เล่าเรื่องเมืองจีน....เวอร์ชั่น 2003
สวัสดีวันเเดดเเจ๋ค่ะ .วันนี้ขอเก็บน้ำพริกถ้วยเก่ามาอุ่นใหม่นะคะ ไหนๆมีบล๊อกเป็นที่เป็นทาง เเละเป็นของตัวเองเเล้ว ก็ขอเก็บเรื่องต่างๆที่เคยไปฝากไว้ที่ห้องเเม่บ้าน มาเก็บไว้ที่บล๊อกตัวเอง เรื่องนี้เขียนเอาไว้เมื่อสามปีที่เเล้ว ตอนไปเซี่ยงไฮ้เเละWuxi บางคนอาจเคยได้อ่านเเล้ว ส่วนใครที่ยังไม่เคย ก็อย่าได้คาดหวังเนื้อหาสาระอันใดจากเรื่องนี้ เพราะว่าเน้นความบ้าเเอนด์ฮาเเละเเอบเมาท์เล็กๆตามนิสัยเบื้องลึก(หรือที่เรียกว่า.......)ของเจ้าของบล๊อก ก๊อปเอาเนื้อเรื่องในส่วนสำคัญมาให้อ่าน เเต่ถ้าใครอยากดูรูปเต็มๆด้วย ก็คลิกตรงป้ายเวลคัมเลยค่ะ เชิญสำราญ(หรือรำคาญ) ได้ตามอัธยาศัยค่ะ.........แรกเลยที่รู้ว่าต้องตามก้นสามีมาที่เมืองจีน ดิชั้นออกจะปอดเเหกเรื่องซาร์สอยู่ไม่น้อย เเม้ว่าทางองค์การอนามัยโลกจะประกาศถอดถอนรายชื่อประเทศจีน ออกจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเเล้วก็ตาม หรือเเม้กระทั่งว่าเชื้อโรคในตัวดิฉันนั้นน่ากลัวกว่าซาร์สก็ตาม ยังวางใจไม่ได้ค่ะ เเต่พอผ่านเข้าสนามบิน Pu dong ของเซี่ยงไฮ้ เห็นมาตรการอันจริงจัง เริ่มตั้งเเต่กล้องวีดิโอ ตรวจจับอุณหภูมิ ที่ผู้โดยสารขาเข้าทุกคนต้องเดินผ่าน ใครเกินกว่ากำหนด ก็จะถูกอันเชิญเข้าห้องตรวจร่างกายกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงรถเข็นกระเป๋า คุณจะทะเล่อทะล่าเดินไปกระชากลากมาจากซองไม่ได้นะคะ (เค้าล่ามโซ่เอาไว้ค่ะ) คุณต้องไปเข้าคิวรับรถเข็นในเเถวที่เค้าจัดไว้ให้ จะมีเจ้าหน้าที่คนนึงพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค อีกคนก็คอยเช็ดขัดถูก่อนส่งให้ผู้โดยสาร ทำให้ปอดที่เเหกอยู่เริ่มหุบเข้าสู่สภาวะปรกติ ยิ่งเข้ามาในเมือง ได้เห็นผู้คนดำรงชีวิตอยู่อย่างเราๆท่านๆ ไม่เห็นใส่หน้ากากกาโม่กันเลย อย่างที่เห็นกันตามข่าว เลยทำให้ดิฉันวางใจขึ้นเยอะ งานที่สามีจะต้องเริ่ม ไม่ได้เริ่มที่เซี่ยงไฮ้ เราต้องไปทำงานที่เมือง wuxi เป็นเมืองที่อยู่ห่างจากเซี่ยงไฮ้ประมาณร้อยกว่ากิโล หลังจากการลงโปรเเกรมให้กับสโตร์ (Auchan) ที่นี่เเล้ว ถึงจะเข้าออฟฟิตใหญ่ที่เซี่ยงไฮ้ เมืองวูซิ หรืออีกนามหนึ่งคือ เซี่ยงไฮ้น้อย ที่ได้ฉายานี้ เพราะว่าอลังการเเละตระการตาไม่น้อยกว่าเมืองเซี่ยงไฮ้ ดาษดื่นไปด้วยตึกระฟ้า ผู้คนขวักไขว่มากมายจนน่าเวียนหัว เป็นเมืองเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งหลาย เเบรนด์ดังๆจากทั่วโลกหลายเเบรนด์ ก็มีมาจากโรงงานที่ผลิตที่เมืองนี้เหมือนกัน เพราะว่าเมืองจีนมีชื่อเรื่องการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เเละค่าเเรงต่ำ พูดถึงเรื่อง textile ของที่นี่เเล้ว ขอเมาท์เรื่องเเฟชั่นของอาหมวยที่นี่กันหน่อยเถอะ........ไม่ค่ะ ม่ายช่าย คุณเดาผิดเเล้ว เค้าไม่เฉิ่มไม่เชย อย่างที่เรานึกไว้เลย วัยรุ่นเเละสาวๆที่นี่ เเต่ตัวกันได้อาเซเดเฮมากเลยค่ะ เเล้วช่วงที่อิชั้นไปเยือนเมืองจีน เป็นช่วงหน้าร้อนของเค้าพอดี ผู้คนเลยพากันเเต่งกายรับลมร้อนกันเเบบสุดชีวิต (มันร้อนจริงๆนะคะ อุณหภูมิอยู่ที่ 38-40 องศา อ่ะค่ะ) อาหมวยสาวๆพากันใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น ที่สั้นชนิดเเบบที่เรียกว่าเห็นเเก้มก้น คนกล้า หน้าด้านอย่างดิฉัน เห็นเเล้วยังต้องหลีกทางให้พวกอาเจ๊เเก นอกจากจะสั้นเร้าใจเเล้วนะคะ ยังฟิตชนิดที่เห็นเเล้วหายใจไม่ออกค่ะ เดินกางร่มนวยนาด เป็นที่เจริญหูเจริญตายิ่งนัก วันเเรกๆที่เห็นสาวๆเค้าเดินกางร่มกัน อิชั้นออกจะขำ เพราะว่าที่ยุโรปมีเเต่คนวิ่งหาเเดด ตากเเดดกันเเบบสู้ตาย หัวเราะอาหมวยเสร็จ ก็มานึกได้ว่า เอ้ย...ตอนเราอยู่เมืองไทย เราก็เป็นเเบบนี้นี่หว่า เเม้ว่าจะตัวดำเหมือนถ่านเป็นทุนอยู่เเล้ว เเต่ว่าลงจากรถเมื่อไหร่ ก็ต้องกางร่มปั๊บเมื่อนั้น เลยรีบหุบยิ้มซะ เพราะว่าเหมือนหัวเราะเยาะตัวเองค่ะ อ้อ...ลืมบอกไปว่า เมื่อท่อนล่างสั้นกุดจนเกือบเป็นกางเกงลิงได้ขนาดนั้น มีหรือที่ท่อนบนจะพ้นสายเดี่ยวเกาะอกไปได้ ยิ่งกลางคืนตามผับนะคะ บางนางเล่นสายเดี่ยวเเล้วโนบราเดินเด้งดึ๋งไม่เกรงใจสายตาใครด้วย ดิชั้นละอยากถ่ายรูปมาให้ดูนักเชียว เเต่กลัวโดนตบด้วยร่ม เลยขออภัยที่มิสามารถ หารูปมาประกอบคำบรรยายได้นะคะ อีกอย่างที่จั๊กกระเดียมความรู้สึกดิฉันมากเลยก็คือ กุงเกงลิงจีสติงเมืองจีน วาบหวิวววววว มากเลยค่ะ วันหนึ่งเดินโฉบไปที่เเผนกชุดชั้นในเข้า เห็นน้องจีที่นี่เเล้ว อะฮั้นก็ยืนจ้องๆๆๆ เเบบว่าทำไมมันเล็กมากได้ขนาดนั้น น้องจีที่ว่านี้ทั้งตัวเป็นสายเส้นเดียวที่เล้กกกกกมาก ด้านหน้าจะเป็นผ้าลูกไม้ที่ตัดเป็นรูปผีเสื้อ รูปดอกไม้ รูปหอย (หอยจริงๆค่ะไม่ได้ทะลึ่ง) เป็นลูกไม้เเบบซีทะลุ (ซีทรูยังน้อยไป) เเต่ตัดเป็นชิ้นที่เล็กมาก เรียกว่าปิดอะไรมิได้เลย เเขวนไว้เป็นตับเลยนะคะ เเสดงว่าดีมานด์สูงไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าสาวจีนวันนี้ล้ำยุคเหลือเกิน ดิฉันยังมีความคิดเเบบเดิมๆอยู่ตอนก่อนมา ว่าเมืองเล็กๆผู้คนคงยังเหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา นังปลาทองเลยไปขนซื้อเสื้ออผ้าสไตล์จีนที่ไชน่าทาวน์ในมิลานไว้หลายตัว (ที่อิตาลี เเฟชั่นเเบบจีนๆกำลัง in มากค่ะ) กะว่าพอมาถึงวูซิ ดิชั้นคงจะกลมกลืน ด้วยหน้าตา (เเม้ว่าจะดำผิดอาหมวยไปหนอ่ย) เสื้อผ้า เเละผมเปีย ปรากฏว่าดิชั้นคิดผิดอย่างเเรง สาวๆผู้นำสมัยทั้งหลาย มองดิชั้นเเบบขำๆ เหมือนดิชั้นมาจากนอกโลก ความมั่นใจ ของดิฉันสั่นคลอนทันที ทำให้ต้องรีบเเจวกลับโรงเเรม งัดเอากางเกงยีนส์เเละผ้าใบสุดเยินมาใส่ดังเดิมยิ่งในเซี่ยงไฮ้นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ถนนสายช๊อปปิ้งนี่ เหมือนเป็นถนนประชันเเฟชั่น เเล้วสาวที่นี่นอกจากจะผิวสวยอย่างน่าอิจฉาเเล้ว หุ่นดีมากค่ะ เเทบไม่มีพุงยื่นออกมาให้เห็นเลย อีกเรื่องที่ขอเมาท์ต่อคือเรื่องวัฒนธรรมการวางตัว ก่อนมา ดิฉันสั่งสามีไว้นักหนาว่า เวลาเราอยู่เมืองจีน ไปไหนมาไหนอย่ามาจับมือถือเเขนฉันนะ ที่เมืองจีนเค้าโบราณมากเรื่องนี้ เเล้วเราไปเมืองเล็กๆด้วย ไม่ดีๆอย่าทำ สามีก็เข้าใจ รับคำเเละปฏิบัติตามอย่างดี เเต่เเล้ววันหนึ่ง ดิฉันก็โดนสามีก็หัวเราะเยาะใส่ เมื่อเราไปเห็นวัยรุ่นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง นังจูบกันในมุมหนึ่งของร้านอาหารฟาสฟู้ดชื่อดัง เป็นอันว่าจบข่าวเลยค่ะ.... เหอ เหอมาเล่าเรื่องอาหารมั่งดีกว่าค่ะ อาหารจีนเเท้ๆนั้น อร่อยมากกกกกกกกกค่ะ มาได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ ตาชั่งกระดกขึ้นมาอีกสามกิโล ดิชั้นจ้องหน้าปัทม์(เขียนไงคะ)เครื่องชั่ง จนลูกตาเเทบหลุด มันก็เพิ่มมาสามกิโลจริงๆค่ะ จะไม่ให้อ้วนได้ไงคะ เพราะว่าทุกวันมื้อกลางวันเเละเย็น นังปลาทอง จะไปเสนอหน้าทานข้าวพร้อมๆกับโปรเเกรมเมอร์ คนจีนอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานของสามีที่นี่ พี่ท่านทั้งหลายก็จะพากันสั่งอาหารซะเยอะเเยะ เเบบว่ากินกันได้เจ็ดตำบล เค้าทานกันเยอะมากเลยค่ะ เเล้วอาหารเเต่ละอย่างก็อร่อยรสสนุกล้ำปานนั้น ดิฉันก็ลองมันหมดทุกอย่าง ตั้งเเต่มดทอดกรอบ ตะพาบน้ำตุ๋นยาจีน (อย่าทำหน้าเเหวะซิคะ อร่อยนะ เเพงด้วย) เเต่เเมงป่องทอดนี่ไม่กล้ากินค่ะ กลัวมันหนีบปาก เเละทานข้าวที่นี่ช้าไม่ได้นะคะขอบอก เพราะเมื่ออาหารมาถึง ทุกท่านก็พุ่งตะเกียบใส่อาหาร เหมือนอเมริกาถล่มอิรัก ทำให้เราสองตายายต้องติดขีปนาวุธมั่ง ไม่งั้นหมดอดเเหลกค่ะ((ยังมีตอนต่อค่ะ เเล้วจะมาเเปะวันหน้าค่ะ วันนี้ขอตัวไปรีดผ้า ดูดฝุ่น ตักหิมะ ทำกับข้าวก่อนค๊า))
แต่ห้องน้ำยังรักษาวัฒนธรรมเอาไว้ดีอยู่
พอเปิดประเทศแล้วอะไรต่ออะไร ไหลเข้าเร็วไปหน่อย
หนูว่า มันน่าเศร้าเหมือนกันนะคะเนี่ย
เอาอีกค่ะพี่ปลาทอง มาแปะใหม่ไวๆนะคะ สนุกมากค่ะ