Blog ของคุณแม่นุ้ยเองจ๊ะ คุณแม่ยังสาว น่ารัก ใจดี วิ๊ววว ฝากเนื้อฝากตัวด้วยจ๊ะ
 
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
10 สิงหาคม 2551
 
 
มิลานเมืองแห่งแฟชั่น และ ลูเซิร์นที่น่าประทับใจ

วันที่ 5 ของการเดินทาง


หลังจากเราออกจากเวนิส เมื่อวานนี้เราก็ไปแวะพักที่โรงแรม Novotel


โรงแรมนี้มีแอร์ แต่ว่าเราเปิดไม่เป็น ทำไม้ ทำไม มันไม่เย็นหว่าเนี่ย


เพิ่งมาถึงบางอ้อ ว่าเราดันไปปิดประตูส่วนห้องนอนเอาไว้ แอร์มันเข้ามาไม่ถึง ฮ๋าๆๆ


โง่บนเซ่อนะเนี่ย


คือเราก็เห็นว่า ช่องแอร์มันมี 2 ที่ คือตรงห้องนอน กับตรงหน้าห้องน้ำ


แต่ว่าตัวเปิดปิดมาอยู่ในส่วนห้องนอน ฮ่าๆๆ


แต่แอร์ที่เป่าออกมาไปอยู่ที่ช่องแอร์ด้านนอกห้องนอน เวรกรรม



ก่อนเข้านอนเราก็นึกว่าเอ มันคงเสีย ช่างมันอากาศก็ไม่ร้อนมาก


ก็เผลอหลับไป พอตื่นมาออกไปเข้าห้องน้ำโห เย็นเฉียบเลย


ไม่ได้เล่าให้ใครฟังตอนนั้น อับอายฮ๋าๆ


SmileySmileySmiley


         


เอาล่ะ ได้เวลาออกเดินทาง วันนี้เราจะไปกันที่


Milano หรือ Milan



ในสายตาคอบอล คงจะกรี๊ดกร๊าดน่าดู แต่สายตาของผู้หญิง


มันคือเมืองแห่ง Fashion โอ สวรรค์โปรด
แต่กระนั้นก็ดี พวกเราไม่สามารถช๊อปปิ้งที่นี่ได้เนื่องมาจากเวลา
ไม่ได้กำหนดมาให้พวกเราช๊อปปิ้งที่นี่ จุดหมายปลายทางของนักช๊อปคือ
ที่ฝรั่งเศสโน่นแหน่ะ หุหุ
เช้าวันนี้พี่บีพาเรามาที่อนุสาวรีย์ของ Leonado Davinci
ด้านล่างของฐานจะมีศิษย์เอกของท่าน Davinci อยู่ 4 ด้าน
ดูเท่ห์ไม่หยอก ว่าแล้วก็ชักภาพกันไปพอสมควรเลย



มาถึงคราวที่จะต้องปวดหัวกันแล้วล่ะ



ทำไมอ่ะเหรอ



ก็พี่บีบอกว่า เดี๋ยวจะพาไปชม "ดูโอโม" ที่สวยงามอลังการมาก
แต่คุณสาวๆจะต้องใจแข็งมากมาก เพราะภายในทางเดิน
ที่พี่บีจะพาพวกเราเดินไปนั่น เป็นแหล่ง Shopping Street
เมื่อก้าวเข้าไปแล้ว จะต้องมนต์สะกด
ซ้ายหลุยส์ วิตตอง ขวาปราด้า ข้างหน้า กุชชี่ หันหลังเจอ เบอแบรี่
โอแม่เจ้า พอเดินเข้าไปแล้ว มันใช่จริงๆด้วย
สวรรค์ของนักช๊อป ผู้คนที่นี่จะมี look แบบ Bussiness เดินใส่สูทสวยหล่อ
เดินไปเดินมา มาดดีกันทุ๊กกคนเลย
เสียดายที่โอกาสมันไม่อำนวยต่อการช๊อป  ขอแค่ window shopping แล้วกัน
ยืนน้ำลายไหลกันอยู่พักใหญ่ เพราะมีเวลาถ่ายรูปในนี้ประมาณ
15 นาทีเท่านั้น พวกเราต้องไปกันต่อ ไม่งั้นจะไม่ได้แวะที่ลูเซิร์น
เป็นของแถม เพราะในกำหนดการไม่มีการไปเที่ยวลูเซิร์น



** รูปนี้ถ่ายที่หน้าร้าน LV ที่ MILAN เลิศมากค่ะ ดูดูไปก็เหมือนเกสรบ้านเรา
แต่ที่มันไม่เหมือนก็คือตัวตึกตัวอาคารมันไม่รู้กี่ร้่อยปี สวยมาก
โดมข้างในถ้านึกไม่ออก ก็นึกถึงหัวลำโพงบ้านเราไว้ แต่ความสวยงาม
มันคนละเรื่องกันเลยจ้า



** รูปนี้พอดีถ่ายติด หนุ่มหล่อสาวสวย ที่เดินไปมาอยู่ เพราะที่ Italy เป็น
วันทำงาน วันจันทร์มั้ง ถ้าจำไม่ผิด


ตอนนี้ก็ได้เวลาออกมาที่นัดพบกลางลานหน้า ดูโอโม
โอโห ช๊อค สนิทเลย เจอความอลังการ กับความละเอียดละออเข้าไป
แทบลืม ร้านแบรนด์เนมเมื่อกี้ไปเลย วิหารที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า
เป็นอะไรที่อลังการงานสร้างมาก เป็นหินอ่อนสีขาวทั้งหมด
มียอดแหลมไม่รู้กี่ร้อยยอด ช่างเค้าใส่ใจรายละเอียดอันวิจิตรบรรจง
แม้กระทั่งลายผ้าของเหล่าเทวดาที่สวมใส่ ก็ยังมีการลงรายละเอียด



**มหาวิหาร ดูโอโมชมความอลังการกันเอาเองจ๊ะ
3 รูป



ณ.ที่ลานหน้าวิหารแห่งนี้ มีนกพิราบเยอะสุดๆ พี่บีบอกว่าให้ระวัง
ไม่ใช่ระวังนกนะ แต่ให้ระวังพวกยิบซี พวกคนผิวดำ
เค้าจะเข้ามาประชิดตัว ทำเหมือนรู้จักกันมาชาติเศษ
แล้วเค้าก็จะเอากระเป๋าเราต่อหน้าต่อตาเลยล่ะ
น่ากลัวชะมัด เราก็เลยต้องระวังทั้งนก และระวังทั้งคน
ปกติเป็นคนไม่นิยมอยู่ใกล้สัตว์ชนิดใดบนโลก ฮ๋าๆๆ
ไม่รู้ทำไม้ ทำไม บางคนบอกว่าตัวโน้น ตัวนี้ น่ารัก
เรานี่ไม่เอาสักอย่าง เห็นได้แต่ไม่ขอสัมผัส อิอิ
ลืมเล่าไปว่า ตอนอยู่ที่เวนิสเนี่ย เราโดนนกสัญชาติเวนิสขี้หล่นตุ๊บ
ลงมาที่แขนเสื้อพอดิบพอดี  โชคดีที่ไม่โดนผม โดนหัว หรือว่าโดนหน้า
ไม่งั้นล่ะก็ ความเซ็งคงอยู่กะเราไปจนกว่าจะกลับโรงแรม



พอพวกเราเดินชมความงามของ ดูโอโม แห่ง มิลานเรียบร้อย
ก็ได้เวลานัดขึ้นรถกับ Mr.Maximo เพราะว่าเค้าจะต้องวนมา
ที่โน่นไม่สามารถมาจอดแช่รอผู้โดยสารได้ เค้าจะต้องเอารถไปจอด
ในที่ที่จัดไว้ให้ พอถึงเวลานัดหมายเค้าจะขับรถมารับพวกเรา
ยืนรอกันอยู่สักพัก ต่างคนต่างเหนื่อยก็พูดคุยกันไปมา
พอขึ้นรถปุ๊บ รถออกแล่น แฟนเรากำลังจะพูดขึ้นว่า
เอ๊ะ อ.นิโคลัส กะ อ.แพท ไปไหน ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
ว่า อ.ทั้งสองยังไม่ขึ้นมา เท่านั้นแหล่ะ พี่บีทิ้งรถโดดลง แล้ววิ่ง
พวกเราก็ได้แต่มองตามเอาใจช่วย เพราะรถจอดไม่ได้
พี่ Maximo ก็วนรถไปสิ วน วน วน พวกเราก็นั่งนึกกันว่า
เอ... ใครเห็นอ.ทั้ง 2 ครั้งสุดท้ายที่ไหน เรากะสามีเห็นล่าสุดนี่
ในโดมแห่งแฟชั่นก่อนออกมาที่ ดูโอโม หลายๆคนบอกว่าเห็น
ที่ดูโอโม ก็แสดงว่าน่าจะพลัดหลงกันตรงนั้น แต่จากตรงนั้นพวกเรา
เดินเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวากันไปหลายที แยกก็เยอะ โอจะทำยังไงดี
พอรถวนมารอบที่ 2 มาแล้ว พี่บีเดินลิ้นห้อยมาเลย มองไปไกลๆ
เห็น อ.ทั้ง 2 ท่านเดินมา ทุกคนอุ่นใจตบมือกันใหญ่
ที่สำคัญคือ พี่บีนี่เก่งมาก เค้ารู้ได้ไงก็ไม่รู้ว่าเค้าต้องไปหาที่ไหน
แต่อย่างว่าแหล่ะ พี่บีเค้าเป็นไกด์มาครึ่งชีวิตแล้ว 20กว่า ปีได้
แหม ถ้าพี่บีมาอ่านต้องอยากเข็กหัวเราแน่แน่ บอกทำไมอายุฉัน ฮ่าๆๆ


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย รถก็ออกเดินทางจากมิลาน ประเทศอิตาลี่
ไปยังประเทศที่หลายๆคนใฝ่ฝันจะไปเยือน
สุดยอดแห่งความสวยงาม ธรรมชาติ และ โรแมนติก



Switzerland


เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. โอแม่เจ้า
ขอนอนพักสายตา  แต่เจอพี่บีเล่าเรื่องแม่ยายแกก็ขำไปประมาณ2 ชม.
เอาล่ะ เริ่มปวดฉี่ แต่ไม่มีการแวะ เพราะอยู่บนไฮเวย์
ระหว่างทางที่เราจะไปเมือง Interlaken ใน Swiss
จะต้องผ่านเมือง ลูเซิร์น ซึ่งเมื่อก่อนทัวร์จะต้องพาทุกคนไปที่นี่
แต่ปีหลังๆมานี่คนจะมาฮิตไปที่ Interlaken กัน เพราะว่ามันใกล้กับ
ทางขึ้นไปที่ยอดเขาจูงฟราวน์ยอร์ค สูงที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์
ช่วงที่เดินทางข้ามประเทศนี้ก็มีทิวทัศน์ที่สุดยอดของอิตาลี่
เพราะอิตาลี่ปลูกต้นไม้ได้เป็นระเบียบมาก เหมือนมีการวางแผนมา
มันอธิบายไม่ถูก คือนั่งรถนาน แต่ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะวิวมันสวย



ตอนใกล้ถึงด่านเข้าเมืองของ Swiss มีกฏอย่างเคร่งครัดว่า
ห้ามถ่ายรูปบริเวณด่านเด็ดขาด มิฉะนั้น ซวยหมู่ ฮ่าๆๆ
ก็ไม่มีใครอุตริถ่ายนะ ฮ๋าๆๆๆ
พอข้ามพรมแดนสวิสเซอร์แลนด์แล้ว วิวเริ่มเปลี่ยน เปลี่ยนไปคนละอารมณ์
ที่อิตาลี่ อารมณ์สวยศิลปะ อลังการ อิ่มเอมไปกับความน่าทึ่ง
ความยิ่งใหญ่ ตระการตา มนต์ขลังของความเก่าแก่ของสถานที่....
แต่ที่สวิส เราเปลี่ยนอารมณ์มาหาความเป็นธรรมชาติ


ถ้าเพื่อนๆเคยดูภาพวิวสวยๆของ สวิส ที่ถ่ายในหนังสือมา
ยังไงยังงั้นเลย โอมาย แต่เมื่อก่อนเราคิดว่า เออช่างถ่ายภาพนี่เค้าเก่งนะ
สามารถไปหามุมสวยๆมาได้ไง สวยมากธรรมชาติจัดสรรมาดีจริง
แต่พอเราไปเห็นด้วยตา ไม่ต้องเป็นมืออาชีพที่ไหนมาหรอก ยกกล้องไปมุมไหน
ภาพก็ออกมาสวย ขนาดยกกล้องขึ้นไปกดมั่วๆ ภาพมันยังสวย
คุณผู้ชมคิดดูว่ามันสวยขนาดไหน (ไม่เวอร์นะเรื่องจริง)


ไกด์คนเก่ง บอกว่าจะพาพวกเราเข้าไปที่ ลูเซิร์นเป็นของแถม เนื่องจาก


พวกเราเก่งมากรักษาเรื่องเวลาดีเยี่ยม ไม่มีใครมาสาย ทุกคนรักษาเวลานัด


ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเจอแบบนี้ ฮ่าๆๆ ทุกคนคงรู้ดีเน้อ



พอพวกเรามาถึงลูเซิร์นกันแล้ว คนคึกคักมากเลย เพราะก็ยังมีหลายๆทัวร์ที่มาที่นี่


พี่บีได้ชี้ให้พวกเราดู โรงแรมแห่งหนึ่งระดับ 10 ดาว


ซึ่งเป็นที่ประทับของในหลวงของเรา เมื่อพระองค์เด็จมาเยือนที่นี่


ใหญ่อลังการ แต่ว่าเสียดายว่าถ่ายรูปไม่ทัน


ที่นี่เป็นอีกทีนึงที่โด่งดังมากสำหรับคนที่เคยไป Swiss


เพราะที่นี่แหล่ะเป็นที่ตั้งของร้าน Bucherer ที่เป็นศุนย์กลางการขานนาฬิกา


แบรนด์ดังๆอย่าง Rolex, Tag Heuer, Tudor, Catier, etc.


พี่บีพูดติดตลกว่า คนไทยบ้ามาซื้อ Rolex กันที่นี่จนทางร้านชักธงไทยขึ้นเหนือร้าน


 


ที่ลูเซิร์น นอกจากจะมีเรื่องราวต่างๆที่พี่บีเล่าให้ฟังแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่ประทับใจก็คือเรื่องของ


อนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้


ที่อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับทหารสวิส 300 คนที่ไปเสียชีวิตที่ฝรั่งเศส


ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พวกเรารู้กันดีว่าเกิดเหตุการณ์จราจล


ประชาชนลุกฮือขึ้นปฏิวัติและต้องการนำตัวพระนางมารีย์ อังตัวเนท ไปประหาร


พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้จ้างทหารรับจ้างชาว สวิส 300 นายไว้ด้วย


เมื่อเกิดเหตุการณ์จราจล ประชาชนบุกเข้ามาในพระราชวังแวร์ซายด์


ทหารรักษาพระองค์ของพระนางมารีย์ อังตัวเนท ที่เป็นชาวฝรั่งเศสเห็นท่าไม่ดี


ดันชิ่งหนีไปก่อน เหลือเพียงทหารรับจ้างชาวสวิส 300 นายที่อยู่เคียงข้างพระนาง


และทหารเหล่านั้นโดยประชาชนชาวฝรั่งเศสรุมฆ่า ทำร้าย ตายหมด


ที่สวิสจึงสร้างอนุสรณ์สิงโตร้องไห้ ให้กับเหล่าทหาร 300 นายที่จบชีวิตอย่างน่าสงสาร


และนี่เอง ทำให้ที่สำนักวาติกัน จ้างทหารสวิส เป็น Guard อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้


พอลงจากรถ เราซึ่งปวดฉี่มาตั้งแต่2 ชม.ที่แล้ว รีบถามพี่บีเลยว่า


สุขาอยู่หนใด


พี่บีบอกว่า อยู่ตรงอนุสาวรีย์เลย โอย โกยแน่บ ตามตูดพี่บีไป คนคงสงสัยว่า ไอ่นี้มันจะรีบไปไหน


อยากดูสิงโตมากขนาดนั้นเหรอ ไปถึงแล้วสามีที่รักบอกว่า


ไปถ่ายรูปกันเร็วไม่มีคนเลย น้ำสีเขียวมรกต อยู่คู่กับสิงโตแกะสลัก


รถของเราต้องขับทะลุภูเขาเข้าไป ยิ่งนั่งไปนานนานก็จะพบว่าเริ่มมีอุโมงค์เยอะ
เยอะขึ้น เพราะเรายิ่งวิ่งเข้าไปใกล้เทือกเขา จนสุดท้าย วิ่งไปนี่มืด สว่าง สลับ
ไปมาอยู่อย่างนี้ แถมพี่บีไกด์คนเก่งนี่เก่งขนาดว่า แกมาบ่อยจนแกจำได้ว่า
โค้งไหนมีอะไร ฮ่าๆๆๆ พวกเรานั่งกันอยู่พี่บีก็แบบว่า เอ๊าๆๆ เดี่ยวพ้นทางออก
ของอุโมงค์นี่ด้านขวามือ ถ่ายเลยนะ วิวสวยมาก(ด้านฝั่งเราพอดี)
แต่พอพี่บีพูดจบเนี่ยไม่ถึง 3 นาทีอุโมงค์หมด โผล่ออกมาเป็นเวิ้งทะเลสาบ
ที่สวยแบบว่า สวยน้ำตาไหล เราจับมือกะแฟนเลย คืออิจฉาคนสวิส
บนโลกใบนี้ทำไมหน้อ ไปตัดไม้ทำลายธรรมชาติกันได้ลงคอ เฮ้ออ


และแล้วก็เริ่มใกล้จะถึง Interlaken เพราะเราผ่านทะเลสาบที่ไปเชื่อมต่อกับ
ทะเลสาบInterlaken รถจะขึ้นเขาวนไปซ้ายไปขวา เหมือนขับขึ้นเขาที่เชียงราย
โอ เราขี้เมารถซะด้วย โอยรู้สึกปริ่มๆมาที่คอ ทันได้นั้นเองด้วยสัญชาตญาณ
มุคคุเทศก์มือฉมังก็งัดเรื่องเด็ด ของ คนอินเดีย ที่ไปขึ้นเขาเล่นสกีมาให้ฟัง
ขำจนลืมอ๊วกเลย ขำแบบว่า ฮามากที่สุดในบรรดาทุกเรื่องที่แกเล่ามา
ถ้าให้โหวต ขอโหวตเรื่องนี้จ๊ะ


เย้ถึงแล้วเมืองInterlakenแสนสวย น่ารักมาก บ้านทรง country เหมือนใน
ความฝัน โอสวยมาก โรมแรมที่เราไปพักกัน เป็นโรงแรมเดียวในInterlaken
ที่สร้างเป็นตึกสูงขึ้นมา เพราะรัฐบาลออกกฏห้ามสร้างตึกสูงเกิน 3 ชั้น
เพราะจะทำให้วิวของ Interlaken เสียหาย มองไปเลยไม่เห็นตึกเลย เห็นแต่บ้านไม้
น่ารักๆ ลายล้อมรอบทะเลสาบ
พอถึงโรงแรมก็แยกย้ายกันไปเอาของไปเก็บ เพราะเราจะพักที่นี่ 2 คืนเลย
เยี่ยม ด้วยความที่โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเดียวที่สูงขึ้นมา เราได้ที่พักชั้น 7
เปิดหน้าต่างออกไปนี่ โห วิว มองไปเห็นจุงฟราวน์อยู่เบื้องหน้า ประกอบกับ
หิมะขาวโพลน สุดยอด แถมวิวบ้านสวยๆหลังเล็กหลังน้อย


วันนี้พอแค่นี้ก่อน พิมพ์มา 2 ครั้งแล้วแฮงค์ไป รีบอัฟก่อน






Free TextEditor


Create Date : 10 สิงหาคม 2551
Last Update : 12 สิงหาคม 2551 17:40:51 น. 0 comments
Counter : 570 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

Mommynuy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Mommynuy's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com