ประวัติความเป็นมาของเพลงฉ่อย เพลงฉ่อยเป็นเพลงพื้นบ้าน บทกลอนที่ใช้ร้องเป็นแบบเดียวกับเพลงเรือวิธีเล่นจะรวดเร็วกว่าเพลงเรือ นิยมแสดงในจังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 9 ได้กล่าวถึง ฉะหน้าโรง (ฉ่อย) ไว้ดังนี้
ฉะหน้าโรง (ฉ่อย) เป็นการร้องเพลงฉ่อยหรือเพลงทรงเครื่องในตอนเบิกโรง การแสดงเพลงฉ่อย หรือเพลงทรงเครื่อง โดยประเพณีแล้วจะต้องเริ่มต้นด้วยการไหว้ครู คือทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะออกมาร้องไหว้คุณพระรัตนตรัย คุณครูบาอาจารย์ ตลอดจนคุณบิดร มารดาเสียก่อน เมื่อจบแล้วปี่พาทย์ก็จะบรรเลงเพลงสาธุการ ครั้นเพลงสาธุการจบลงแล้วพ่อเพลง(หัวหน้าฝ่ายชาย) ก็จะเริ่มร้องเป็นการประเดิมเบิกโรง บางคณะก็จะร้องว่า
พอจนส่งลงวา.............ปี่พาทย์รับสาธุการ
ฆ้องระนาดฉาดฉาน......ชาวประชามามุง
กลองก็ตีปี่ก็ต๊อย..........พวกเพลงก็ทอยกันมุง..ไป
ในตอนนี้ซึ่งเรียกว่า ฉะหน้าโรง การว่าเพลงกันในตอนนี้ผู้ชายจะร้องเชิญชวนจนฝ่ายหญิงออกมาร่วมร้องด้วย แล้วก็เกี้ยวพาราสีและว่าเหน็บแนมกันเจ็บ ๆ แสบ ๆ ถ้อยคำระหว่างชายหญิงที่ร้องว่ากันในตอนนี้ ในสมัยโบราณจะเต็มไปด้วยคำหยาบโลน อย่างดีก็เป็นสองแง่สองง่ามโดยตลอด เรียกการร้องตอนนี้ว่า ประ เห็นจะย่อมาจาก ประคารม การร้องเพลงฉะหน้าโรงนี้เป็นตอนที่ผู้ชมชอบฟังกันมาก เพราะจะได้เห็นความสามารถของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงใช้ปฏิภาณปัญญาร้องแก้กันได้อย่างถึงอกถึงใจ ถ้าผู้ร้องแก้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ไม่ตกก็เป็นที่อับอายกัน ครั้นว่า ประ ในตอนฉะหน้าโรงนี้จนหมดกระบวนแล้ว ในสมัยโบราณมักจะร้องส่งให้ปี่พาทย์รับเพลงหนัง เพลงที่ร้องนี้ คือ เพลงพม่าห้าท่อน 2 ชั้น เฉพาะท่อนต้นท่อนเดียวและยังทำให้เพลงได้ชื่อว่า เพลงพม่าฉ่อย ไปด้วย เมื่อเพลงพม่าฉ่อยนี้จบแล้ว ถ้าเป็นการเล่นเพลงฉ่อยก็จะร้องกันต่อไปตามแนวที่จะว่ากันอาจเป็นแนวการลักหาพาหนี หรือไต่ถามความรู้เป็นปัญหาธรรม หรือขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆแต่ไม่ว่าจะร้องด้วยเรื่องอะไร ฝ่ายชายก็มักจะตอบวกเข้าเป็นเชิงสองแง่สองง่ามหยาบโลนอยู่เสมอ แต่ถ้าเป็นการแสดงเพลงทรงเครื่อง พอจบเพลงพม่าฉ่อยแล้ว ปี่พาทย์ก็จะบรรเลงวาหรือเพลงเสมอ ตัวแสดงออกมาเริ่มแสดงเป็นเรื่องราวต่อไป การแสดงเพลงทรงเครื่องนั้นแสดงเหมือนละครหรือลิเก ผู้แสดงแต่งเครื่องปักดิ้นเลื่อนแพรวพราวอย่างเดียวกัน แต่สมัยนั้นผู้แสดงต้องร้องเองและเพลงที่ร้องดำเนินเรื่องหรือพรรณนาใด ๆ ต้องใช้ทำนองเพลงฉ่อยทั้งสิ้น จะมีร้องส่งปี่พาทย์รับบ้างก็เพียงเล็กน้อย ส่วนเพลงหน้าพาทย์เชิด เสมอ โอด ฯลฯ มิใช่เช่นเดียวกับละครลิเก อาจารย์สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ได้กล่าวถึง เพลงฉ่อย ในวรรณคดี และวรรณกรรมปัจจุบันไว้ตอนหนึ่งว่า
การเล่นเพลงฉ่อย จะมีการปรบมือให้จังหวะ เนื้อเพลงนั้นคล้ายกับ เพลงพวงมาลัยและเพลงนี้ก็จะต้องจบลงด้วยสระไอทุกคำกลอนเช่นกัน แต่เมื่อจะถึงบทเกี้ยว ลักษณะเพลงจะคล้ายเพลงเรือลูกคู่นอกจากจะคอยปรบมือให้จังหวะแล้ว ก็จะต้องรับตอนจบว่า
ชา เอ๋ ฉา ชา หน่อย แม่ เอยสำหรับแม่เพลงก่อนจะขึ้นบทใหม่ทุกครั้งต้องขึ้นว่า
โอง โงง โง โฮะ ละ โอ่ โง๋ง โง๋ย ในบทหนึ่งจะว่ายาวสักเท่าไรก็ได้
วิธีเล่นเพลงฉ่อย
ผู้แสดง แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง มีพ่อเพลงและแม่เพลง เริ่มด้วยการไหว้ครู ใช้กลอนเพลงอย่างโคราช การร้องจะมีต้นเสียงและลูกคู่ร้องรับ ดนตรีใช้การตบมือเป็นจังหวะ การเล่นเพลงฉ่อยนั้นได้แยกแยะวิธีการเล่นออกไปอีกหลายอย่างโดยคิดผูกเป็นเรื่องสมมติขึ้นเพี่อหาทางใช้วาทศิลป์ได้แปลก ๆ เช่น ชุดสู่ขอ ลักหาพาหนี ตีหมากผัว และเชิงชู้เป็นต้น
ชุดสู่ขอ จะต้องมีพ่อเพลงและแม่เพลงหลายคน อย่างน้อยก็ฝ่ายละ 3 คือ พ่อแม่ ของทั้งสองฝ่ายและตัวหนุ่มสาว แสดงถึงการไปว่ากล่าวสู่ขอตามประเพณี ซึ่งต่างก็จะใช้คารมโต้เถียงงอนกันไปเรื่อย และมักสิ้นสุดลงด้วยความไม่สำเร็จ อันเป็นต้นเหตุให้เกิดการลักหาพาหนี
ชุดลักหาพาหนี เป็นการแสดงของชายหญิงเพียงฝ่ายละ 1 ใช้ศิลปะการร้องเพลงในการดำเนินเรื่องอย่างน่าฟัง เช่น ตอนจะลอบออกจากบ้าน เข้าป่าชมดง ซึ่งมีวิธีร้องเป็นทำนองเทศน์แหล่มหาพนบ้าง ทำนองพุทธโฆษา โล้สำเภาบ้าง
ชุดตีหมากผัว นั้นก็คือการแสดงหึงหวงระหว่างสองหญิง โดยมีพ่อเพลงคนหนึ่งแม่เพลงสองคน สมมติว่าผู้หญิงเป็นคู่รักเก่าหรือภริยาเก่าไปพบชายคู่รักหรือสามีกำลังประโลมหญิงอื่นก็เกิดการหึงหวงทะเลาะวิวาทกัน
ชุดชิงชู้ มักเริ่มต้นด้วยชายหนึ่งไปพบหญิงผู้เป็นภรรยาผู้อื่นกล่าวเกี้ยวพาราสีแทะโลมจนหญิงตกลงใจตามไป สามีเก่าตามไปพบเข้าก็เกิดการว่ากล่าวกันใหญ่โต ซึ่งอาจจบเพียงนี้หรืออาจต่อไปถึงขั้นฟ้องร้องยังโรงศาล โดยมีพ่อเพลงเป็นตัวตุลาการ อีกผู้หนึ่งมักเป็นนายอำเภอ ดังนั้น จากการได้แนวความคิดจากท่านผู้รู้ได้บันทึกไว้รวมทั้งจากการสังเกตจากโดยทั่ว ๆไป เราอาจจะกล่าวได้ว่า เพลงฉ่อย เป็นการละเล่นพื้นเมือง อย่างหนึ่งของชายหญิงอันแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านพื้นเมืองนั้น ๆ ร้องโต้ตอบกัน แก้กันในความหมายต่าง ๆ ส่วนมากเป็นการประคารม คำร้องเป็นลักษณะกลอนอย่างปรบไก่ แรกเริ่มฝ่ายชายเกริ่นขึ้นต้นด้วยเสียงเอื้อน
โอง-โงง-โงย-ฉะโอง-โงง-โงย แล้วชักชวนให้ผู้หญิงโต้ตอบกัน
การแต่งกาย
ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนตามแต่ถนัด ใส่เสื้อรัดรูปมีสีสันสะดุดตา ทัดดอกไม้ ฝ่ายผู้ชายนุ่งโจงกระเบน เสื้อคอกลมสีต่าง ๆ
โอกาสที่แสดง
มักนิยมเล่นในงานเทศกาล หรืองานรื่นเริงของหมู่บ้าน ในวงการมหรสพต่าง ๆเช่น งานปีใหม่ ทอดกฐิน นำมาเป็นรายการแสดงก็มี
ตัวอย่างบทไหว้ครูชาย
ชา ฉ่า ชะชา.....................เอิงเอยเอ่อเอิงเอ๊ย
มือของลูกสิบนิ้ว................ยกขึ้นหว่างคิ้วถวาย
ต่างธูปเทียนทอง................ทั้งเส้นผมบนหัว
ขอให้เป็นดอกบัว................ก่ายกอง...เอย...ไหว้
อีกทั้งเส้นผมบนหัว (ซ้ำ).... ขอให้เป็นดอกบัวก่ายกอง(ซ้ำ)เอยไหว้..เอชา
ลูกจะไหว้พระพุทธที่ล้ำ.......ทั้งพระธรรมที่เลิศ
ทั้งพระสงฆ์องค์ประเสริฐ......ขออย่าไปติดที่รู้
ถ้าแม้นลูกติดกลอนต้น........ขอให้ครูช่วยด้นกระทู้ไป
ถ้าแม้นลูกติดกลอนตัน(ซ้ำ)..ขอให้ครูช่วยด้นกระทู้(ซ้ำ) เอชา
รับเหมือนอย่างสองบทต้น.....ยกไหว้ครูเสร็จสรรพ หันมาคำนับกลอนว่า
ไหว้คุณบิดรมารดาท่านได้อุตส่าห์ถนอมกล่อมเกลี้ยงประโลมเลี้ยงลูกมา
ทั้งน้ำขุ่นท่านมิให้อาบ..........ขมิ้นหยาบมิให้ทา
ยกลูกบรรจงลงเปล.............ร้องโอละเห่-ละชา ไกว (รับ)
แม่อุตส่าห์นอนไกว.............จนหลังไหล่ถลอก
หน้าแม่ดำช้ำชอก................มิได้ว่าลูกชั่ว
จะยกคุณแม่เจ้า..................วางไว้บนเกล้าของตัว...ไหว้ (รับ)
ตัวอย่างบทสู่ขอ
เราเป็นเถ้าแก่..............................จะต้องไปแหย่ข้างแม่ยาย
เราจะเข้าตามตรอกออกทางประตู.....ให้พ่อแม่เอ็งรู้ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่
พี่จะเตรียมทั้งขนมตั้งขนมกวย.........พี่ก็จัดแจงใส่ถ้วยออกไป
เตรียมขนมต้มไปเซ่นผี..................ให้น้องสักสี่ห้าใบ
พี่จัดทองหมั้นขันขันหมาก...............โตเท่าสากเจ๊กไท้
ตัวอย่างบทลักหาพาหนี
พี่จะไปสู่ขอพี่ก็ท้อก็แท้..................ทั้งพ่อทั้งแม่ของพี่ก็ตาย
รักกันให้ไปด้วยกัน........................ให้ไปกะฉันไม่เป็นไร
ที่เขารักกันหนาพากันหนี.................เขามั่งเขามีก็ถมไป
ถึงขึ้นหอลงโรง.............................ถ้ากุศลไม่ส่งมันก็ฉิบหาย (เอชา)
ตัวอย่างชุดตีหมากผัว
แหมพิศโฉมประโลมพักตร์...............แม่เมียน้อยน่ารักเสียนี่กระไร
เนื้อก็เหลืองไม่ต้องเปลืองขมิ้น..........สวยไปตั้งแต่ตีนตลอดไหล่
อะไร ๆ แม่คนนี้ดีไปทุกสิ่ง..............เสียแต่เป็นหญิงตูดไวตูดไว (เอชา)
เขาว่าเมียเขาไม่ดี..........................อยู่เอก็เปล่ากาย
เมียเขามีจริง.................................แล้วเขาก็ว่าทิ้งกันไป
กินแล้วก็นอนร้องละครไปวันยังค่ำ......งานการน่ะทำไปเสียเมื่อไร
ดีแต่ประแป้งแต่งตัว......................เอาแม่ผัวไปนินทาซุกหัวกระได
ผัวเขาเลยขายส่งไปเสียที่โรงตรอก....ไม่รู้เมียหลวงลอยดอกมาเมื่อไร(เอชา)
» ข้อมูลจาก : ทรูปลูกปัญญา