:::การดูแลและบำรุงรักษายางรถยนต์:::
การดูแลและบำรุงรักษายางรถยนต์ยางรถยนต์เป็นสิ่งเดียวที่อยู่ระหว่างถนนกับรถของท่าน ยางทำหน้าที่รับน้ำหนักรถ ส่งผ่านกำลังจากเครื่องยนต์ เคลื่อนตัวไปตามทิศทางที่บังคับเกาะถนน ให้ผลจากการขับเคลื่อนหรือเบรก ยางจึงเป็นส่วนสำคัญของช่วงล่างรถยนต์ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมท่านจึงต้องดูแลรักษายางของรถท่านการ ดูแลรักษาด้วยวิธีง่ายๆทำเป็นประจำ จะช่วยให้ยางอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดอายุใช้งาน ข้อแนะนำในการดูแลและบำรุงรักษามีดังนี้ทุก 2 อาทิตย์ ตรวจสอบความดันลมในขณะที่ยางเย็นใช้อัตราสูบลมตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด ยางอะไหล่ ควรสูบลมมากกว่าปกติ 3-4 ปอนด์ต่อ ตร.นิ้วเวลาจะนำไปใช้จึงปล่อยลมให้เท่ามาตรฐานตรวจสอบฝาครอบวาวล์เติมลมให้ แน่ใจว่ามีอยู่และปิดสนิทดีทุกตัว ทุกเดือน หรือ เมื่อเห็นว่าจำเป็นตรวจดูว่ามีหินก้อนเล็ก หรือตะปูติดอยู่ตามร่องดอกหรือไม่ ถ้ามีให้เขี่ยออก วัตถุดังกล่าวจะเบียดฝังตัวเองลงไปเรื่อยๆ ขณะยางวิ่งทำให้ยางเสียหายได้ในที่สุดตรวจดูความสึกหรอของหน้ายางด้วยตาเปล่า ถ้าสึกไม่เท่ากัน หรือสึกผิดปกติควรปรึกษาช่าง ถ้าความลึกของดอกยางเหลือไม่ถึง 2 มม. ก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ ข้อควรระวังยางสึกเร็วกว่าปกติเมื่อถนนไม่ดี มีหลุมบ่อ ก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ อยู่มาก เข้าโค้งอย่างรุนแรง ออกรถพุ่งกระโจน เบรกอย่างกระทันหันโปรดหลีกเลี่ยงการใช้งานในสภาพดังกล่าวการขับรถปีนขอบถนน หรือเสียดสีกับฟุตบาท จะทำให้แก้มยางเสียหายได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำมัน เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบนซิน ฯลฯ หรือสีต่างๆถูกตัวยางเพราะสารเหล่านั้นจะทำให้ยางเสื่อมคุณภาพ และเสียหาย ในภายหลังได้ ในกรณีนี้ ขอให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่ อย่าบรรทุกเกินอัตรา หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ขอให้เพิ่มความดันลม ตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ใช้ยางกับกะทะล้อให้สัมพันธ์กันตามที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์กำหนด ตรวจดูกะทะล้อให้ทั่ว กะทะจะต้องไม่มีสนิมหรือรอยชำรุดบิดเบี้ยวเปลี่ยนวาล์วเติมลมตัวใหม่ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนแปลงก่อนใส่ยางเข้ากับกะทะล้อ ต้องทาสารหล่อลื่นพิเศษสำหรับของยาง ทั้งสองด้าน เพื่อให้การใส่ยางเป็นไปได้ง่ายและช่วยป้องกันไม่ให้ของยางฉีกขาดด้วยถ่วงล้อและตั้งศูนย์ทุกครั้ง เมื่อเปลี่ยนยาง หรือ สลับยาง รวมทั้งยางอะไหล่ด้วย อย่าใช้ยางผ้าใบเฉียงกับยางเรเดียลบนเพลาเดียวกัน ถ้าจำเป็นให้เอายางเรเดียลไว้ล้อหลังเสมอ ไม่ว่ารถนั้นจะขับเคลื่อนด้วยล้อใดก็ตามขอบคุณข้อมูลจาก //www.thailovecar.com/