เอาล่ะ วันนี้วันสุดท้ายสำหรับการท่องเที่ยว
นึกแล้วก็ใจหาย แต่ก็ดีใจที่จะได้กลับบ้าน
เพราะคิดถึงลูกจะแย่อยู่แล้ว อิอิ
ตอนเช้าเราเริ่มจากการแวะไปถ่ายรูปท่าบังคับ
กันที่จุดถ่ายภาพที่ใครๆไป Paris ก็ต้องไปถ่ายกันตรงนี้
เพราะมันจะเห็นหอไอเฟิลได้สวยงามมาก
พวกเราออกกันแต่เช้า เพราะวันนี้โปรแกรมมากมาย
ถ้าไปช้าเนี่ย ทำให้เวลา Shopping ถูกเบียดไปได้
อันนี้นี่ทุกคนพร้อมใจกันตื่น
เราก็สู้ตายหลังจาก แก้ไขเรื่องวงเงินบัตรเครดิตด้วยตัวเองไปเรียบร้อย
เพราะโทรกลับมาที่ SCB ในเมืองไทยเป็นวันเสาร์
พนักงานได้แต่บอกว่า ขยายให้ไม่ได้เพราะเป็นวันเสาร์
เวรกรรม แล้วฉันจะเป็น Platinum ไปทำไมก็ไม่รู้
ขนาดก่อนไปนี่ก็โทรไปบอกเค้าแล้วนะว่าจะเดินทาง
เค้าก็บอกว่า ตามสบายเลยบัตรเรา VISA รูดที่ไหนก็ได้
พอบอกเรื่องวงเงินฉุกเฉิน เค้าก็พูดเหมือนไม่มีปัญหายินดีให้บริการ
เซ็งเป็ดกับ SCB อยู่พักใหญ่ ฮ่าๆๆๆ
เอาน่ายังไงก็รักเธอเหมือนเดิมนะ SCB อิอิ(เผื่อเค้าเข้ามาอ่าน 555)
เมื่อออกเดินทางตอนเช้า แผนการคือ เราจะไปถ่ายรูปที่หอไอเฟล แบบ วิว สวยๆ
หลังจากนั้นจะพาไปสัมผัสใกล้ๆด้วยการขึ้นไปบนหอไอเฟลเลย
พอไปที่จุดถ่ายภาพ ว้าวโชคดีไม่มีคนเลย เพราะว่ายังเช้า
มีคนบางมากมาก รูปออกมาไม่ค่อยมีคน จะติดมาก็เพื่อนร่วมทัวร์ด้วยกัน
ว่าแล้วก็ไปเลือกวิวกันตามสบายเลย มุมโน้นมุมนี่ มันส์ แต่เสียดายมันจะออกย้อนแสงนิดๆ
เราก็ถ่ายไปได้หลายมุมเลย โชคดีที่พี่บีอยู่แถวนั้น พี่บีจัดให้ถ่ายคู่ซะหน่อย
เอาล่ะหลังจากถ่ายไปได้เยอะแล้ว ก็ได้เวลาไปเหยียบหอไอเฟลตัวจริง เสียงจริง
ระหว่างทางไปก็มี City Tour เล็กน้อย พอจะเก็บภาพมาฝากได้บ้าง
* อันนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นพิพิทธภัณฑ์ ลูฟท์ ฉากจบในเรื่อง Davinci Code
* ประตูชัยอีก 1 ที่ นอกจากที่ Champs Elysee แล้วยังมีที่นี่อีก 1 อัน แต่คนมักไม่ได้พูดถึง
* ถนนหนทางยามเช้าของ Paris ไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่
* หนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสกอดคอกันบนจักรยานหยอดเหรีนญที่มีเกลื่อนอยู่ทั่ว Paris
ขนาดรถติดพี่แกยังไม่วายรักกัน อิจฉาจริง
ตอนนี้เรามาถึงที่บริเวณฐานของหอไอเฟลแล้ว คนยังกะหนอน เฮ้อ ต่อคิวยาวอีกแล้ว
ปวดฉี่ก็ปวด เอาไงดี ฉี่ตลอดเลยเน้อ ฮ่าๆๆ
เค้าว่า คนไทยเรา ไปไหนก็ ช๊อป แชะ ฉี่ ท่องไว้สาวๆ
คนจำนวนมากรอคิวเพื่อจะขึ้นลิฟท์ขงหอไอเฟล มันมี 4 ขา มีลิฟท์ 4 ตัว
ขึ้นได้ทีละ 50 คน เราก็ยืนรอกันพักใหญ่ๆ
ที่มายืนกันนี่มีทั้งพวกที่มีตั๋วแล้วไม่มีตั๋วนะ
แต่พวกเราอยู่ในกลุ่มที่มีเรียบร้อย รอขึ้นอย่างเดียว
ตอนนี้ก็มีเฮ เพราะพวกเรานับว่าดวงดี ดวงส่งเสริมกันทั้งคณะ
เพราะว่ามันมีป้าย Entree เนี่ย 2 ป้าย ไม่รู้ว่าเค้าจะเอาเหล็กกั้นอันไหนออกกันแน่
พวกเราปักหลักกันอยู่อันใกล้ แต่ก็มีอีกหลายกรุ๊ปทัวร์ที่รออยู่อีกอันนึง
ถ้าอันไหนเปิดหมายความว่า ไอ่แถวที่ไม่เปิดเนี่ย ต้องวิ่งไปต่อแถวใหม่
ซึ่งยาวมากกกกกกกกก อย่างน้อยก็รอเป็นชม.
เพี้ยงปล่อยทางนี้ๆๆ ไม่งั้นอดไป Louis Vuitton แน่แน่
เอาล่ะ เค้าเดินมาแล้ว ส่งภาษากันใหญ่ สักพักเค้าก็เดินมาเปิดตรงที่พวกเรายืนอยู่
ว้าว Merci Beaucoup ฮ่าๆๆๆ
วิ่งกันปึ๊ดๆเลย กลุ่มเรา ยืนหลาหน้าบานกลางลิฟท์เลยเรา
พอขึ้นมาได้ที่ชั้น 2 เห็นป้ายสุขา ดิฉันพุ่งไปคนแรกค่ะ ฮ่าๆๆ
เรียบร้อยสบายกระเพาะปัสสาวะมากเลย
เดินชมวิว กับซื้อหอไอเฟลที่ระลึกมาตั้งโชว์ประดับบารมีที่บ้าน ฮ่าๆๆ
เพราะไหนไหนก็ไม่ได้ซื้อ ปูนปั้นหอเอนปีซ่ามา
ที่เราซื้อมาเป็นรูปจำลองขนาด 15 นิ้ว สีเดียวกับตัวจริงของหอ
มันมีสีเงิน สีทอง และสีเหมือนทองเหลือง เราเลือกอันหลังสุด เพราะสามีบอกว่า
มันคลาสสิคที่สุด เอาซื้อมาราคา 15 ยูโรเงินสดเท่านั้น
จริงๆอยากได้แก้วน้ำ แต่กลัวแตก เลยไม่ซื้อดีกว่า
* สามีสุดเลิฟกับวิวที่ถ่ายจากชั้น 2 ของหอไอเฟล
*วิวสวยๆจากอีกทิศหนึ่งจ๊ะ
พอได้เวลาอันสมควร พวกเราก็กลับ เพราะว่าไม่มีใครขึ้นชั้น 3 กัน มันก็เหมือนเดิม
พวกเราทะยอยลงลิฟท์มาขึ้นรถที่จุดนัดพบ
*ถ่ายจาก บริเวณที่รถโค้ช จอดรอพวกเรา สวยมากมากเลย ยามกลางวันเค้าก็สง่างามไปอีกแบบ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญพบกับความสนุกสนานในห้าง Lafayette
เอา เฮ และ หน้าบานกันมาก
ทุกคนรอ รอวันนี้ เราก็รอ แต่เราไม่ได้ซื้ออะไรแล้วล่ะ เจอเซอร์ไพร์สไปซะแล้ว
ไม่กล้าซื้อของมาก เกรงพระทัย
แต่ด้วยความที่เรามีสปิริตสูงมาก ฮ่าๆๆ เราวิ่งหน้าตั้งจับมือไปกับคู่ฮันนีมูนอีก 1 คู่
นัดกันเรียบร้อยว่าเราจะวิ่งเลยนะ
เพราะเมื่อวานเย็น เจอคนรู้จักกันเค้าไปเที่ยวเหมือนกัน เค้าไปร้าน LV มาปรากฏว่า
เจอทัวร์ญี่ปุ่นมาลง แถวยาวมาก รอคิว 45 นาทีแล้วทัวร์เค้าต้องไปต่อ
ทำให้เค้าไม่สามารถซื้อได้ เค้าเสียดายมาก
แต่ทัวร์เราวางแผนเวลามาดี พี่บีให้ตั้ง 2 ชม.
แต่ด้วยความที่เรากลัวเจอทัวร์อื่นมาลง แถวก็จะยาวทำให้ไปดูอย่างอื่นต่อไม่ได้
วิ่งสู้ฟัด พอพี่บีพาไปหา คนไทยที่เป็นเหมือนประชาสัมพันธ์ของห้างอธิบายเรื่อง VAT เรื่อง
บลา บลา บลา จบปุ๊บ วิ่งป๊าดกันไปเลย
ปรากฏว่า น่าเกลียดมาก ไม่มีคนเลย
เหตุเพราะว่ามันยังเช้าอยู่ ประมาณ 11 โมง
เราก็เลยหยุดหายใจนิดนึงก่อนเดินเข้าไปกะเพื่อนๆ
ตอนนี้สามีไปไหน ไม่รู้ คงเดินตามหลังมาอย่างปลงๆ อิอิ
โชคดีอีกแล้วที่มีพนักงานคนไทย แหม LV นี่ช่างเข้าใจจิตใจคนไทยอย่างเราๆ
เม้าท์แตก สื่อสารง่าย ขายของออกไว
พี่เค้าน่ารักมาก ตอนแรกจะขอพี่เค้าถ่ายรูป แต่เนื่องมาจากอะไร เดี๋ยวติดตาม ฮ่าๆๆ
เราก็ดูเป็นเพื่อน เพื่อนในกรุ๊ป โอยรุ่นนั้นก็สวย รุ่นนี้ออกใหม่ เยอะไปหมด
พี่เค้าเอารุ่นที่เพิ่งออกวันนั้นเลย มีสาขาละ 5 ใบ
แต่เราไม่ปิ๊ง แต่เพื่อนเนี่ยปิ๊ง สอยไปแล้ว 1
กระเป๋าสตางค์ เราก็เรียกสามีมาดูเค้าชอบใบไหน ก็เอามาเลือกๆอยู่ 3 แบบ
ค่อยตัด Choice ที่ไม่ชอบออกจนได้มาซึ่งใบที่เค้าชอบที่สุดเป็นหนังแบบไทก้า
ส่วนเราเหรอ ได้แต่เมียงมองของบรรดาเพื่อนๆ
แล้วก็กำลังปลงตกอยู่ (จริงไม่ควรปลงนะ เพราะสามีซื้อของให้แล้วถูกม๊ะ)
สามีก็เดินมายิ้มๆ บอกว่าชอบใบไหน เอ๊ะ คำถามนี้แปลกๆ
แอบแฝงเป็นนัยๆ คืออะไร ถามทำไม
เค้าก็บอกว่า อะอะ ซื้อให้ใบนึง
ต๊ายตาย อกอีแป้นหล่นวูบ
จริงๆเหรอเคอะ ฮ่าๆๆๆ
และแล้วเราก็ไปสอย LV ถึงแดน Paris มาจนได้
ซื้อที่ไหนมันก็ไม่เหมือนซื้อที่ถิ่นของมันเน้อ
เคยซื้อที่ ฮ่องกง ก็คนละ Feel กัน ไม่เหมือนครั้งนี้ คนพิเศษซื้อให้ กิ้วๆ
ซื้อใบใหญ่ แถมกระเป๋าตังค์ให้อีก 1 ใบ
แหม ป๋ามาก งานนี้ ฮ่าๆๆ
และแล้วเราก็ได้ฤกษ์วิ่งไปทำเรื่อง Claim VAT
เพราะมิฉะนั้นเราจะไม่ได้ลด 12 เปอร์เซนต์
เหมือนซื้อแพง ไม่ได้ไม่ได้ ไม่ยอม
พอเสร็จจากนั้นก็ซื้อของปลีกย่อยแล้ว
เครื่องสำอางค์มั่ง Longchamp มั่ง Kipling มั่ง ดูมันทุกร้าน
ดูไปดูนาฬิกาด้วย เอาเป็นว่าวิ่งอีกแล้ว เพราะว่าเวลาที่นัดจะหมดแล้ว
วิ่งไปถึง ทุกคนกำลังดี๊ด๊า อวดโฉมกระเป๋ากันและกัน มันส์มาก
หลังจากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถไป แต่รถยังออกไม่ได้ เพราะบางคนเค้าเพิ่งมาทำ VAT
เลยต้องรอสักพัก มีตกค้างอยู่หลายครอบครัว
ตรง VAT มันทำนาน ไม่รู้ทำไม..
พอดีพี่แอนเค้าพูดเรื่องกล่องใส่กระเป๋าของ LV ว่า ต้องขอเค้าถึงจะให้
เอ่า เราไม่ได้นึกถึงเลยว่าต้องเอากล่อง ใจนึกว่าจะหิ้วขึ้นเครื่องไปกับตัว
แต่ถ้ามันมีกล่องก็เอาดีกว่า อาศัยจังหวะชุลมุนวิ่งแผ่บๆๆไปที่ร้าน
ไปขอกล่องพี่เค้า แต่พี่เค้าบริการลูกค้าอีกคนนึงอยู่
เราจะแทรกก็เสียมารยาท แต่พี่เค้าน่ารักมากๆเลย เค้าเอากระเป๋ามาให้ลูกค้าของเค้าเลือก
แล้วแว๊บเข้าไปเอากล่องมาให้ สุดยอดเลย ขอบคุณพี่มากนะคะ
ถ้าบังเอิญพี่ได้มาอ่าน ลืมถามชื่อพี่เค้า แต่ไปดูที่ใบเสร็จอาจจะมี
พอได้ถุงแล้ว วิ่งอีกแล้วค่ะ วิงกลับมาที่รถกลัวพี่บีหักคอ
ปรากฏว่าโชคดีมาถึงแล้ว เค้ายังทำ VAT กันไม่เสร็จ โฮะๆๆ
หลังจากนั้นเราก็ไปทานข้าว เป็นอาหารไทย ส้มตำ ข้าวเหนียว หมูย่าง
โอชะมากมาก คิดถึงส้มตำ
หลังจากนั้นก็ไปกันต่อที่ พระราชวังแวร์ซายด์
* ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก รูปนี้ครบ ขาดคนถ่ายคือสามีเรา
* หน้าลาน พระราชวังแวร์ซายด์
*รูปปั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
* รูปวาดโดยศิลปินสมัยนั้น จำชื่อไม่ได้ ฮ่าๆๆ
* มองไปมีแต่รูปวาดสวยๆเต็มไปหมด ขนาดห้องนอน ตามทางเดิน โอ๊ย วาดกันทุกอณูได้
* ห้องบรรทมของพระนางมารีย์ อังตัวเนท
หนังเรื่อง Antoinette จำลองห้องนี้มาได้เหมือนมากมากกกก ไปหาดูได้นะ
หนังเรื่องนี้ ทำให้ดารานำหญิงโดนโห่ ขณะกำลังฉายในโรงภาพยนต์
ฝรั่งเค้ามองว่า หนังไม่มีเนื้อ มีแต่น้ำ แต่เราว่าเราชอบเรื่องนี้นะ
พอไปถึงก็จะมีไกด์ท้องถิ่นของเค้า เป็นคนลาว แต่ว่าพูดไทยได้ชัดมาก
มากัน 2 คน สามีภรรยา พวกเราก็เดินตามเค้าต้อยๆ ฟังเค้าบรรยาย
จนกลับออกมา ถ่ายรูปแชะๆ กันพักใหญ่ แล้วก็ได้เวลาไปยังลานหนึ่ง
ที่พระนางมารีย์อังตัวเนท โดนจับมาประหารด้วยเครื่อง กิโยติน
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปกันที่ ถนน Champs Elysee
ถนนสายแฟชั่น ที่สุดปลายของถนนมี ประตูชัยยอดฮิตที่ทุกคนต้องไปถ่ายท่าบังคับ
* ปลายสุดของ Champs Elysee
* รูปนี้ไม่เกี่ยว ฮ่าๆๆ แต่ว่าห็นมันแปลกดีเลยถ่ายมาฝากแบมแบม
แบมแบมเห็นแล้วบอกว่า เข้ เข้
หลังจากนั้นก็ไปทานข้าวเย็นแล้วก็เตรียมตัวกลับโรงแรม Pack ของครั้สุดท้าย
และต้อง กะนน.ให้ดีดีด้วย อุอุ ถ่ายน้ำหนักระหว่างกระเป๋า 2 ใบให้ Balance นี่
เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย
ก่อนจะกลับเข้าที่พัก พวกเราก็อำลา Mr.Maximo
เพราะเค้าทำงานครบแล้วต้องกลับไปพักผ่อน เพราะวันรุ่งขึ้น
เค้าต้องรอรับคนไทยอีกกรุ๊ปนึงที่บินจากไทยมาที่ฝรั่งเศส และเที่ยวเลาะไปเรื่อยๆ
และ จบที่ Italy บ้านของ Maximo
* อันนี้เป็นเทพีเสรีภาพ ที่สหรัฐสร้างคืนให้กับฝรั่งเศส เพราะฝรั่งเศสไม่เอาตัวใหญ่
เพราะกลัวจะมาบดบัง หรือว่า แย่งซีน ของนางเอกอย่างหอ ไอเฟล นั่นเอง
เช้าวันสุดท้าย
ออกเดินทางมายังสนามบิน Charles de Gaulle
สิ่งที่เราต้องไปทำก่อน คือไปที่ Custom เพื่อสำแดงสินค้า และส่งใบ Claim มิฉะนั้น
ที่ทำทำมาก็ไม่ได้ลดอะไรก็เค้าเลย
ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
จนโหลดกระเป๋า เรานี่เก่งมากนน.นี่เป๊ะเลย เค้าให้ 25 Kg. ต่อ 1 ใบ
เรานี่ 24.59 กับ 18.7 เก่งมากก ไม่ได้เท่ากันเล้ยยยย
แต่ก็ผ่าน ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้ก็ลัลลา ไปฉี่ซะหน่อย
สรุปว่าไม่มีที่ไหนที่ไปเยือนแล้วเราไม่ฉี่เลย
หลังจากนั้นก็ไปเดินซื้อ Chocolate Fuchon ที่เค้าว่าต้องหากินให้ได้
เพราะมันจะมีเห็ด Truffle ชิ้นเท่าขี้ตาแมวอยู่
ราคาแพงมาก ตกก้อนละ 70 ก้อนเล็กกว่า เฟอเรโร บ้านเราอีก
ไม่ได้เค้าว่าดีก็ซื้อ ซื้อมาลองกินกัน
เจอ Chocolate เหล้า ขวดน่ารักมากๆ เอ่าซื้ออีก
เจอ Smartie กล่องหมีพูห์ เอ่าซื้อให้แบมแบม ซื้อมั่วเลย
ใช้เศษให้หมดซะ ไปซื้อ Coke มานั่งกินกับ waffle ของอิตาลี่ มั่วมาก
นั่งฆ่าเวลาสุดๆ
รูปสุดท้ายที่ Charles de Gaulle
ช๊อปจนวินาทีสุดท้าย หน้า Gate ก่อนเข้างวงช้างพี่แกยังมี duty freeไปดัก
เอ่าซื้อ Clinique แบบ Gift Set มาอีก 1 ดู๊ๆๆๆ ทำไปได้
เหมือนโรคจิตแบบว่า ก็เพิ่งจะซื้อไปที่ Duty Free ด้านนอก
ของมันก็เหมือนกันเนี่ยแหล่ะ แต่ตอนนั้นว่าจะซื้อแล้วไม่ได้ซื้อ
จบข่าวเลย อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านเรื่องราวการไป ฮันนีมูนครั้งนี้ของเรานะจ๊ะ
กลับมาแล้วก็พร้อมลุยกับงาน ไปชารท์แบตมาให้ชีวิตสดชื่น