สปาเก็ตตี้เส้นโฮลวีทมีทซอส : อิ่มอร่อย แต่แคลอรี่เบาๆ
มีการศึกษากันพบว่าเมื่อเราทานอาหารประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตต่างชนิด กัน ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเราทานขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีขัดสี เปรียบเทียบกับการทานข้าวกล้องในปริมาณที่อาหารทั้งสองให้พลังงานแก่ร่างกาย ของเราเท่าๆ กัน เมื่อร่างกายของเราได้รับพลังงานจากสารอาหาร อาหารบางชนิดจะเร้าให้ร่างกายเราสะสมพลังงาน กลับกันอาหารบางชนิดจะทำให้ร่างกายเผาผลาญดีขึ้น น่าสนใจนะครับ สำหรับใครที่เคยสงสัยว่าตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนทานเยอะนะ แต่ทำไมทานอะไรนิดๆหน่อยๆ พุงก็หลามออกมาแล้ว กลับกันในเพื่อนบางคน ทานอะไรเก่งมากแต่ตัวเล็กนิดเดียวไม่อ้วนเสียที เรามาลองค้นหาคำตอบกันดูดีกว่าครับว่ามีกลไกอะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดสภาวะนี้ ขออนุญาตอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราก่อนนะครับ โดยปกติแล้วหลังจากที่เรารับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตหรืออาหารประเภท แป้งเข้าไป ร่างกายจะมีกลไกแบบปกติที่จะย่อยแป้งที่เราทานเข้าไปให้มีขนาดเล็กลง เรียกว่าเล็กลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นโมเลกุลน้ำตาลขนาดเล็กจิ๋วที่มีชื่อคุ้นหูว่าน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้นี่เองที่เซลล์ภายในร่างกายของเราสามารถดูดซึมและเปลี่ยน น้ำตาลให้เป็นพลังงานเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ ระหว่างวัน รบกวนท่านผู้อ่านตั้งใจอ่านตรงนี้ดีๆ นะครับ เนื่องจากกลไกนี้มีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า เมื่อน้ำตาลที่ถูกย่อยมาจากแป้งนั้นถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ร่างกายของเราก็จะผลิตสารชนิดหนึ่งขึ้นมาในระดับที่สูงขึ้นกว่าปกติ เราเรียกเจ้าสารนี้ว่า "อินซูลิน" ครับ (คุ้นๆ ใช่หรือไม่ครับ โดยเฉพาะท่านที่เคยคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคเบาหวานมาก่อน) สารชนิดนี้เป็นตัวส่งสัญญาณไปยังเซลล์ภายในร่างกายให้รู้ว่ากำลังจะมีสาร อาหารซึมเข้ามาให้ได้ใช้ประโยชน์แล้วนะ เมื่อเซลล์ได้รับพลังงานจากน้ำตาลกลูโคสแล้ว ระดับของสารอินซูลินก็จะลดลงสู่ระดับปกติ กลไกนี้เองที่เป็นกลไกที่เราใช้แยกคาร์โบไฮเดรตที่ดีออกจากคาร์โบไฮเดรตที่ ไม่ดีครับ การแยกคาร์โบไฮเดรตที่ดีและไม่ดีออกจากกันนั้น เราจะใช้ตัวเลขซึ่งค่าดัชนีชนิดหนึ่งที่เราเรียกมันว่า "ดัชนีไกลเซมิค หรือ ดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index หรือเรียกย่อๆว่า ค่า Gl)" ซึ่งเป็นค่าที่บอกคุณภาพของสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตด้วย การวัดความเร็วของการย่อยและดูดซึมพลังงานเข้าเซลล์หลังจากร่างกายของเราทาน เข้าไป ง่ายๆ ก็คือคาร์โบไฮเดรตชนิดใดที่ร่างกายย่อยได้เร็ว ดูดซึมได้เร็วจะมีค่าดัชนี GI สูงขึ้น โดยในการวัดค่า GI จะใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นสารอาหารมาตรฐานใช้เปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่นๆ ซึ่งค่า GI ของน้ำตาลกลูโคสเท่ากับ 100 ครับ วิธีการวัดสามารถทำได้โดยการวัดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดที่เกิดขึ้นหลังจาก ทานอาหารชนิดนั้นๆ เข้าไป สปาเก็ตตี้เส้นโฮลวีทมี ทซอส เครื่องปรุง (สูตรสำหรับ 2 ที่) เส้นสปาเก็ตตีโฮลวีท 150 g น้ำสะอาดสำหรับต้ม เติมให้ท่วมเส้น เกลือ ป่น 1 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา สูตรซอสเนื้อ เนื้อวัวบด ละเอียด 80 กรัม น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ หอมหัวใหญ่หั่นเต๋า 2 ผลเล็ก แค รอทหั่นเต๋า 20 กรัม เห็ดแชมปิยองสด หั่นบางๆ 8 ดอก กระเทียมกลีบ ใหญ่ปอกเปลือก ซอยบางๆ 4 กลีบ มะเขือเทศลูกใหญ่ หั่นเต๋า (ไม่เอาเมล็ด) 3 ผลกลาง ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย ครึ่งช้อนโต๊ะ ผงซินเนมอน 1 หยิบมือ ผงลูกจันทร์ป่น 1 หยิบมือ ออ ริกาโน 3 หยิบมือ น้ำสะอาดเล็กน้อย เกลือป่นสำหรับแต่งรสชาติเล็กน้อย พา มาซานชีสขูดฝอย 8 กรัม พลังงานที่ได้รับต่อ 1 ที่ (โดยประมาณ) = 382 Kcal ขั้นตอนการต้มเส้น 1.ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือและน้ำมันมะกอกลงไปในน้ำเดือด ใส่เส้นลงไป หรี่ไฟเบาต้มให้เส้นนิ่มนานประมาณ 10-15 นาที 2.นำเส้นขึ้น สะเด็ดน้ำให้แห้ง จัดใส่จานเป็นช่อพอดีคำ วิธีทำซอส 1.ผัดกระเทียมสดซอยบางกับน้ำมันมะกอกจน หอม (กระเทียมเริ่มสลดลง) เติมหอมหัวใหญ่ลงไป ผัดจนหอมสุกใส 2.ผัดเนื้อ วัวบดจนเนื้อเริ่มสุก ใส่แครอท เห็ดแชมปิยอง มะเขือเทศหั่นเต๋า ผัดจนมะเขือเทศเริ่มนิ่ม ใส่ซอสพริกและซอสมะเขือเทศ ผัดให้เข้ากัน 3.เติม น้ำเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือ และเครื่องเทศ ผัดให้งวด ยกลงจากเตา ราดลงบนยอดของเส้นสปาเก็ตตีที่จัดพอดีคำแล้ว 4.โรยหน้าด้วย พามาซานชีส เสริฟขณะร้อน TIPS : เส้นโฮลวีทเป็นเส้นสปาเก็ตตีที่มีค่า GI ปานกลาง ราดด้วยซอสเนื้อวัว ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์จึงให้พลังงานและไม่มีค่า GI อิ่มตัวช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ขอขอบคุณ:นิตยสารแม่บ้าน
Free TextEditor
Create Date : 17 เมษายน 2553 |
Last Update : 17 เมษายน 2553 1:46:36 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2244 Pageviews. |
|
|