โรคหวัดเกิดจาก เชื้อไวรัส แต่ยาปฏิชีวนะใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น พร้อมแนะ วิธีการเบื้องต้นใน แยกแยะระหว่างอาการเจ็บคอ ที่เกิดจากเชื้อไวรัส กับอาการเจ็บคอ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
ในช่วงนี้สภาพ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อาจส่งผลให้ต่อสุขภาพ เจ็บป่วยเป็นหวัด ได้ง่าย โดยจะมีอาการ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย และเมื่อมีอาการเหล่านี้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าจะต้องกินยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ประชาชนควรมีความรู้ก่อนว่าอาการหวัด เจ็บคอ ที่เป็นนั้นมีสาเหตุจากอะไร เนื่องจากส่วนใหญ่ของหวัด เจ็บคอ (ร้อยละ 80) มักเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ มีเพียงส่วนน้อย (ร้อยละ 20) ที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และอาจจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หากประชาชนไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้ และกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่เป็นหวัดเจ็บคอ
วิธีการเบื้องต้นในการแยกแยะระหว่างการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย
หากเป็นหวัด เจ็บคอ จากเชื้อไวรัส มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ เสียงแหบ คันคอ เจ็บคอ หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย อาจนาน ประมาณ 7-14 วัน อาการจะมากสุดในช่วงวันที่ 35 หลังจากนั้นอาการโดยรวมจะค่อยๆ ดีขึ้น น้ำมูกจะน้อยลง และข้นขึ้นบางทีอาจมีสีออกเหลืองโดยเฉพาะช่วงเช้า แต่อาการไออาจอยู่นานกว่า 2 สัปดาห์ งานวิจัยชี้ชัดว่า ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยให้อาการไอและหวัดหายเร็วขึ้นแต่อย่างใด การรักษาที่ดีที่สุด คือ การพักผ่อนและดื่มน้ำอุ่น เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานมาต่อสู้กับเชื้อไวรัส และอาจปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาเพื่อบรรเทา อาการหวัด ไอ คัดจมูก หรือเจ็บคอ
อาการเจ็บคอ ที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (ซึ่งพบน้อย) มักมีอาการอย่างน้อย 3 ใน 4 ข้อนี้ ร่วมกัน คือ (1) ไม่ไอ (2) มีไข้ (3) ต่อมทอนซิลมีจุดขาวหรือเป็นหนอง (4) ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรโตกดเจ็บ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสำรวจต่อมน้ำเหลืองของตนเองโดยการคลำบริเวณใต้ขากรรไกรเพื่อดูว่าต่อม น้ำเหลืองบริเวณนี้โตหรือกดเจ็บหรือไม่ และสามารถดูต่อมทอนซิลของตนเองโดยการอ้าปากและส่องกระจกดู ที่ต่อมทอนซิลว่ามีจุดขาวหรือเป็นหนองหรือไม่ หากมีอาการ 3 ใน 4 ข้อ หรือมีอาการครบทั้ง 4 ข้อดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ก่อนกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งต้องมั่นใจว่าโรคที่เป็นมีสาเหตุจาก เชื้อแบคทีเรีย ไม่ควรกินยาปฏิชีวนะโดยไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ โดยสอบถามแพทย์หรือ เภสัชกรซ้ำทุกครั้งเพื่อความมั่นใจ และขอเตือนประชาชนอย่าซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง อย่าใช้ยา ปฏิชีวนะ ตามที่ คนอื่นแนะนำ และอย่าแบ่งยาปฏิชีวนะของตนเองให้แก่ผู้อื่น เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้ยา ปฏิชีวนะหรือไม่ เนื่องจากยาปฏิชีวนะมีหลายชนิด เช่น เพนนิซิลลิน อะม็อกซิซิลลิน เตตร้าซัยคลิน อิริทโทร มัยซิน โคทรัยม็อกซาโซล เป็นต้น และแต่ละชนิดใช้กับเชื้อแบคทีเรียต่างกัน และที่สำคัญ เราไม่รู้ว่าเขาแพ้ยาหรือไม่ หรือมีโรคประจำตัวอะไร
ที่มา...สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา