คนที่ตายจากโลกมนุษย์แล้ว ต้องไปเสวยกรรมวิบากทั้งกุศลและอกุศลที่ตนสร้างในปรภพ คนที่ตายแล้วต้องจุติเป็นรูปแห่งวิญญาณ รูปแห่งกายทิพย์ หรือที่ภาษาชาวบ้านทั่วไปเรียกว่ารูปแห่งโอปาติกะ เมื่อท่านสร้างกรรมดีก็ไปเสวยกรรมดี เมื่อท่านสร้างกรรมชั่วก็ไปเสวยกรรมชั่ววิญญาณที่ไปจากโลกมนุษย์เสวยกรรมในปรภพนั้น มีบางจำพวกที่เรียกว่าวิญญาณอิสระที่ตายอย่างไม่ถึงเวลา อีกประเภทหนึ่งตายอย่างถึงเวลาแห่งอายุขัย และเสวยกรรมวิบากเสร็จแล้วก็ได้รับการเป็นวิญญาณอิสระอีกครั้งหนึ่งการที่เป็นวิญญาณอิสระอีกครั้งหนึ่งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เป็นวิญญาณปุถุชน ที่ยังไม่สำเร็จมรรคผลในฌานญาน เมื่อท่านเสวยวิบากกรรมเสร็จแล้ว ท่านต้องการหาที่เกิดอีก เป็นไปตามกระแสคลื่นแห่งกรรมวิบากในวัฏฏะ ในขณะที่ท่านเป็นวิญญาณอิสระ จิตวิญญาณของท่านจะเกิดมโนภาพในอดีตมานึกคิดถึงบุคคลที่ท่านเคยมีกรรมพัวพันเมื่อสมัยท่านยังมีสังขาร บางครั้งท่านจะพบมนุษย์ที่เคยรู้จักในโลกวิญญาณ บางครั้งก็ไม่พบในโลกวิญญาณแต่มาพบในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วแต่ว่าท่านเคยมีกรรมพัวพันกับใคร เช่นท่านคิดถึงนาย ก. จิตวิญญาณของท่านจะพุ่งไปหานาย ก. ทันที สมมติว่าขณะนั้นนาย ก. และนาง ข. กำลังร่วมประเวณีกันอยู่ วิญญาณของท่านที่มีกรรมพัวพันกับมนุษย์คู่นี้ ก็จะเห็นแสงสีที่น่าชม ลักษณะของแสงสีที่ท่านกำลังชม มีสภาพประหนึ่งแม่เหล็กที่จะดึงดูด ท่านเข้าปฏิสนธิในครรภ์พอดี ในขณะนั้นตามหลักวิทยาศาสตร์ ทางกายวิภาคหรือชีววิทยาคือหญิงมีไข่สุกพร้อมอสุจิชายเข้าผสม วิญญาณท่านจะปฏิสนธิร่วมในขณะนั้น ในการเกิดวิญญาณต้องอาศัยปัจจัย ปัจจัยก็ต้องอาศัยวิญญาณเป็นสรณะ เมื่อครบสามเดือนแล้ว จิตวิญญาณนี้จึงเข้ารูปเข้าร่างเป็นพืชพันธ์ และเริ่มรับอายตนะในปัจจุบัน อายตนะในปัจจุบันนี้แหละ จะเข้าย้อมจิตวิญญาณของคนๆนี้ ว่าจะสู่ทางเลวหรือสู่ทางดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมในเหล่าบิดามารดาด้วยประการหนึ่งคัดจากหนังสือ โอวาทจากดวงพระวิญญาณบริสุทธ์ สมเด็จโต
แต่การเกิด คือการเริ่มต้นเรียนรู้