นครปตานี พุทธศักราช ๒๑๕๙-๖๗๙
ราตูบีรู : นางพญาตานี และกษัตริยาแห่งสหพันธรัฐปตานี
เจ้าหญิงรัชทายาท ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "ราตูบีรู" กษัตริยาองค์ที่ ๒ แห่งนครปตานีในปีพุทธศักราช ๒๑๕๙
ตลอดกว่า ๓ ทศวรรษ ที่ปฏิบัติภารกิจในฐานะเจ้าหญิงรัชทายาทเคียงข้างพระพี่นางฮิเจา ราตูบีรูทรงตระหนักได้ว่าความรุ่งโรจน์ของนครปตานีในฐานะเป็นเมืองท่าสำคัญของการค้าบนคาบสมุทรมลายูนั้น ได้ทำให้นครปตานีกลายเป็นเป้าหมายของของกรุงศรีอยุธยาที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ เวลานั้น
ประสบการณ์การเมืองและการทูตที่เรียนรู้สั่งสมครั้งเป็นเจ้าหญิงรัชทายาท ทำให้ราตูบีรูทรงเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์กับสยามไว้อย่างชาญฉลาด
ในขณะที่ยังคงสืบต่อพระราชวิเทโศบาย สมัยพระพี่นาง ด้วยการส่งบุหงามาศมาสานไมตรีกับเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา อีกด้านหนึ่งราตูบีรูทรงส่งคณะทูตไปเข้าเฝ้าสุลต่านเมืองกลันตัน เพื่อหารือเกี่ยวกับการรวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐปตานี เพื่อต่อต้านอิทธิพลของกรุงศรีอยุธยา เมื่อผลการเจรจาผ่านคณะทูตไม่เป็นที่พอพระทัย ราตูบีรูเสด็จด้วยพระองค์เองไปเยือนกลันตัน ในครั้งนี้สุลต่านกลันตันทรงมีความเห็นคล้อยตามข้อเสนอของราตูบีรูในการรวมตัวเข้าเป็นสหพันธรัฐปตานี๑๐ แต่มีเงื่อนไขว่ากลันตันต้องคงอำนาจปกครองเหนือดินแดนตนเอง และจะไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการหรือภาษีจากกลันตันให้กับนครปตานี
เพื่อรักษาอธิปไตยเหนือแผ่นดินปตานี ราตูบีรูยังได้สร้างกำแพงเมืองแข็งแกร่งที่ชาวเมืองเรียกขานกันว่า "กำแพงบีรู" ทั้งยังมีบัญชาให้หล่อปืนใหญ่ไว้ใช้ในการปกป้องนครยามเกิดศึกสงคราม ในการหล่อปืนใหญ่นั้น พระองค์มีพระบรมราชโองการให้รวบรวมทองเหลืองทั้งหมดที่มีในพระนครเพื่อใช้ในการหล่อปืน ทรงสั่งห้ามพสกนิกรขายทองเหลืองที่มีอยู่ในครอบครองให้กับชาวต่างชาติเป็นระยะเวลา ๓ ปี แต่ให้นำมาขายกับพระองค์ หากผู้ใดฝ่าฝืนผู้นั้นต้องรับโทษประหารชีวิต
ทองเหลืองที่รวบรวมได้นั้นนำมาหล่อปืนใหญ่ได้ ๓ กระบอก๑๑ ซึ่งราตูบีรูพระราชทานนามว่า ศรีนครา ศรีปตานี และมหาเลลา
นอกจากพระราชกุศโลบายเพื่อปกป้องรักษาเอกราชของสหพันธรัฐปตานีแล้ว ราตูบีรูยังมีสายพระเนตรกว้างไกลในการดำเนินพระราชวิเทโศบายเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ขณะที่เหล่าเสนาบดียังคงโรมรันพันตูอยู่กับการเมืองในราชสำนัก ราตูบีรูทรงดำเนินพระราชวิเทโศบายตามรอยยุคลบาทของพระพี่นางผู้ล่วงลับ พระองค์ทรงส่งเสนาบดีไปเชิญพระน้องนางอุงงู มเหสีม่ายของเจ้านครปะหัง๑๒ และเจ้าหญิงกูนิง พระราชธิดากลับมาประทับที่นครปตานี
หลังจากนั้น พระองค์ทรงสร้างตำนานรักเพื่อแผ่นดินบทที่ ๒ ของนครปตานี ด้วยการพระราชทาน "เจ้าหญิงกูนิง" พระนัดดาวัย ๑๒ ปี ที่ร่ำลือกันนักว่าทรงพระสิริโฉมงดงามและมีพระฉวีสีเหลืองนวลลออตา ให้เสกสมรสกับออกญาเดโช บุตรชายของเจ้าเมืองลิกอร์๑๓ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยา เป็นพระราชกุศโลบายเพื่อสานสัมพันธ์แนบแน่นกับสยามที่ทรงอิทธิพลในขณะนั้น
นิรมิตแห่งพระนาม "บีรู" สีฟ้าสวยใสของสายรุ้งนั้น เป็นที่ประจักษ์แจ้งในตำนานนครรัฐปตานี ถึงความเป็นกษัตริยานักการทูตที่อ่อนนอกแข็งใน พระจริยวัตรอ่อนหวานขององค์ราตูบีรูนั้น ซ่อนไว้ด้วยเล่ห์กลทางการเมืองที่ทั้งขุนนาง ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน และผู้รุกรานมิอาจหยั่งถึง
ด้วยพระปรีชาสามารถ พระราชกุศโลบายแห่งรักเพื่อแผ่นดินที่ราตูบีรูดำเนินสืบต่อมาจากพระพี่นางฮิเจา อาณาจักรโบราณนามปตานี จึงยังคงรุ่งโรจน์เรืองรองภายใต้รัชสมัยของพระองค์ พสกนิกรยังคงดำเนินชีวิตรื่นรมย์สืบเนื่อง มิได้มีศึกสงครามมากล้ำกรายให้ชีวิตที่สงบสุขในนครปตานีต้องเปลี่ยนแปรไป
ราตูบีรูสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช ๒๑๖๗
ศิลปวัฒนธรรม วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 28 ฉบับที่ 05
|
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 28 30
MY VIP Friends |