติ,ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ให้อยู่ใต้อำนาจของคณะบุคคลที่ได้เสียงข้างมากในรัฐสภาซึ่งขัดกับหลักการปกครองประชาธิปไตย ที่อำนาจทั้ง 3 ฝ่าย คืออำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ,อำนาจฝ่ายบริหาร และอำนาจฝ่ายตุลาการ ต่างต้องถ่วงดุลอำนาจกันและกันคือแต่ละฝ่ายไม่ก้าวก่ายอำนาจซึ่งกันและกัน
4) ความยุติธรรมในประเทศไทยจะไม่มีอีกเลย เพราะกฎหมายเกิดขึ้นจากความพอใจและผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจที่ปกครองบ้านเมือง คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาต่าง ๆ ในประเทศไทย ควรต้องยุบเลิก เพราะไม่จำเป็นต้องสอนกฎหมาย ให้นักศึกษานำไปใช้ เนื่องจากต่อไปกฎหมายไทยเกิดขึ้นจากผลประโยชน์และความพอใจของผู้ปกครอง ผู้ที่จบปริญญานิติศาสตร์ก็ต้องนำปริญญานี้ไปเผาทิ้ง เพราะไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติได้
5) เมื่อความยุติธรรมในประเทศไทยไม่มี ทุก ๆ คนในประเทศไทยก็ต้องตัดสินใจสู้กันด้วยศาลเตี้ย ต่างคนต่างต้องปกป้องตัวเองให้พ้นจากภัยคุกคามต่างๆ ที่จะเกิดชึ้นแก่ครอบครัว, ญาติพี่น้อง และมิตรสหายของตน ทุก ๆ คนในสังคมนี้ต้องหาอาวุธยุทธภัณฑ์มาใช้ป้องกันตนเอง เมื่อนั้นอาวุธปืนจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ดังเช่นสังคมยุคคาวบอยในภาพยนต์ตะวันตกที่ตัดสินกันเองด้วยการดวลปืน ผู้ชนะคือผู้ชักปืนได้ก่อนและยิงคู่ต่อสู้ได้ก่อน
ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมาข้างต้นกระผมในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่งจึงขอไว้อาลัยต่อความยุติธรรมและกฎหมายของประเทศนี้ หาก พรบ.ปรองดอง มีผลบังคับใช้


โดย: สมหมาย ประสงค์ IP: 115.87.186.148 วันที่: 2 มิถุนายน 2555 เวลา:4:31:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ประชาชน(ไทย)
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




= "https://www.bloggang.com/data/close2heaven/picture/1128808498.gif"; document.images[0].width =169; document.images[0].height =137
Friends' blogs
[Add ประชาชน(ไทย)'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.