ชีวิต...คือความหลากหลาย
Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
23 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช : เรียนรู้จากรากเหง้า



เป็นภาพยนตร์ที่รอคอยกันมานานแสนนาน ผลงานการกำกับของ มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล

เรื่องราวของพระนเรศวรมหาราชที่ผมเชื่อว่าคนไทยรู้จักกันเกือบทุกคน

แต่หลังจากดูจบแล้วต้องบอกว่า สิ่งที่เราเคยรู้มันแค่เพียงผิวเผินจริงๆ
เรื่องราวของพระนเรศวรนั้นเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจาก สุริโยไท (แค่เริ่มต้นตรงนี้ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนแล้ว)

โดยในภาคแรกนี้จับเรื่องราวตั้งแต่บุเรงนองยกทัพมาตีอยุธยาในศึกที่รู้จักกันว่า ศึกช้างเผือก ครั้งนี้บุเรงนองก็ได้นำเอา องค์ดำ ไปเป็นตัวประกันที่เมืองหงสา
และหลังจากนั้นเมื่อเกิดเหตุความแตกแยกระหว่างพระธรรมราชผู้ครองเมืองพิษณุโลก และพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าบุเรงนองก็ได้ฉวยโอกาสเข้ามาตีอยุธยาอีกครั้ง และยึดได้เป็นสำเร็จ

ภาคนี้จบลงตรงที่ พระนเรศวรได้หลบหนีจากเมืองหงสา เพื่อกลับอยุธยา
........................................................................
ความรู้สึกแรกเลยที่เข้าไปในโรง คือ คนเยอะจริงๆ ทำให้ต้องมานั่งนึกว่า นานแค่ไหนแล้วนะที่ ได้ดูหนังที่มีคนดูเยอะขนาดนี้

เห็นพ่อแม่พาลูกๆ มาดูก็เยอะ เด็กประถมมานั่งดูกันเป็นแถว ดูแล้วอบอุ่นดีจัง

"ผมสร้างหนังเรื่องนี้เพื่อให้คนไทยได้ดู เพื่อให้คนหันมาสนใจประวัติศาสตร์กันมากขึ้น"
ท่านมุ้ยเคยให้สัมภาษณ์ไว้ทำนองนี้ ผมคิดว่าท่านคงจะปลื้มใจ ที่เห็นเด็กๆ มาดูกันเยอะขนาดนี้
..........................................................................
หลังจากดูจบแล้วก็อดเปรียบเทียบกับ สุริโยไทไม่ได้ จากผู้กำกับคนเดียวกันและแนวหนังที่เหมือนกัน

คงต้องบอกว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรดูสนุกกว่า สุริโยไท
อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า การเสียเอกราช ภาวะที่คนไทย (หรือสยาม หรือโยเดีย อย่างที่พม่าเรียก) ต้องอยู่อย่างเชลย มันให้อารมณ์ร่วม ได้ง่ายกว่าเรื่องของ สุริโยไท มากนัก

ในฐานะที่เป็นคนไทย ก็รู้สึกหน้าชา เมื่อพวกพม่าตะโกนว่า สยามขี้แพ้
อดจะเศร้าใจไม่ได้เมื่อเห็นว่า อยุธยาแตกพ่ายเพียงเพราะ คนไทยที่ทรยศกันเอง

และอีกจุดหนึ่งที่ชอบ คือ มุมมองของผุ้กำกับต่อบุเรงนอง
หนังในแนวนี้หากมีฝ่ายตัวร้ายที่ โหดเหี้ยม เลวสุดๆ แล้วล่ะก็ มักจะสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ชมได้ง่าย
แต่กับบุเรงนอง ในเรื่องนี้อยู่ในมุมมองของกษํตริย์ผุ้ยิ่งใหญ่
กษัตริย์ผุ้ทำทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมืองของตนเท่านั้นเอง และยังมีลักษณะของลูกผู้ชายชายชาติทหาร ที่น่านับถืออีกด้วย
ทำให้บุเรงนอง ดูเป็นบุคคลที่เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ผู้ร้ายยยย ผู้ร้ายตามขนบทั่วไป

แต่ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ก็ยังมีจุดอ่อนเหมือน สุริโยไท นั่นก็คือ ความยาวเกินไปของหนัง

ยาวเกินไป คงไม่ได้วัดกันที่เวลา เพราะหลายครั้งที่เราดูหนังที่กินเวลานานๆ แต่เราไม่รู้สึกเเลยว่ามันนาน อย่าง shawshank อย่าง Forrest Gump อย่าง Lord of The Ring
นั่นเป็นเพราะ มันจบตรงที่เราได้คลี่คลายอารมณ์แล้ว

แต่กับ ตำนานเสมเด็จพระนเรศวรนั้น มีหลายจุดที่ดูแล้ว อารมณ์มันน่าจะจบแล้ว แต่ไม่จบ กลายเป็นตัวทำให้เรารู้สึกว่า มันยืดจนกระทั่ง เกิดความรู้สึกว่า เมื่อไหร่จะจบ ซึ่งส่งผลไม่ดีกับหนังสักเท่าไหร่

เข้าใจว่ารายละเอียดของเรื่องราวนั้นมีเยอะ แต่ตรงนี้คงต้องอยู่ที่ การเลือกของผู้กำกับหากหนังสั้นลงอีก สัก 20 นาที คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย
.........................................................................
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ คนไทยต้องดู ดูเพื่อให้รู้รากเหง้าของบ้านเมืองเรา รับรู้เพื่อที่จะได้รักและหวงแหนในแผ่นดินนี้

ผมเป็นคนหนึ่งที่มักจะเกิดอารมณ์ร่วมได้ง่ายกับหนังแนวนี้ ไม่ว่าใครจะค่อนแคะว่า เป็นหนังปลุกกระแสรักชาติอันตื้นเขิน

แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง มีคนมากมายที่ต้องหลั่งเลือด สละชีพเพื่อแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่ให้เราได้อยู่อาศัย แผ่นดินที่ให้ความร่มเย็น แผ่นดินที่ให้เราได้พักพิง
หากคนไทยดูหนังแล้วได้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้บ้าง ก็คงดี
..........................................................................
นักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะ ดารารุ่นเก่าอย่าง สมภพ เบญจาทิกุล ที่รับบทบุเรงนอง และ สรพงษ์ ชาตรี ที่รับบทเป็น พระมหาเถรคันฉ่อง

ส่วนดาราเด็ก สอบผ่านกันทุกคน โดยเฉพาะ จิรายุ ละอองมณีที่รับบทบุญทิ้ง และที่ลืมไม่ได้เพราะน่ารักจริงๆ ก็คือ มณีจันทร์วัยเด็ก น้อง สุชาดา เช็คลีย์

แต่สุดท้ายที่ขัดอกขัดใจมากๆ ก็คือตอนจบ พอ end credit ขึ้น ดนตรีมา ผมก็นึกทันทีว่าคงเป็นเพลงไทยเพราะๆ ฟังแล้วฮึกเหิม ที่ไหนได้มาแบบเดียวกับสุริโยไทเลย คือ เพลงเนื้อภาษาอังกฤษ มาพร้อมภาคดนตรีที่ไม่ได้มีความเป็นไทยเลยสักนิดเดียว เฮ้อ บอกตรงๆ ทำเอาเซ็งเลย
........................................................................
คะแนน 7/10
ข้อมูลการดู
Major cineplex อุดรธานี
วันที่ 19 มกราคม 2550

ข้อมูลภาพยนตร์
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช : องค์ประกันหงสา (2007)
ผู้กำกับ มจ. ชาตรีเฉลิม ยุคล



Create Date : 23 มกราคม 2550
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2550 18:35:04 น. 5 comments
Counter : 1474 Pageviews.

 
แสดงว่าที่จริงแล้วไม่ได้กะทำให้คนไทยดูหรอก
เขาทำให้ฝรั่งดู

เช่นแผนที่ที่ปรากฎในช่วงแรก ก็วางตำแหน่ง ปักหมุด ด้วยภาษาอังกฤษ

ที่จริงแล้วทำให้สั้นก็อาจจะดูไม่รู้เรื่องก็เป็นได้ ทำยาว ๆ แล้วแบ่งเป็นสามภาคก็ดีอยู่

แต่อันที่ต้องชมจริง ๆ ก็คือว่า เป็นการสร้างโดยไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ฉบับล้าหลังคลั่งชาติ แต่อิงประวัติศาสตร์แบบที่ถ้าดูดี ๆ จะรู้ว่า สยามในอดีตไม่ได้เป็นชาติเดียวกัน เป็นหลาย ๆ ชาติต่างหาก และไม่ขึ้นแก่กัน

จึงมีกษัตริย์ได้พร้อมกันทั้งที่อยุธยา และ สองแคว และสองแควก็ไปเข้ากับพม่าได้ ก็เพราะว่าเป็นอีกเมืองหนึ่ง

สรุปคือ เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ยิดพื้นที่และขอบเขตหลักแดนในปัจจุบัน แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้มีการบันทึกจริงโดยไม่อิงว่านี่ประเทศโน้น นี่ประเทศนี้


โดย: Plin, :-p วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:0:49:03 น.  

 


Myspace Layouts

สวัสดีค่ะ

มาเยี่ยมเยียน ค่ะ ได้เวลา

เดินชมบ้านเพื่อน แล้วค่ะ

(@^_^@)

จุ๊ฟๆๆๆ

myspace layouts, myspace codes, glitter graphics




โดย: STAR ALONE (STAR ALONE ) วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:18:46:12 น.  

 
ตามมาตอบคำถามค่ะ

เรื่องแต่งไว้น่ะเหรอคะ
ไม่เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ
ถ้าหากว่าจะนำไปเผยแพร่
ที่แต่งออกมาได้หลายเรื่อง
ก็แค่ใช้จินตนาการ และความรู้สึกรักในงานเขียน
ก็เท่านั้นเอง ยังไม่ทรงคุณภาพเหมือนนักเขียนมือใหม่ท่านอื่นๆ ภาษาและการสื่ออารมณ์ให้ผู้อ่านได้คล้อยตามไปกับตัวละครก็ยังไม่ดีพอ
แต่ก็ภูมิใจมากที่ ได้สร้างสรรค์งานเขียนเป็นของตัวเอง
มีเพียงเพื่อนๆรอบข้างนิดหน่อยเท่านั้นที่ได้อ่านน่ะ


โดย: เเสงตะวัน วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:13:27:56 น.  

 


เห็นด้วยเลยครับ


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:0:27:20 น.  

 
พูดถึงนเรศวร ผมก็เขียนถึงไว้นะครับ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nanoguy&group=2&month=01-2007&date=26&blog=5

ส่วนตัวผมว่าบท ความสนุก และความน่าติดตามนั้นดีกว่าสุริโยไท (ผมดูสุริโยไทรู้เรื่องเพราะตอนนั้นตามอ่านประวัติศาสตร์(?)ตลอด -- ตอนนั้นอายุแค่สิบเท่าไหร่เองครับ เหอๆๆ ยังไม่มีความคิดประเภทที่ว่า ประวัติศาสตร์ชาติเรามันจริงซักกี่ส่วนกัน) แต่ว่ายังขาดความประณีตและหนังโดดเกินเหตุไปหลายส่วนมากครับ

โดยเฉพาะฉากโดดเตะขาคู่
ดนตรีประกอบ + end title ที่เป็นแบบโคตรจะฝรั่ง (แปลกนะ ผมกลับรู้สึกว่าเพลงภาษาอังกฤษของสุริโยไท มันฟังแล้วกลทกลืนกับหนังมากกว่าเพลงนี้ล่ะ) ซาวนด์ประกอบในหนังฟังแล้วเหมือนหนังสงครามฮอลลีวู้ดดาษๆเรื่องหนึ่งมากกว่าหนังประวัติศาสตร์(?)ไทย


โดย: nanoguy (nanoguy ) วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:10:20 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

pigletdora
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add pigletdora's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.