วัฒนธรรมอาหารของมุสลิมจีนยูนนานสู่เส้นทางภาคเหนือ ประเทศไทย วัฒนธรรมอาหารของมุสลิมจีนยูนนานสู่เส้นทางภาคเหนือ ประเทศไทย อาหารการกิน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เรื่องอาหารการกินนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่คนไทยนิยมพูดกันเท่านั้น คนจีนก็เหมือนกันเห็นความสำคัญของการทานอาหารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น้อยหน้าใครๆเหมือนกัน อาหารจีนนั้นแบ่งออกเป็น 8 ประเภทใหญ่ๆ เบื้องหลังของอาหารแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันทางด้านภูมิศาสตร์ ความเชื่อ วัฒนธรรม เศรษฐกิจเป็นต้น อาหารของชาวหุยในประเทศจีนนั้นก็มีประวัติศาสตร์ยืนยาว นับตั้งแต่พ่อค้าชาวอาหรับ เปอร์เซียเข้าไปค้าขายบนแผ่นดินมังกรในช่วงกลางศตวรรษที่ 7 พบว่ามีการนำอาหารประเภทต่างๆ เข้าไปด้วย ลักษณะพิเศษของอาหารชิงเจิน(หมายถึงอาหารมุสลิม)จึงมีเอกลักษณ์พิเศษคือ สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมการกินของชาวเปอร์เซียและอาหรับ ขณะเดียวกันก็มีเป้นการผสมผสานกับสูตรต่างๆ ของอาหารใน 8 ประเภทนั้น จึงทำให้อาหารของชาวหุยมีความหลากหลายมากขึ้น บรรพบุรุษของชาวหุยที่อยู่ทางเหนือของจีนนั้นทานแป้งเป็นอาหารหลัก ส่วนทางใต้นั้นทานข้าวเป็นอาหารหลัก สมัยก่อนนั้นชาวหุยในมณฑลยูนนานต้องทานข้าวฟ่าง ธัญญาพืชเป็นอาหารหลัก หลังจากที่เริ่มมีการทำนาและมีการนำเข้ามันฝรั่ง(มันอะลู) จึงใช้อาหารประเภทนี้เป็นอาหารหลัก ปัจจุบันตามระดับคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นอาหารหลักนั้นก็มีความหลากหลายมากขึ้น โดยปกติแล้วการรับเลี้ยงแขกของชาวจีนยูนนานนั้นค่อนข้างจะมีความสมบูรณ์ แบ่งออกเป้น ลิ่วต้าว่าน(อาหาร 6 ชนิด)หรือปาต้าว่าน(อาหาร 8 ชนิด)รายการอาหารที่สืบทอดและนิยมกันคือ เนื้อน้ำแดง เนื้อเปื่อย เต้าหู้ วุ้นเส้น เนื้อนึ่ง ซูโร่ว(แกงข้าวแป้ง)เป็นต้น ปัจจุบันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นส่วนมากนิยมทานแบบปาต้าว่าน(อาหาร8ชนิด) นอกจากเนื้อแล้ว กุ้ง หอย ปู ปลาก็มีให้เห็นจากบนโต๊ะเลี้ยงทั่วไป ทำนองเดียวกันเมื่อมุสลิมยูนนานอพยพมาถึงทางเหนือของไทย ก็ย่อมนำวัฒนธรรมการกินเข้ามา โดยเฉพาะอาหารในงานเลี้ยงต่างๆ (หรืออาจกลายเป็นอาหารประจำสำหรับบางครอบครัว)มักจะพบว่า ยังมีความเป็นยูนนานอยู่ เช่นอาหารประเภทเนื้อน้ำแดง (นิยมเรียกติดปากกันว่า ฮ่งตุ๋น) แกงข้าวแป้ง(นิยมเรียกติดปากกันว่า ซูจี) เป็นต้น นอกจากอาหารหลักแล้ว ยังมีอาหารว่างที่ยังคงติดค้างอยู่ในมุสลิมยูนนานในภาคเหนือตอนบนของไทยอีกหลายประเภท เช่นขนมโหยวเซียง(ขนมทอดที่ทำมาจากแป้ง) ขนมเปี๊ยะใส้ถั่วดำแบบยูนนาน เป็นต้น ในที่นี้ขอเสนอประวัติความเป็นมาและวิธีการทำอาหารประเภทแกงข้าวแป้ง(ซูจี) จริงๆ แล้วอาหารประเภทนี้เป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารชาวฮั่น ชื่อที่ถูกต้องและอาหารประเภทนี้เรียกว่าซูโร่ว คำว่า ซู (酥) แปลว่ากรอบ คำว่าโร่ว(肉) แปลว่า เนื้อ ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นเนื้ออะไร แต่เพื่อเป็นการเลี่ยงความคลุมเครือไม่ชัดเจนในจุดนี้ มุสลิมยูนนานจึงเปลี่ยนจาก โร่ว(肉) เป็นคำว่า จี(鸡) ซึ่งแปลว่าไก่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อเรียกที่ทำให้เกิดความมั่นใจในการเรียกขานและตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของอาหารประเภทนี้ ก็ต้องย้อนไปเมื่อปลายราชวงค์ซัง ( ปี 1711 ก่อน ค.ศ. ) มีตำนานเล่ากันว่า ตอนที่ Zhouwangเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองแต่ไม่เอาใจใส่ หลังจากมีสนมที่ชื่อ SuDaji เข้าวัง พระองค์ก็ยิ่งจมปลักกับความรื่นเริงบันเทิงใจ และสนมคนนี้เมื่อได้รับความโปรดปรานจาก Zhouwangก็กลายเป็นคนที่ยโส โอหัง ไม่เกรงกลัวใคร เข่นฆ่าชาวบ้านเป็นว่าเล่น ไพร่ฟ้าประชาชนต่างก็เกรงกลัว แต่ทุกคนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ฤดูใบไม้ร่วงของปีหนึ่ง Zhouwangและ SuDaji ออกไปล่าสัตว์ แต่กลับล่าสัตว์ไม่ได้เลยสักตัว ขากลับนายพรานที่ติดตามไปจับไก่และแกะของผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง และสนม SuDaji ก็บังคับให้ผู้หญิงคนนี้ปรุงให้เสร็จ หลังจากZhouwang SuDaji ทานกันอิ่มหมีพลีมันแล้วก็เดินทางกลับ ไม่จ่ายค่าตอบแทนใดๆ แก่ผู้หญิงคนนี้เลย ผู้หญิงคนนี้เสียใจวิ่งเข้าครัวอย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นการระบายความโกรธ ผู้หญิงจึงนำเนื้อมาชิ้นหนึ่ง เปรียบว่าเป็นเนื้อของ SuDaji และสับด้วยความไปด้วยความแรงและร้องไห้ไปด้วย พร้อมกับพูดว่า นางปีศาจ แกมาทำร้ายข้า ข้าจะใช้มีดสับแกเป็นชิ้นๆ นำแกไปทอดแล้วไปนึ่ง แล้วข้าจะกินแกไม่ให้เหลือสักชิ้น จนกระทั่งสามีกลับมาพบเข้า นางก็ระบายให้สามีฟัง สามีจึงออกความเห็นว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วเราก็เรียกเนื้อที่ทำนี้ว่า SuDaji เมื่อนางได้ยินก็ยิ้มออกแล้วพูดว่า ถ้าข่าวแพร่ออกไปว่าเราทานเนื้อ SuDaji หัวเราทั้งสองคนคงขาดแน่ๆ ทันใดนั้นสามีของนางจึงพลันคิดขึ้นมาได้จึงพูดว่า ถ้าเช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นทาน Dasurou เป็นการบอกโดยนัยว่าเป็นการทานเนื้อของ SuDaji ทั้งสองมีพูดเสร็จ จึงนำเนื้อที่ซับเสร็จไปทอดและนึ่ง และทานกันอย่างเอร็ดอร่อย จึงเป้นที่มาของอาหารรสเด็ดจานนี้ หลังจากนั้นเมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป ชาวบ้านต่างก็เลียนแบบเพราะมีความเคียดแค้นสนม SaDajiเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาหารจานนี้จึงได้ชื่อว่าอาหารที่อร่อยและสามารถระบายความอาฆาตได้ หลังจากที่ ราชวงค์ซังล่มสลายประชาชนก็กลับมาอยู่เย็นเป็นสุขอีกครั้ง และชื่อของ Dasurou จึงกลายเป็น Surouหรือ Xiaosurou ในปัจจุบัน
ซูจี(แกงข้าวแป้ง)สูตรมุสลิมยูนนาน ส่วนประกอบที่สำคัญ 1 เนื้อไก่ 300 กรัม 2 แป้งสาลี 100 กรัม 3ไข่ 3 ฟอง 4 โครงไก่ 500 กรัม 5 น้ำมัน 500 กรัม 6 ขิงซอย 10 กรัม 7 กระเทียม 5 กลีบ 8 แปะกั๊ก 4 หัว 9 เกลือ น้ำตาล พริกไทยป่น วิธีการทำ 1 หั่นไก่เป็นชิ้นลูกเต๋าแล้วหมักเกลือทิ้งไว้ 2 ตีไข่และผสมแป้งสาลีให้เข้ากันพร้อมเติมไก่ น้ำตาล พริกไทยป่น เพื่อปรุงรส 3 นำน้ำมันตั้งไฟหลังจากที่น้ำมันเดือดแล้วให้ใช้ไฟอ่อนในการทอด 4 ใช้ช้อนตักไก่พร้อมแป้งลงในทัพพีที่มีน้ำมันแล้วปล่อยลงในกระทะทีละชิ้น 5 ระหว่างทอดต้องระวังความพอดีของไฟ เพราะถ้าไฟแรงไปอาจเกรียมง่าย 7 ตั้งไฟเพื่อต้มโครงไก่ พร้อมใส่กระเทียม แปะกั๊ก 8 นำไก่ที่ทอดเสร็จต้มในน้ำแกงไก่ หลังจากเดือดแล้วให้ต้มด้วยไฟอ่อนจนกระทั่งแป้งนิ่ม 9 ตักใส่ชามพร้อมโรยต้นหอมผักชี เพียงแค่นี้คุณก็จะได้ลิ้มลองกับซูจีอันโอชะ เคล็ดลับ สำหรับท่านที่ชอบทานผักหรือแพ้อาหารประเภทแป้ง สามารถเติมผักชนิดต่างๆ ระหว่างที่ต้มได้ แหล่งข้อมูลอ้างอิง: //blog.sina.com.cn/s/blog_4ca49d9f01009cdg.html //www.meishichina.com/Eat/RMenu/200812/53795.html มุสลิมเชียงใหม่ดอทเน็ต www.muslimchiangmai.net Free TextEditor มีเพื่อนเป็นจีนฮ่ออยู่ที่เชียงรายเค้าบอกว่าพ่อแม่เป็นจีนยูนาน เค้าชอบทำเส้นบะหมี่ทานเองอร่อยมาก แล้วก๋วยเตี๋ยวของเค้าเหมือนเส้นขนมจีนใส่น้ำซุปต้มกระดูกใส่หมูสับโรยด้วยหอมแดงเจียวและพริกป่นผัดน้ำมันเผ็ดๆมันๆ ปรุงออกมารสแซ่บแสบสันอร่อยอีกแบบค่ะ
โดย: ชลกานต์ IP: 180.183.13.46 วันที่: 9 ธันวาคม 2554 เวลา:9:34:20 น.
|
tonyma
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] ชุมพล ศรีสมบัติ สร้างลิงค์ของโปรไฟล์ในแบบที่เป็นตัวคุณเอง Group Blog All Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |