ทำอย่างไรให้หายโกรธ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเมตตาการุณย์ พระพุทธจ้ามีพระคุณข้อใหญ่ประการหนึ่ง คือ พระมหากรุณา ชาวพุทธได้รับการสั่งสอนให้มีเมตตากรุณา ให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจและมีน้ำใจปารถนาดี แม้แต่เมื่อไม่ได้ทำอะไรอื่นก็ให้แผ่เมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งปวง ขอให้อยู่เป็นสุขปราศจากเวรภัยกันโดยทั่วหน้า อย่างไรก็ตามเมตตามีคู่ปรับอย่างหนึ่งคือความโกรธ เป็นศัตรูที่คอยขัดขวางไม่ให้เมตตาเกิดขึ้นคนบางคนเป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วต้องทำอะไรรุนแรงออกไป หงุดหงิดงุ่นง่านทรมานใจ ในเวลานั้นเมตตาหลบหายไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ส่วนความโกรธทั้งที่ไม่ต้องการแต่ไม่ยอมหนีจากไป บางทีจนปัญญาไม่รู้จะขับไล่หรือกำจัดให้หมดไปได้อย่างไร แล้วทีนี้จะทำอย่างไรให้หายโกรธขั้นที่๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธขั้นที่๒ พิจารณาโทษของความโกรธขั้นที่๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธขั้นที่๔ พิจารณาว่าความโกรธคือการสร้างทุกข์ให้กับตัวเองขั้นที่๕ พิจารณาว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน คือ เราโกรธแล้วไม่ว่าจะทำอะไร การกระทำของเรา นั้นเกิดจากโทสะ ซึ่งเป็นอกุศลมูล กรรมของเราย่อมเป็นกรรมชั่วและเราจะต้องรับผล ของกรรมนั้นต่อไปขั้นที๖ พิจารณาความเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ หากมีเหตุโกรธเคืองจากใคร พึงพิจารณาว่าท่าน ผู้นี้อาจเคยเป็นบิดา มารดา ฯลฯ ที่ดีมีบุญคุณกับเรามาก่อนก็ได้ขั้นที่๗ พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา พระพุทธเจ้าตรัสแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ๑๑ ประการคือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุขไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดารักษา ไฟ พิษ และศัสตราไม่กล้ำกราย จิตใจตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว สีหน้าผ่องใส ตายก็มีสติไม่หลงฟั่นเฟือน เมื่อยังไม่บรรลุคุณธรรมที่สูงกว่าย่อมเข้าถึง พรหมโลกขั้นที่๘ พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ เป็นการปฏิบัติแนววิปัสสนา เช่น แยกผู้ที่เราโกรธว่าตัวเขาเป็น เพียงแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นต้น แล้วจะโกรธดิน น้ำ ลม ไฟ ขน ผม หนัง เล็บ กระดูก ทำไม?ขั้นที่๙ ปฏิบัติทาน คือการให้ หรือแบ่งปันสิ่งของคัดมาจากหนังสือทำอย่างไรจึงหายโกรธ