สิงหาคม 2555

 
 
 
1
2
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
เภสัชขา...สตีฟ จ็อบส์รังแกหนู

เภสัชขา...สตีฟ จ็อบส์รังแกหนู

 

                ห๊ะ!!! อะไรนะคะ ใครรังแกนะคะ?...เภสัชนิ่งไป 8 วินาทีเพื่อประมวลผล ส่วนคุณผู้ป่วยก็ยังยืนยันคำเดิมว่า “สตีฟ จ็อบส์ค่ะ เค้ารังแกหนู”....แล้วคนดังระดับโลกผู้ล่วงลับ ที่คนคลั่งไคล้เทคโนโลยีหลายๆคน ยกย่องเป็น “ศาสดาจ็อบส์” จะมารังแกหนูได้อย่างไรกัน? (ขอแอบใส่ความเห็นส่วนตัวไว้นิดนึง : โดยส่วนตัวเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะกับตำแหน่งศาสดา เพราะทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เห็นแอ๊ปเปิ้ลเกลื่อนเมืองไปหมด ประหนึ่งแอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ประจำชาติไทย แต่ก็ขอสารภาพว่าที่บ้านเภสัชก็ปลูกแอ๊ปเปิ้ลของท่านศาสดาไว้เป็นสวนเหมือนกัน แหะๆๆ)

 

            จากการซักถามคุณผู้ป่วยก็ได้ความมาว่าคุณผู้ป่วยมีอาการที่เราเรียกกันว่า “Office syndrome” ค่ะ ส่วนที่ว่าท่านศาสดารังแกก็เพราะอาการดังกล่าว ถูกคุณหมอฟันธงลงมาว่าเกิดจากการที่คุณผู้ป่วยขลุกกับประติมากรรมตระกูล “i” ทั้งหลายของท่านศาสดาตั้งแต่เช้ายันเข้านอนนั่นเอง ซึ่งหลายๆครั้งก็เข้านอนพร้อม iPhone ยังคาในมือนั่นแหละค่ะ (เคยทำกันมั้ยเอ่ย? เภสัชทำบ่อยมากค่ะ หุหุ)

 

                Office syndrome จริงๆแล้วไม่ใช่ชื่อโรค แต่เป็นชื่อเรียกกลุ่มอาการ (คือมีหลายๆอาการมารวมกันค่ะ) อาการที่พบบ่อยๆ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดมือ ปวดนิ้ว ปวดตา เรียกว่า “ตระกูลปวด” ทั้งหลายมากันเกือบครบตระกูลค่ะ แต่อีกตระกูลที่จะพบได้กรณีที่คุณผู้ป่วยเริ่ม advance แล้ว (แปลว่าเริ่มเป็นเยอะแล้ว) ก็คือ “ตระกูลชา” ค่ะ ชาจากไหล่ลงมาปลายแขน นิ้วชา นิ้วไม่มีแรง เป็นต้น ซึ่งในอดีตเรามักจะพบอาการเหล่านี้ในคนสูงอายุ แบบที่ผู้ใหญ่บ่นกันบ่อยๆนั่นแหละค่ะว่า “แก่แล้ว นั่งก็โอย ลุกก็โอย” แต่ปัจจุบันด้วยลักษณะงานของเราๆที่กลายเป็นการทำงานแบบนั่งนิ่งๆหน้าคอมพิวเตอร์วันละ 7-8 ชั่วโมง (รวมไปถึงการนั่งเล่นเฟซบุ๊คนานๆ และเล่นเกมแบบติดพันด้วยนะคะ) ซึ่งการอยู่ในท่าเดิมนานๆแบบนี้ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเกร็งและอักเสบได้ สะสมไว้นานๆเข้าก็อาจ advance ไปเป็นกระดูกสันหลังคดกันเลยทีเดียว

 

                ส่วนวิธีหลีกเลี่ยงการเจอกับ Office syndrome มีดังนี้ค่ะ

 

1.      ยืดเส้นยืดสาย คลายกล้ามเนื้อ...แก้เมื่อย แก้ง่วงได้พร้อมกัน

 

Office syndrome ไม่ใช่สิ่งร้ายแรงค่ะ แต่มันน่ารำคาญและทรมานคนที่เป็น เพราะเราก็ยังต้องทำงานเดิมๆ โต๊ะตัวเดิม เก้าอี้ตัวเดิม คอมพิวเตอร์เครื่องเดิม แปลว่าถ้าตระกูลปวดมาเยือนแล้ว มันก็ยากที่จะจากไป เนื่องจากเรายังใช้งานกล้ามเนื้อในลักษณะเดิมๆตลอด ดังนั้นการป้องกันและรักษา Office syndrome แบบที่ดีที่สุด คือ การยืดกล้ามเนื้อระหว่างการทำงานเพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อนั่นเองค่ะ ถ้าลองค้นๆใน YouTube ก็จะเห็นว่ามีผู้รู้หลายท่านให้ความกรุณามาสอนท่าบริหารต่างๆให้มากมาย แต่ถ้าดูแล้วจำไม่ได้เลยซักท่าเดียว เภสัชแนะนำให้พยายามลุกขึ้นมา “บิดขี้เกียจ” ให้บ่อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้วกันค่ะ เพราะก็ถือว่าได้ยืดกล้ามเนื้อเบาๆค่ะ แถมแก้ง่วงตอนบ่ายๆได้ด้วย (ทำงานแบบสดชื่นเจ้านายจะได้รักและเอ็นดู^^) นอกจากนี้ท่าทางของการนั่งทำงานที่ไม่ดีก็ควรจะเลิกทำซะนะคะ ไม่ว่าจะเป็น นั่งไขว่ห้าง, นั่งหลังงอ, หรือนั่งกอดอก ซึ่งท่าทางเหล่านี้อาจนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ๆ อย่างกระดูกผิดรูปได้ค่ะ

 

2.      พักสายตาเถอะนะคนดี

 

มาเป็นเพลงพี่เบิร์ดเลยทีเดียว (แอบเกิดทันนะคะ^^) เนื่องจากตระกูลปวด มันรวมอาการปวดตามาด้วยค่ะ วิธีหนึ่งที่ฝรั่งเค้าบอกว่าช่วยในการพักสายตาได้ คือ ให้ทำตามกฎ 20-20-20 นั่นคือทุกๆ 20 นาทีให้ละสายตาจากคอมพิวเตอร์ มองไปที่วัตถุที่อยู่ไกลออกไป 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) นาน 20 วินาทีค่ะ นอกจากนี้สำหรับคนที่ตาแห้งมากๆ หรือคนที่ใส่คอนแทคเลนส์แล้วต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ แถมออฟฟิศเป็นห้องแอร์ อย่าลืมพกน้ำตาเทียมติดตัวไว้บ้างนะคะ เพราะการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะทำให้คนเรากะพริบตาน้อยลง ซึ่งก็จะทำให้ตาเราแห้งมากขึ้นค่ะ ส่วนการเลือกซื้อน้ำตาเทียม ถ้าต้องหยอดกันนานๆ หรือหยอดบ่อยๆ แนะนำว่าให้เลือกซื้อแบบที่ไม่มีผสมวัตถุกันเสียจะดีกว่านะคะ ทั้งนี้ราคาก็ย่อมแพงกว่าน้ำตาเทียมปกติ แต่ดวงตาสำคัญไม่แพ้ดวงใจ (สมาคมมุขเสี่ยวหรือไงนี่?) ยังไงก็ลงทุนไปเถอะค่ะ^^

 

3.      พลังน้ำอุ่นสุดแสนสบาย

 

สำหรับคนที่มีอาการปวด หรือเริ่มตึงๆกล้ามเนื้อแล้วแต่ไม่อยากพึ่งพายาแก้ปวด คนที่ต้องกางนิ้วทั้งสิบบนแป้นคีย์บอร์ดตลอดวัน รวมทั้งสาวกโทรศัพท์ Blackberry ที่นิ้วโป้งทั้งสองข้างต้องระรัวแป้นกันตลอดๆ ขอแนะนำวิธีโบราณแต่ยังให้ผลที่ดีแม้ในปัจจุบัน คือการใช้น้ำอุ่นเข้าช่วยคลายความตึงตัวของกล้ามเนื้อค่ะ สำหรับคนที่ปวดกล้ามเนื้อคอ หรือหลัง ลองใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบดูนะคะ ส่วนคนที่ใช้งานนิ้วมือหนักๆทั้งหลาย ลองแช่มือในน้ำอุ่นวันละ 15 นาทีดูค่ะ อาการตึง อาการล้าจะได้ดีขึ้นค่ะ

 

4.      แก้ปัญหาระยะยาว...มาเป็นมัณฑนากรมือสมัครเล่น ปรับฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานกัน

 

ทุกสิ่งอย่างที่รายล้อมตัวคุณในที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นแสงไฟ โต๊ะ เก้าอี้ ล้วนแต่เป็นต้นเหตุของอาการ office syndrome ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นสภาพแวดล้อมที่เราต้องอยู่ด้วยวันละไม่น้อยกว่า 7 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าเจ้าสิ่งรายล้อมพวกนี้มันผิดลักษณะหรือไม่เหมาะสมกับตัวเรา ก็ลองปรับแก้หรือเจรจากับเจ้านายเรื่องขอปรับเปลี่ยนดูนะคะ จะหาหมอนอิงพิงหลัง เบาะรองนั่ง หรือเปลี่ยนโต๊ะ เก้าอื้ให้เหมาะสม ทุกอย่างนี้จะเป็นการป้องกันในระยะยาวไม่ให้ office syndrome เข้ามาก่อความรำคาญในชีวิตเราได้ค่ะ

 

5.      แนะนำอาหารเสริม กับอาการ office syndrome

 

ในกรณี office syndrome อาหารเสริมไม่ใช่สิ่งแรกที่คุณจะพึ่งพาแน่นอนค่ะ อย่างที่บอกไปแล้วว่าการบริหาร ยืดกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นปล่อยให้อาหารเสริมเป็นไปตามชื่อของมัน คือเอาไว้ “เสริม” ในเวลาที่คุณต้องการดูแลสุขภาพมากขึ้นแล้วกันค่ะ ส่วนอาหารเสริมที่จะหยิบยกมาพูดครั้งนี้ มีที่ผ่านเข้ารอบมา 3 อย่างค่ะ ได้แก่

 

ผู้เข้ารอบอันดับที่ 1: ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin)

 

            คว้าตำแหน่งที่ 1 ไปครองแบบสบายๆ เนื่องจากทั้งลูทีนและซีแซนทีน เป็นสารอาหารที่มีความโดดเด่นเรื่องการปกป้องดวงตาที่เป็นหน้าต่างของหัวใจ (ยังเสี่ยวไม่เลิก) ซึ่งควรค่าแก่การแนะนำให้เหล่าสาวกของท่านศาสดา หรือที่มีศัพท์เก๋ๆ เรียกว่า “screenager” หมายถึง คนที่จดๆจ้องๆหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต รวมทั้งสมาร์ทโฟนวันละหลายๆชั่วโมง (จริงๆฝรั่งใช้เรียกเฉพาะกลุ่มวัย teenage นะคะ แต่ในเมืองไทย หลายๆคนที่เลยวัยนั้นมาแล้วก็ยังติดหน้าจอกันอยู่)

 

                ลูทีนและซีแซนทีนเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบได้ในพืชผักที่มีสีเหลือง หรือใบสีเขียวเข้มๆ เป็นสิ่งที่พืชผักสร้างขึ้นมาเพื่อให้ช่วยดูดซับแสงสีน้ำเงิน (blue light) ซึ่งจัดเป็นแสงที่มีพลังงานสูงของแสงแดด แปลง่ายๆก็คือพืชผักมีลูทีนและซีแซนทีนไว้คอยป้องกันอันตรายจากแสงแดดนั่นเอง ในกาลต่อมามนุษยชาติก็ได้ค้นพบว่า ณ จุดกึ่งกลางของจอตาของมนุษย์ (จุดนี้เป็นจุดเล็กๆ มีสีเหลือง จักษุแพทย์ เรียกว่า “macula”) ก็มีลูทีนและซีแซนทีนสะสมอยู่อุ่นหนาฝาคั่งเช่นกัน ซึ่งหน้าที่ก็ไม่ต่างไปจากที่อยู่ในผักมากนัก คือทำงานเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและปกป้องดวงตาจากรังสียูวี (อาจต่างกันตรงที่มนุษย์สร้างลูทีนและซีแซนทีนเองไม่ได้แบบผักนะคะ) นอกจากนี้จักษุแพทย์แห่งแดนสหรัฐอเมริกายังพบว่าลูทีนและซีแซนทีนสามารถป้องกันคุณตาคุณยายอเมริกันชนไม่ให้เป็นโรคที่เรียกว่า Age-related Macular Degeneration (AMD) แปลเป็นไทยได้ว่าโรคจอประสาทตาเสื่อมค่ะ ซึ่งความน่ากลัวของโรคนี้ คือเป็นโรคที่นำไปสู่การเกิดตาบอดได้ค่ะ โดยคุณหมอแนะนำขนาดที่เห็นผลของลูทีนอยู่ที่ 6-20 มิลลิกรัม/วัน (ดังนั้นในปัจจุบันบริษัทอาหารเสริมส่วนมากยังให้ความสำคัญกับลูทีนมากกว่าซีแซนทีนค่ะ)

เทคนิคการใช้อาหารเสริมลูทีน ถ้าอยากให้ลูทีนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีแนะนำให้กินพร้อมอาหารนะคะ และไม่แนะนำให้รับประทานลูทีนถ้าคุณเป็นคนที่แพ้ดอกดาวเรือง ใช่แล้วค่ะ อ่านไม่ผิดแน่ๆ ดอกดาวเรืองนี่แหละค่ะ ที่บริษัทอาหารเสริมนำมาใช้สกัดเอาลูทีนและซีแซนทีนออกมา ส่วนใครที่ไม่อยากเสียเงินซื้ออาหารเสริม ลองเพิ่มการทานผักใบเขียวเข้มๆ เช่น ผักโขม บล็อกโคลี่ที่ผ่านการหุง อุ่น ตุ๋น ต้ม นึ่ง (ผักที่ผ่านกระบวนการประกอบอาหารจะมีลูทีนและซีแซนทีนมากกว่าผักสด) อย่าไปคว้าดอกดาวเรืองมากินเล่นล่ะ^^

 

ผู้เข้ารอบอันดับที่ 2: น้ำมันปลา (Fish oil)

 

            คว้าอันดับสองมาครองด้วยความโดดเด่นในการเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ครอบจักรวาล และต้องหยิบมาแนะนำให้กับสมาคมผู้ทำงานออฟฟิศได้รู้จัก เนื่องจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ

 

หนึ่ง)     ส่วนมากมีพฤติกรรมการทำงานแบบนั่งนิ่งๆ ชงกาแฟพร้อม วางขนมรายล้อม และนิยมอาหารจานเดียว

 

พฤติกรรมข้างต้นทั้งหมด ทำให้หนุ่มๆ สาวๆ ออฟฟิศ เป็นคนเริ่มมีของสะสม โดยจะสะสมเป็นไขมันทั้งรอบเอวก็ตาม หลอดเลือดก็ตาม จากนั้นไขมันที่สะสมไว้ ก็จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ผนังหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ถ้าใครสะสมจนเข้าขั้น ตอนที่เกษียณก็จะได้บำเหน็จเป็นโรคหลอดเลือดตีบแทนเงินโบนัสก้อนโตได้ค่ะ ซึ่งน้ำมันปลามีคุณสมบัติในการทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ก็จะป้องกันโรคหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดได้ค่ะ

 

สอง)       ค้างท่าเดิมนานๆ กล้ามเนื้อเกินทานทน

 

อย่างที่บอกไปแล้วค่ะว่าการอยู่ในอิริยาบถเดิมๆนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งและเกิดการอักเสบได้ค่ะ ซึ่งอีกหนึ่งประโยชน์ของน้ำมันปลา คือความสามารถในการลดการอักเสบได้นั่นเองค่ะ

 

แต่เนื่องจากน้ำมันปลา มีข้อควรระวังก่อนจะซื้อมากิน คือ ไม่แนะนำให้กินถ้าคุณเป็นคนที่แพ้ปลาทะเล ส่วนคนที่กำลังกินยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, วาร์ฟาริน ก่อนจะซื้อน้ำมันปลา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนนะคะ

 

ผู้เข้ารอบอันดับที่ 3: เลซิติน (Lecithin)

 

            ต้องบอกว่าเข้ารอบมาแบบเป็นม้ามืดแท้ๆ สำหรับเลซิติน เนื่องจากไม่ใช่สารอาหารเด่นดังในปัจจุบัน แต่ที่กรรมการตัดสินให้เข้ารอบ ก็เพราะไปอ่านพบชื่อเลซิติน เป็นหนึ่งในสารอาหาร “smart nutrients” ที่ Dr.Earl Mindell ได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มดังอย่าง “Earl Mindell’s New Vitamin Bible” ซึ่งน่าจะเข้ากันดีกับการนำมาแนะนำหนุ่มๆสาวๆชาวออฟฟิศ ที่ต้องเค้นพลังสมองกับงานเกือบตลอดวัน

 

            เนื่องจากเลซิตินมีส่วนประกอบสำคัญที่ชื่อว่า “โคลีน” (choline) ที่เป็นวัตถุดิบของการนำไปสร้างสารสื่อประสาทแห่งความจำและการเรียนรู้ นามว่า “อะเซติลโคลีน” (Acetylcholine) ซึ่งถ้าสารสื่อประสาทอย่างอะเซติลโคลีนทำงานเป๊ะ และมีจำนวนเพียงพอ ก็จะทำให้การสั่งงานของสมองคล่องแคล่วฉับไว เหมือนใช้คอมพิวเตอร์โหลดคลิปผ่านบอร์ดแบนความเร็วสูง แต่ถ้าเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องอะเซติลโคลีนน้อย เช่น ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ก็จะทำให้ความจำ การเรียนรู้ และการสั่งงานต่างๆของสมองมีปัญหาไปด้วย ดังนั้นสาวกของศาสดาจ็อบส์ที่รัก hi-speed internet เป็นชีวิตจิตใจ ลองหาเลซิตินมาช่วยบำรุงสมองให้ hi-speed กันบ้างก็น่าจะดีค่ะ         

หวังว่า Blog นี้ น่าจะมีประโยชน์กับหนุ่มๆสาวๆ ชาวออฟฟิศที่แวะมาอ่านกันนะคะ ขอบคุณสำหรับการแวะมาเยี่ยมชม Blog และยังยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น หรือคำถามใดๆก็ตามค่ะ^^ 




Create Date : 31 สิงหาคม 2555
Last Update : 31 สิงหาคม 2555 17:34:23 น.
Counter : 2147 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

KhunNooHaRa
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



เภสัชกร "คุณนู๋" จากการเรียกขานของเพื่อน เพื่อนแต่นิสัยตรงกันข้ามกับสิ่งที่เพื่อนเรียกโดยสิ้นเชิง

คลั่งไคล้ หลงไหล รักการอธิบาย ให้ข้อมูล และหาข้อมูลเกี่ยวกับ skin care, cosmetics, dietary supplements ต่างๆ

จึงมีความใฝ่ฝันที่จะสะสมประสบการณ์ แล้ว share ให้คนอื่นๆได้รับรู้ผ่านทาง Blog นี่แหละค่ะ....ตอนนี้ประสบการณ์เริ่มแน่น ทำตามฝันเลย ลุย!!!