|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
กลุ่มคนทั้งหลายที่ต่อต้านทักษิณ ขณะนี้ ต้องการปฎิรูปการเมือง จริงหรือไม่
กลุ่มคนทั้งหลายที่ต่อต้านทักษิณ ขณะนี้ ต้องการปฏิรูปการเมือง จริงหรือไม่
โดย ประชาชน(ไทย)
จริงๆ การปฏิรูปการเมืองเป็นเพียง "ข้ออ้าง" เพราะหลายฝ่ายต่างก็ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันดีอยู่แล้ว และถ้าหากต้องการปฏิรูปการเมืองจริงๆ ทักษิณก็เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญแล้ว แต่คนเหล่านี้ก็ไม่เห็นยอมอะไร ยังคงดึงดันที่จะโค่นล้มทักษิณให้ได้ โดยไม่สนใจวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น ว่าจะถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือไม่ สิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการจึงมีเพียง "การขจัดทักษิณออกไปจากวงการเมือง" เท่านั้น เพื่อให้พวกของตนได้มีโอกาสกลับเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มันมีหลายกลุ่มหลายความเห็น แต่เป้าหมายเหมือนกันคือ "เอาทักษิณออกไป" และไม่คำนึงถึงวิธีการใช้ด้วย เราสามารถแบ่งกลุ่มที่ต่อต้านทักษิณได้คร่าวๆ ดังนี้ 1. กลุ่มนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์
พวกเหล่านี้หากสืบค้นลงไปจริงๆ จะเริ่มมาจากนายชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย ที่เคยเป็นอาจารย์สอนที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ จุดเริ่มต้นก็มาจากนายชัยอนันต์ลาออกจากการเป็นประธานกรรมการ กฟผ. แล้วก็พาพวกนักวิชาการและราชนิกูลบางคน ถวายฎีกาขอนายกฯ พระราชทาน (ในหลวงท่านดำรัสในภายหลังว่าเป็นระบอบมั่ว) หลังจากนั้น คณบดีคณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ และอาจารย์ในคณะรัฐศาสตร์บางคนก็ออกมาเคลื่อนไหวและก็เชื่อมสายไปที่คณะรัฐศาสตร์อื่นๆ คาดว่าคนเหล่านี้มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเป็นการส่วนตัว แต่ออกแถลงการณ์ในนามสถาบัน เพื่อให้เกิดภาพใหญ่โตที่เรียกว่า Halo Effect คือ กลยุทธ์คนน้อยให้ดูเหมือนมีคนมาก ที่จริงมีไม่กี่คนเท่านั้น และไม่ใช่ส่วนใหญ่ด้วย ซึ่งวิธีการแบบนี้พวกต่อต้านทักษิณนำมาใช้โดยตลอด จะเห็นได้ว่ามีการเอาคนสี่ห้าคน ออกมาแถลงการณ์ในนามองค์กรโน้น องค์กรนี้ตลอด แต่หากเจาะลึกไปที่รายชื่อองค์กรต่างๆ ที่อ้างมา ก็เป็นคนกลุ่มเดียวกันนั่นเอง
สาเหตุที่นักวิชาการรัฐศาสตร์ออกมาเคลื่อนไหว ผมเข้าใจว่า พวกนี้เกิดความกลัวครับ เพราะระบบการเมืองไทยในอนาคตนั้น หากวิเคราะห์ดีๆ จะไม่มีทางพัฒนาเป็นระบบสองพรรคแน่ แต่จะพัฒนาไปเป็นระบบพรรคครึ่งแบบเดียวกับ สิงคโปร์หรือญี่ปุ่น และมาเลเซีย โดยญี่ปุ่นนั้นพรรคแอลดีพี หรือพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยครองอำนาจตลอด 50 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แม้พรรคแอลดีพี จะมีหลายวัง หลายกลุ่มการเมืองเหมือนกัน แต่ทุกวังก็ไม่แตก เพียงแต่พลัดกันขึ้นมาเป็นนายกฯ และ ไทยรักไทย ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย นอกจากนี้ พรรคฝ่ายค้านคือ ปชป. ดูท่าทางแล้วจะหดตัวลงไปเป็นพรรคระดับภาค ไม่สามารถเติบโตในภาคอื่นๆ ได้ ไม่ว่าอีสาน เหนือ กลาง แม้แต่กรุงเทพฯ ก็ยังไม่ชนะ ไทยรักไทย พวกนักวิชาการรัฐศาสตร์เหล่านี้ก็กลัวครับ แต่จะสังเกตได้ว่านักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์นั้น ไม่ค่อยออกมาแสดงความเห็นร่วมด้วยมากนัก (จะมีก็แต่สำนักทีดีอาร์ไอ บางคนที่เชื่อมั่นในแบบจำลองทางเศรษฐกิจคนละอัน) เพราะอะไร เพราะนักเศรษฐศาสตร์นั้น เชื่อมั่นใน "เสถียรภาพ" การวิเคราะห์ของเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะวิเคราะห์เข้าสู่ดุลยภาพ (Equilibrium) ซึ่งเศรษฐกิจจะเติบโตได้ต้องการระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพ จะเห็นได้ชัดว่า มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ที่โตขึ้นมาได้ เพราะการเมืองมีเสถียรภาพ ส่วน ไทย ฟิลิปปินส์ ทั้งๆ ที่พัฒนามาพร้อมๆ กับประเทศเหล่านี้ แต่การเมืองขาดเสถียรภาพ มีการปฏิวัติ มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ รัฐบาลไม่ต่อเนื่อง จึงล้าหลังประเทศเหล่านี้
2. นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์และเอ็นจีโอ
เช่น นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ แม้แต่ น.พ. ประเวศ วศี (ช่วงหลังไม่ได้มีบทบาทในฐานะแพทย์แต่เป็นนักสังคมวิทยา) พวกเอ็นจีโอต่างๆ คนเหล่านี้มีแนวคิด ปรัชญาสังคมและเศรษฐกิตแบบ "สังคมนิยม" และเกลียด "ทุนนิยม" และรัฐบาลทักษิณก็เป็นหัวหอกของระบบทุนนิยม ดังนั้น คนเหล่านี้จึงต่อต้านทักษิณ เนื่องจากมีความเชื่อ ในปรัชญาสังคมที่ต่างกัน คนเหล่านี้พยายามอ้าง "เศรษฐกิจพอเพียง" ของในหลวง โดยนิยามให้ "เศรษฐกิจพอเพียง" นั้นออกมาคล้ายระบอบสังคมนิยม ซึ่งในหลวงก็ไม่ได้นิยามอย่างนั้น แต่ไม่มีใครกล้าเถียงมากนัก เพราะจะกลายเป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพไป หรือโดนกล่าวหาได้ง่ายๆ ว่าไม่เคารพในหลวง คนเหล่านี้นี้โหยหาสังคมในอดีตแบบ "ยุคเกษตรกรรม" เช่น ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือสังคมไทยยุคกรงศรีอยุธยา ที่เมืองไทยยังมีที่ดินทำกินมหาศาล ชาวบ้านต่างก็ไปทำไร่ไถ่นา พอมีพอกิน ไม่อดอยาก ทอผ้าใช้เอง หน้าแล้งก็มีงานบุญ เป็นชีวิตที่มีความสงบสุข ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มียาเสพติด เป็นสังคมที่พึ่งตัวเองได้ เป็นสังคมในฝันของคนที่เติบโตมาในเมืองใหญ่แล้วโหยหาสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมี ไม่เคยอยู่มาโดยตลอด พวกฝรั่งเรียกสังคมแบบนี้ว่าสังคมในยุคกลางหรือ Medieval Age ของยุโรปก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริตศตวรรษที่ 17
แต่สังคมแบบนั้นมันคือ สังคมที่มีประชากรเพียง 5-8 ล้านคน ประเทศมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมีที่ดินทำกินสำหรับทุกครอบครัว แต่ตอนนี้เมืองไทยมีประชากร 65 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แต่พื้นที่เท่าเดิม และยังมีประชากรอีกกว่า 7-8 ล้านคนที่ไม่มีที่ดินทำกิน และก็ไม่มีความรู้ที่จะเข้ามาสู่สังคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้จึงยากจนค้นแค้น อดอยาก ต้องบุกรุกป่าสงวน เพื่อเอาชีวิตรอด ทะเลาะกับข้าราชการ เพราะทำผิดกฎหมาย แต่เพราะความต้องการรอดชีวิต คนเหล่านี้ก็ต้องทำ ข้าราชการก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงกลายเป็นสงครามไม่รู้จบ นักวิชาการสังคมศาสตร์ก็ไม่มีคำตอบให้กับคนเหล่านี้ นอกจากวาดภาพที่สวยหรูของสังคมยุคเกษตรกรรมให้พวกเขาเห็นแต่ไม่มีที่ดินให้คนยากจนเหล่านี้เข้าไปทำกิน หากมีที่ดินเพียงพอมันก็ไม่ยากหรอกที่จะมีชีวิตเรียบง่ายแบบนั้น
สำหรับเรื่องนี้ ทักษิณมีคำตอบให้คนรากหญ้าดีพอสมควร คนรากหญ้าจึงเชียร์ทักษิณมาก เพราะการเอาชีวิตรอด การมีอยู่มีกิน เป็นความต้องการเบื้องแรกของคนยากจนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน คนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการอุดมการณ์ที่ส่วนหรูอะไร ขอให้มีกินก็พอ การที่จะทำให้ประชากรจำนวนมากเหล่านี้มีรายได้ มีอยู่มีกิน มันไม่แคล้วที่จะต้องปฏิวัติอุตสาหกรรม ดึงคนเหล่านี้เข้ามาสู่สังคมอุตสาหกรรม ให้พวกเขามีงานทำ แต่นักวิชาการสังคมศาสตร์เหล่านี้ ขบวนการเอ็นจีโอทั้งหลาย ต้องการหยุดการเวลา ให้สังคมไทยหยุดนิ่ง เพราะมันดูสวยงามดี น่าไปเที่ยว จะสังเกตได้ว่า คนที่เชิดชูภาพเหล่านี้ จะเป็นคนชั้นกลางในเมืองหลวงที่ ไม่เคยไปใช้ชีวิตแบบ "เศรษฐกิจพอเพียง" ด้วยซ้ำ แต่พวกนี้กลับต้องการให้คนยากคนจนเหล่านั้น หยุดชีวิตอยู่ในสภาพแบบนั้น โดยไม่ไปถามพวกเขาว่า ต้องการเช่นนั้นหรือไม่ ผมถือว่าเป็นการคิดแทนคนอื่น เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
3. พวกทุนเก่า เช่น กลุ่มธนาคารหรือธุรกิจต่างๆ พวกนี้ครอบงำขูดรีดสังคมไทยมานาน เพราะพวกนี้เติบโตจากระบบเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออก ซึ่งต้องการค่าแรงถูก หรือโครงสร้างอำนาจรัฐที่พวกเขาครอบงำได้ เมื่อ "ทุนใหม่" แบบทักษิณเข้ามาก็ไปแย่ง "เค้ก" ของทุนเก่าเหล่านี้หมด มันจึงต้องสู้กันเพื่อให้ได้อำนาจคืนมา ไม่ได้มีความลึกซึ่งอะไร เป็นแค่การแย่งอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำในสังคมเท่านั้น ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรที่สูงส่ง ไปกว่าต้องการอำนาจคืนมาเท่านั้น
4. ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น เศรษฐีเอ็นพีแอล สื่อมวลชน ทั้งหลาย พวกนี้ต้องการแย่งอำนาจคืนจากทักษิณ เพราะทักษิณมีอำนาจ ทำให้คนเหล่านี้หมดโอกาสที่จะเข้าไปมีอำนาจการเมืองอีก จึงต้องต่อสู้เพื่อโค่นล้มทักษิณ พวกนี้เข้าใจไม่ยาก แต่ปัญหาคือ พวกนี้ต้องการโค่นล้มทักษิณ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการใช้ ไม่ว่าจะชั่วช้าเลวทรามอย่างไรก็ตาม เช่นเราจะเห็นได้ว่า ในการชุมนุมประท้วงที่ผ่านมา มีการเคลื่อนย้ายม็อบไปมา เพื่อให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อนำไปสู่การนองเลือด หากไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่มีทางที่จะชนะรัฐบาลได้ เพราะการโค่นล้มรัฐบาลไม่ว่าประเทศใด ไม่มีทางที่ม็อบจะล้มรัฐบาลได้ มีแต่ทหารเท่านั้นที่จะยึดอำนาจรัฐได้ รัฐบาลล้มจากม็อบเนื่องจากไปปราบม็อบทำให้เกิดการนองเลือด แล้วถูกต่อต้านจากนานาชาติ ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงล้ม
เคราะห์ดีของประเทศไทยที่คนในรัฐบาลก็เข้าใจเป้าหมายเหล่านี้ดี และสังคมไทยก็มีประสบการณ์เรื่องนี้ดี ฝ่ายข้าราชการตำรวจ มีการเรียนรู้ มีความอดกลั้น จึงสามารถทนการยั่วยุของม็อบเหล่านี้ได้ จึงไม่เกิดการนองเลือด ไม่มีการสะกัดกั้นม็อบ อยากเคลื่อนไหวอย่างไรก็ทำได้โดยอิสระ ฝ่ายรัฐเพียงแต่คอยระวังไม่ให้มือที่สาม เข้าแทรกแซงเท่านั้น ที่จริงก็ไม่มีมือที่สามอะไร ก็พวกที่อยู่เบื้องหลังม็อบนั่นแหละ พูดตรง ๆ ก็คือ พ้องเพื่อนของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำม็อบนั่นแหละที่จะเป็นมือที่สาม ผมจึงคิดว่านี้คือ จิตใจที่ชั่วร้ายของผู้นำม็อบครั้งนี้ที่ต้องการสังเวยเลือดของคนอื่นเพื่อเป้าหมายของพวกตน โชคดีของประเทศไทยมากกว่าเนปาล ที่เรามีรัฐบาลที่อดกลั้น ไม่อ่อนไหวต่อการยั่วยุ เราจึงรอดการนองเลือดมาได้ ไม่ใช่เกิดจากม็อบเรานี้ต้องการชุมนุมอย่างสงบแต่อย่างใด แต่เกิดจากการยั่วยุฝ่ายรัฐไม่สำเร็จนั่นเอง หากคิดดูถ้ารัฐหลงกลอุบายชั่วร้ายเหล่านี้ ทำให้มีคนตายขึ้น พวกนี้ก็จะได้โอกาสที่จะสร้างสถานการณ์ก่อความรุนแรงขึ้น แล้วโยนความรับผิดชอบไปยังรัฐบาล ซึ่งก็หนีไม่พ้นที่ต้องรับผิดชอบ
การเคลื่อนย้ายม็อบไปในที่ต่างๆ ของกลุ่มพันธมิตรและพลตรีจำลอง เช่นไปชุมนุมที่สยามเซ็นเตอร์ จึงมองไม่ได้ว่ามีเจตนาอย่างอื่น นอกจากการยั่วยุนั่นเอง เป็นการใช่ความเดือดร้อนของคนอื่น เพื่อกดดันรัฐบาล
5. ผู้เสียผลประโยชน์จากนโยบายของทักษิณ เช่น
กลุ่มแพทย์ที่เคยเปิดคลีนิกรายได้ดี พอมีโครงการสามสิบบาท นอกจากต้องทำงานหนักแล้ว รายได้จากคลินิกก็ลดลง เพราะชาวบ้านที่ไหนจะไปคลินิก พวกแพทย์เหล่านี้ จึงไม่ชอบทักษิณ พวกนี้เข้าใจไม่ยาก เพราะไปขัดผลประโยชน์นั่นเอง
ส่วนพนักงานรัฐวิสาหกิจ นั้นเป็นเสือนอนกินมานาน พอมีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ก็เหมือนโดนทุบหม้อข้าว หม้อแกง จึงต้องออกมาต่อสู้ขัดขวางอย่างเต็มที่ เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ นั้นไปขัดผลประโยชน์โดยตรงของ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจโดยตรง และก็ต่อสู้กันแบบนี้ในทุกประเทศที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในอังกฤษที่เป็นประเทศแรกๆ ที่นำเอานโยบายการแปรรูปมาใช้สมัยนางมากาเร็ต แธตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น โดนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจหยุดงานประท้วงต่อเนื่อง 8-9 เดือน โดนกล่าวหาและต่อสู้กันหนักหน่วงกว่าในประเทศไทย สุดท้ายนางแธตเชอร์ก็ไม่ยอมถอย และขายรัฐวิสาหกิจจนหมดสิ้นใช้เวลาถึง 18 ปีคือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979-1997 เศรษฐกิจของอังกฤษจึงฟื้นตัวจากการเป็น "สิงโตป่วยแห่งยุโรป" กลับมายืนผงาดได้อีกครั้งหนึ่ง
อีกพวกหนึ่งที่เข้าร่วมประท้วงรัฐบาลทักษิณคือ พวกครูประถมศึกษา พวกนี้ต่อต้านการโอนอำนาจไปให้ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ก็เลยต่อต้านทักษิณ และแกนนำต่อต้าน คือ นายอวยชัย วะทา ก็ไปสมัคร สว.อีกด้วย จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่า ออกมาต่อต้านเพราะอะไร
ดังนั้น สาเหตุใหญ่ของพวกที่ต่อต้านทักษิณ จึงไม่ใช่ความต้องการที่จะปฏิรูปการเมืองแต่อย่างใด แต่ต้องการ "โค่นล้มทักษิณ" เมื่อทักษิณหลุดไปพวกนี้ก็กลับมา enjoy อำนาจเช่นเดิม ข้อกล่าวหาต่าง ๆ เรื่องการขายหุ้น เรื่องการคอรัปชั่น ที่หากหลักฐานอะไรไม่ได้เลย มีแต่ลมปากและโวหาร จึงเป็นแค่เพียงข้ออ้างเท่านั้น พวกนี้เข้าใจดี ว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็เป็นประเด็นที่เอาไปปลุกระดมหลอกลวงประชาชนทั่วไปที่ไม่ค่อยรู้ได้อย่างดี อธิบายพวกนี้ก็ไม่ฟัง เพราะไม่อยากฟัง
เราจะเห็นได้ชัดว่า ข้อกล่าวหาเรื่อง "จริยธรรม" นั้น คนเหล่านี้เอามาใช้กับทักษิณเพียงเพื่อต้องการปลุกระดมมวลชนเท่านั้น กรณี ว่าที่ สว. ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งของประเทศไทยคือ ร.ต.อ. นิติภูมิ นวรัตน์ ที่มีเทปลับของ เจ้เช็งออกมาเผยแพร่ แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องทางด้านจริยธรรม แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกมาต่อต้าน หรือแสดงความเห็นแต่อย่างใด ทั้งที่เป็นนักการเมืองเหมือนกัน จึงกลายเป็นเรื่องของการมีสองมาตรฐานทางการเมืองไป
การเมืองไทยวุ่นวายเพราะเผอิญคนเหล่านี้ได้ "ทหารรับจ้างที่ สิ้นเนื้อประดาตัว" ไม่มีอะไรจะเสียแล้วเช่น "นายสนธิ" อาสากล้าตาย" เป็นกองหน้าให้ จึงสู้เต็มที่ ที่จริงมีรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียวเท่านั้นที่คนเหล่านี้ต้องการเพิ่มเติมเข้าไปคือ ห้ามทักษิณ ชินวัตร สมัครรับเลือกตั้ง หรือ รับตำแหน่งทางการเมือง ลองเสนอเพิ่มมาตรานี้เข้าไปซิครับ รับรองปัญหาทั้งหลายยุติลงทันที
---------------------
Create Date : 08 มีนาคม 2549 |
|
15 comments |
Last Update : 14 พฤษภาคม 2549 20:04:28 น. |
Counter : 819 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: หมีPooH! IP: 203.159.36.10 8 มีนาคม 2549 23:59:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: IP: 61.47.103.97 9 มีนาคม 2549 2:41:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: นั่นแน่ (นั่นแน่ ) 9 มีนาคม 2549 10:28:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: อืมมมม IP: 203.156.6.157 10 มีนาคม 2549 0:17:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: อยากรู้จริงๆ IP: 58.11.37.111 10 มีนาคม 2549 15:01:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: katzemiau IP: 195.93.60.15 11 มีนาคม 2549 3:23:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: อยากรู้จริงๆ IP: 61.47.127.92 11 มีนาคม 2549 17:42:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: อยากรู้จริงๆ IP: 61.47.127.92 11 มีนาคม 2549 17:43:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: อยากรู้จริงๆ IP: 61.47.127.92 11 มีนาคม 2549 17:47:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตลกดี IP: 58.10.138.74 12 มีนาคม 2549 21:23:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: หน่าย IP: 58.11.37.188 14 มีนาคม 2549 19:27:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: ผู้ไม่หลงผิด IP: 58.9.182.28 19 พฤศจิกายน 2554 19:44:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: สมหมาย ประสงค์ IP: 115.87.186.148 2 มิถุนายน 2555 4:16:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: คน ร้อยเอ็ด IP: 1.4.129.37 5 มิถุนายน 2555 13:11:10 น. |
|
|
|
| |
|
= "https://www.bloggang.com/data/close2heaven/picture/1128808498.gif"; document.images[0].width =169; document.images[0].height =137
|
|
|
|
|
|
|
|