ความว่างปล่าว ทำให้ไม่ว่างปล่าว ด้วยความสามารถและฝีปาก(มือ)
สมองผมตอนนี้ว่างปล่าว มันไม่มีอะไรในหัว แต่ผมอยากจะทำให้มันมีอะไร แม้ผมคิดอะไรไม่ออก ก็อยากจะเขียนบลอกอยู่ดี ไม่ว่าจะเขียนเพื่อให้คนเม้น หรือ เขียนเพราะอยากเขียน อะไรก็ตาม ผมก็อยากทำเพื่อให้มันไม่ว่างปล่าว ไม่เคยอ่าน ทฤษฎีการเขียนบทความหรืออะไรนักหรอก แต่เชื่ออยู่อย่าง ถ้าอยากเปนอะไรเก่งๆ ก็ฝึกบ่อยๆ อยากเล่นกีตาร์เก่งๆ ก็ฝึกบ่อยๆ อยากว่ายน้ำเก่งๆ ก็ว่ายบ่อยๆ อยากเขียนการตูนเก่งๆ ก็เขียนบ่อยๆ อยากเล่นบาสเก่งๆ ก็เล่นบ่อยๆ อยากเขียนบทความเก่งๆ ก็เขียนบ่อยๆ แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด กีตาร์ มีเปิดสอน ว่ายน้ำ มีเปิดสอน เขียนการตูน มีหนังสือสอน บทความ ผมไม่เคยเห็น วิธีเขียนบทความเก่งๆ มีทฤษฎีมั้ย ? ศาสตร์นี้ยังไม่เปนที่ยอมรับหรือ ถึงไม่มีใครออกมาเปิดสอน ประเทศนี้ยังไม่มีคนเก่งพอ คนยังไม่นิยม ยังไม่ได้รับความสนใจในการอ่านบทความ พูดให้ถูกคือ คนยังไม่ชอบอ่านมากนัก เลยทำให้ไม่มีคนอยากเขียน แบบนั้นรึป่าว ? สงสัย สงสัย สงสัย เร็วๆนี้ จะมี การบรรยาย ที่ธรรมศาส รังสิต เรื่องเส้นทางสู่นักเขียนมืออาชีพ ผมจะไปฟังให้ได้
ผมอยากเปนนักเขียน แต่ผมอยากเปนนักเขียนการตูน ผมเขียนบทความเปนงานอดิเรก แต่เขียนเยอะกว่าการตูนเยอะเลย แต่ก็ยังเรียกว่าเปนงานอดิเรก เพราะผมชอบเขียนการตูนมากกว่าอยู่ดี เขียนบทความสมัยนี้มันง่าย คอมพิวเตอช่วยได้เยอะ พิมแปปเดียวก็ได้สองสามหน้า ยิ่งพิมแบบวางมือเปนละก็ มองแต่จอไม่ต้องมองแป้น พิมเร็วเปนจรวด คิดอะไรออก ก็พิมออกมาได้อย่างที่สมองสั่งการ มัวแต่เขียน คงไม่ได้เขียนเยอะขนาดนี้หรอก ประเด็นไม่ค่อยจะมีให้เห็นชัดๆสักเท่าไร นั่นหมายความว่าผมเปนคนโลเล ไม่มั่นคง สิ่งที่คิด แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ ควบคุมไม่ได้ สะกดไม่อยู่ ความคิดฟุ้งออกมามากมายเหลือเกิน ประเด็นที่น่าสนใจ มันไม่น่าสนใจมากจนสามารถพูดได้เป็นเรือ่งเปนราวขนาดสามสี่หน้า สมองเลยเปลี่ยนไปคิดเรือ่งอื่นซะ หรือไม่ก็อาจจะเปนประเด็นที่ผมคิด หรือเขียนออกมาแล้ว คล้ายของเดิม สมองเลยปล่อยให้ฟุ้งไปถึงเรื่องอื่น ความสับสน บางครั้งก็สั่งการสมองผม ให้หนีไปจากความสับสนนั่น เพื่อไปคิดเรื่องอื่น เพื่อหนีไปจากปัญหาตรงนั้น ผมชอบคิด แต่ผมไม่อยากคิดมากนี่นา แต่ยังไงมันก็มากอยู่ดี เรื่องนี้มันเปนเรื่องของตัวผมเอง หากมีใครอ่านแล้วเบื่อ หรือใครเปิดมายาวๆ แล้วไม่อยากอ่าน ก็ไม่แปลกอะไร คงไม่มีใครในโลกที่มาสนใจเรื่องของคนอื่น ตลอดเวลาหรอก ทุกๆคนก็มีเรื่องของตัวเองทั้งนั้น ยกเว้นแต่จะเปนดาราฮอลลีวูด เปนคนของประชาชน เปนคนดัง ทำไรก็ตกเปนข่าว ฮ่าๆ ช่วยไม่ได้ ผมยังไม่ดังถึงขนาดทำไรทุกคนก็ให้ความสนใจนี่ ถ้าดังขนาดนั้น คงจะสนุกน่าดู คงเห่อตัวเองไปพักใหญ่ๆ อาจจะทำไรบ้าๆมากกว่าเดิมก็ได้ บลอกคงมีคนเข้ามาวันละแสน คนเม้นวันละหมื่น ทำลายสถิติทุกๆบลอกในโลก การเปนชายในฝันของทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย เยี่ยม แจ๋ว มีคนติดต่อขอนำประวัติส่วนตัวไปทำเปนหนัง การตูนทีเขียนถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลทั่วโลก ญี่ปุ่นยังยอมแพ้ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง ช่างภาพปาปารัชซี่ ตามถ่ายรูปตลอดเวลา มีแฟนก็ถูกจับตามอง ถูกแอบถ่ายตอนมีเซ็กปั้มขายเปนวีซีดีเถื่อน ความเปนส่วนตัวหายไปหมดสิ้น
คงอึดอัดน่าดู
ผมฝันๆไว้ ก็ได้แต่ฝัน ถ้าได้รู้สึกสักครั้งก็คงจะมันส์ไม่ใช่น้อย หน้าตาผมไม่หล่อขนาดแบรด พิท ไม่สูงเท่า จู๊ด ลอว์ การจะดังได้ ลำบากน่าดู คงต้องดังทางอื่นนะ ไม่ได้ บอน ทู บี สตาร์ นี่หว่า
นี่ผมอยากดังอีกแล้วหรอเนี่ย อยากให้คนสนใจเพื่ออะไรว่ะ เหมือนๆจะรู้คำตอบ แต่ไม่พูดออกมา ช่างมันเถอะ เห็นเพื่อนบอก ใครๆก็อยากได้รับการยอมรับ อยากจุดสนใจ อยากเด่น อยากดัง กันทั้งนั้น ผมคงมากกว่าคนอื่นไปหน่อยเท่านั้นเอง
อ่า ในที่สุด ความว่างปล่าวครั้งนี้ ก็กลายเปนความฟุ้งเฟ้อไปซะแล้ว ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบ ขอบคุณเผื่อจะมีใครสักคนอ่านจนจบ แสดงว่าคนที่อ่านคงว่างมากแหงๆ ดีใจด้วย สรุปอะไรไม่ได้ สาระไม่มี ขอโทดนะ ที่หลอกคุณให้อ่าน ผมไม่เคยเข็ดหรอก
Create Date : 24 มิถุนายน 2548 |
|
6 comments |
Last Update : 24 มิถุนายน 2548 13:15:40 น. |
Counter : 948 Pageviews. |
|
|
|
นักเขียนไม่ได้เกิดมาเป็นนักเขียนหรอกนะคุณ แต่มันประกอบขึ้นมาจากหลายๆ อย่าง
และนักเขียนก็เกิดจากการได้ input มาก ก็เอา output ออกไปมาเหมือนกัน
การบอกว่าแบบนั้นเขียนดีหรือไม่ดี, หนังสือแนะนำการเขียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เราทำแบบนั้นได้ แต่ในที่สุดก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นของตัวเอง, จะเข้าใจไหมนะ? เอาเถอะ
เป็นนักเขียนก็ต้องเขียน เขียนบ่อยๆ คิดบ่อยๆ
:)
เนอะ