พฤศจิกายน 2555

 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
เภสัชขา...งามไส้ งามตับ งามหน้า

เภสัชขา...งามไส้ งามตับ งามหน้า งามจากภายในสู่ภายนอกจริงๆ

ขึ้นหัวเรื่องมาแบบดูงงๆ ปนไร้สาระ ซึ่งจะอธิบายต่อไปว่าคืออะไรนะคะแต่ขอแอบแก้ตัวก่อนเรื่องที่เภสัชเว้นว่างห่างหายจากการเขียน blog ไปเป็นเดือนเพราะงานรุมเร้าอย่างหนัก (หนักพอๆกับโรครุมเร้า) กระนั้นก็ยังมิวายไปอินเทรนด์ “กินเจ”ตามกระแสในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาค่ะ คือก็ต้องบอกว่าแค่ “กินเจ” อย่างเดียวไม่ได้ถือศีล เพราะยังตบยุง บี้มด จับเห็บน้องปั๊กอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน(ไม่แนะนำให้ทำนะคะ บาปจริงๆ)

ด้วยความที่เภสัชเกิดในตระกูลที่มีเชื้อสายจีนแบบจริงจังอากง อาม่า (คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย) ล้วนแต่โล้สำเภามาจากซัวเถา ดังนั้นจึงได้รับการปลูกฝังธรรมเนียมการกินเจนี้มาแต่เด็กเพราะเป็นเด็กไม่ค่อยแสวงหา หม่าม้าทำกับข้าวอะไรก็กินตามนั้น และต้องกินแบบ 10 วันครบเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน (เคยมีปีนึงที่กินเจเกิน 10 วัน อาม่าบอกว่าไม่ได้บุญแล้วเพราะเจ้าขึ้นสวรรค์แล้ว วันที่เกินมาจะไม่ได้นำไปรายงานความดีบนสวรรค์ // อ้าวววว!!!ซะงั้นอ่ะ) เทศกาลกินเจในความรู้สึกจึงกลายเป็นเหมือนเทศกาลเช็งเม้งกับตรุษจีนที่ทำไปตามบรรพบุรุษให้เทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอ็นดู แล้วจะได้ช่วยดลบันดาลให้เกิดสิ่งดีๆในชีวิตแบบที่คนจีนชอบพูดว่า “รวยๆ เฮงๆ” นั่นแหละค่ะ


กาลต่อมาพอโตขึ้น มีความรู้ทางสุขภาพมากขึ้นเลยเริ่มมาวิเคราะห์เทศกาลกินเจโดยใช้ทฤษฎีทางสุขภาพต่างๆจึงพบว่านี่เป็นกุศโลบายอันแสนชาญฉลาดปราดเปรื่องอย่างหนึ่งในการดูแลสุขภาพที่คนจีนสมัยก่อนคิดขึ้นเนื่องจากเทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่เน้นเรื่องการงดบริโภคเนื้อสัตว์และเน้นให้บริโภคผัก ผลไม้ตลอดระยะเวลา 10 วัน ซึ่งไปเข้าได้กับความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์บางท่านที่ว่าคนควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในประเภท “Herbivore” หรือสัตว์กินผักมากกว่าจากโครงสร้างสรีรวิทยาของเรายกตัวอย่างชวนคิดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ ลำไส้มนุษย์นั้นยาวมากค่ะ ส่วนของลำไส้เล็กยาวถึง 6.9 เมตร ยิ่งรวมกับความยาวของลำไส้ใหญ่อีก 1.5 เมตร อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ย่อยยากและบูดง่ายมาก ลองสังเกตุเวลาที่เราไปจัดหนักกับหมูกระทะมื้อใหญ่ก็มักจะเกิดอาการอึดอัด แน่นท้อง บางคนอาจถึงขั้นท้องผูก เพราะเนื้อสัตว์ที่เราทานเข้าไปจะเกิดการบูดค้างอยู่ในลำไส้อันยาวเหยียดและทบไปทบมาของเราแพทย์บางท่านกล่าวว่าการสะสมของเสียเหล่านี้ไว้ในลำไส้มากๆ นานวันเข้าก็จะก่อเรื่องใหญ่กลายเป็นสาเหตุของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เลยทีเดียว

ปีนี้เลยลองคิดเล่นๆเหมือนตอนเป็นเด็กๆค่ะว่า10 วันที่งดเนื้อสัตว์เพียงพอมั้ยหนอ?เลยลองทำสูตร “’งามไส้ งามตับ งามหน้า” ต่อเนื่องหลังจากหมดเทศกาลกินเจดีกว่าคอนเซ็ปต์ก็คือการ detox ลำไส้และตับนั่นเอง ซึ่งรับประกันว่าทำได้ตลอดไม่ต้องรอเทศกาลกินเจ และจากการปฏิบัติมาเองพบว่า ถ้าลำไส้สะอาด ตับหมดจดแล้ว หน้าตาจะผ่องใสแน่นอนส่วนวิธีปฏิบัติมีดังนี้ค่ะ

วิธีการทำ “งามไส้”

อย่างที่บอกไปแล้วว่าไส้มนุษย์นั้นย๊าวววยาวววว แถมยังเป็นขดๆทบไปทบมาอีกด้วย ดังนั้นถ้าท้องผูกขึ้นมาก็นับเป็นปัญหาใหญ่เลยค่ะเพราะหมายความว่าเราจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นในการเก็บกักของเสียไว้ในร่างกายซึ่งจากประสบการณ์การทำงานพบว่ามีคนที่มีปัญหาเรื่องท้องผูกเยอะมากค่ะส่งผลให้ยาระบายยี่ห้อต่างๆขายดีทีเดียว ดังนั้นวันนี้เภสัชกรขอแนะนำตัวช่วยเบื้องต้นเพื่อแก้ปัญหาอาการท้องผูกซึ่งได้แก่ โยเกิร์ต นั่นเองค่ะ

โยเกิร์ต(yoghurt) เป็นอาหารที่หาซื้อได้ง่ายมากๆในปัจจุบันมีคุณสมบัติในการเป็น “โพรไบโอทิค (probiotics)” ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เราเรียกว่า“จุลินทรีย์ที่ดี” ที่อยู่ในลำไส้เรานั่นเอง ว่ากันว่าจริงๆแล้วเรามีจุลินทรีย์พวกนี้ทันทีตั้งแต่หลังคลอดค่ะโดยประโยชน์ของเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆเหล่านี้ คือ ทำให้ลำไส้ทำงานได้อย่างปกติดูดซึมสารอาหารเต็มที่ และป้องกันการคุกคามของแบคทีเรียร้ายๆในลำไส้ค่ะ คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ทางการแพทย์มีการใช้ probiotics ในการรักษาอาการท้องเสียจากการติดเชื้อและท้องเสียจากการรับประทานยาฆ่าเชื้อค่ะ ดังนั้นหากใครทานยาฆ่าเชื้อนานๆแล้วเกิดอาการท้องเสียไปเจอเภสัชกรชักชวนไปหาโยเกิร์ตรับประทานก็ไม่ต้องแปลกใจไปนะคะ และทางที่ดีเลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติจะดีที่สุดค่ะ

วิธีการทำ “งามตับ”

วิธีการแรกที่ต้องแนะนำในการดูแลตับคือ ไปตรวจไวรัสตับที่โรงพยาบาลกันค่ะ เนื่องจากไวรัสตับบางตัวติดต่อกันได้ง่ายมากๆแล้วถ้าใครตรวจแล้วยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับไว้ซะเลยเพื่อความอุ่นใจค่ะส่วนเรื่องอื่นๆในการดูแลตับเบื้องต้น ก็คืองดเพิ่มงานให้ตับค่ะซึ่งงานหนักของตับก็คือแอลกอฮอล์นั่นเอง แล้วปีนี้บังเอิญว่าเทศกาลกินเจกับ “งดเหล้าเข้าพรรษา” มาอยู่ในช่วงเดียวกันพอดีเลยคิดว่าเดือนตุลาคมที่ผ่านมาของใครหลายคน น่าจะเป็น “เทศกาลพักตับ”ที่ยิ่งใหญ่ค่ะ

สำหรับปีนี้เภสัช ขออนุญาตให้โบนัสตับด้วยอาหารเสริมที่มีคอนเซ็ปต์การ “clean ตับ” ก็คือ Bioklean ของค่าย Natural care อาหารเสริม delivery ที่ใช้บริการอยู่เนืองๆนั่นเองค่ะซึ่งจริงๆแล้วเริ่มสนใจ Bioklean จากการไปเห็นว่าทาง Naturalcare ได้ส่งผลิตภัณฑ์ไปให้ beauty blogger ท่านหนึ่งก็เลยกระชากความสนใจของเภสัชอย่างแรงค่ะ (คิดในใจ...โอ้โห!! เดี๋ยวนี้ต้องสวยกันจากตับแล้วหรือไงเนี่ยเหตุใดเค้าถึงคิดสร้างการตลาดกับเหล่ามนุษย์รักความงามด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงตับล่ะเนี่ย?)ด้วยความใฝ่รู้ (คิดว่างั้นนะ^^) เลยโทรสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ตัวนี้กับทาง Call center ค่ะ ซึ่งมีการบริการให้ข้อมูลเป็นอย่างดีคือพนักงาน call center โอนสายให้คุยกับเภสัชกรของบริษัทเลยค่า(ชั้นถามเยอะไปช่ายมั้ย? T__T) ได้รับข้อมูลมา ดังนี้ค่ะ


Bioklean มีส่วนประกอบจากธรรมชาติทั้งหมด 9 ชนิด ได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์, แอล-เมไธโอนีน,สารสกัดจากรากแดนดิเลี่ยน, สารประกอบซีลิเนียม เมไธโอนีน, โคลีน, อินโนซิตอล,แอ๊ปเปิ้ล เวเนการ์, เลซิติน และอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งจากส่วนประกอบทั้งหมดที่กล่าวมาลักษณะการทำงานของสารอาหารใน Bioklean จึงเป็นแนวช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดอาการอักเสบภายในของร่างกายซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในศาสตร์การชะลอวัยค่ะ หมายความว่าคุณจะดูดี อ่อนวัยไม่ได้เลย ถ้าไม่เริ่มจากการดูแลตัวเองตั้งแต่ภายใน ถ้าตับป่วย หน้าจะหมอง ดูไม่สดชื่น แม้คอนซีลเลอร์หรือรองพื้นช่วยกลบได้ แต่พอสิ้นเดือนตุลาคม คุณอาจได้ไปร่วมปาร์ตี้ฮัลโลวีนแบบไม่ต้องทำอะไรมากแค่ล้างหน้าก็พอ (อร๊ายยยย ปากร้ายนะเธอ) แต่ก็แอบสงสัยความคิดของคนตั้งสูตรอาหารเสริมตัวนี้เพราะว่า 9 ตัวนี้ ก็ไม่ได้มีตัวไหนเด่นดังมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตับ // เข้าใจว่าคงหวังผลเรื่องการช่วยๆกันทำงาน 9 แรง เลยไม่ใส่ฮีโร่ดังๆอย่าง milk thistle มาให้เห็น

ส่วนสารอาหารที่คิดว่าน่าสนใจที่สุดจากทั้ง9 ตัว คงต้องยกให้ Apple vinegar ที่เคยอ่านเจอในนิตยสารชื่อดังอย่าง Reader’s Digest ถึงคุณประโยชน์ 8 ประการของ Apple vinegar ซึ่งรวมถึงเรื่องการช่วยย่อยอาหาร และลดอาการไม่สบายท้องจากการติดเชื้อในลำไส้ได้ คือจริงๆอยาก “clean ตับ” แต่ช่วงหลังเทศกาลกินเจใหม่ๆรู้สึกเหมือนระบบย่อยอาหารไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ค่ะ ปีนี้จัดหนักกับ “หมี่กึง” เยอะไปหน่อย (แป้งทั้งน้านนน ก็ควรแหละที่เธอจะท้องอืด)

รีวิวหลังจากรับประทานต่อเนื่องมาได้ 7 วันพบว่าอาการอึดอัด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อยก่อนหน้านี้หายไปค่ะ(ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่ได้กิน “หมี่กึง” แล้ว) ตับแข็งแรงขึ้นมั้ย?อันนี้ยังตอบไม่ได้ค่ะ แต่มีคนทักว่าหน้าตาดูสดใส อิ่มบุญ มากขึ้นค่ะ(มันไม่ได้แปลว่าหน้าบานขึ้นใช่มั้ย?) เอาเป็นว่าซื้อมาเพราะเป็นอาหารเสริมที่คอนเซ็ปต์ดีผลหลังจากรับประทานน่าพึงพอใจ ถือว่าปีนี้ให้โบนัสกับตับที่ต้องทำงานหนักเรียบร้อยแล้วค่ะ

วิธีการทำ “งามหน้า”

Skin care เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยกับเภสัชที่มีดีกรีนักวิทยาศาตร์เครื่องสำอางพ่วงท้ายแม้ว่าจะถือศีลกินเจ แต่ก็ยังต้องทำ skin care ทุกวัน (ชีวิตนี้เลยไม่เคยถือศีลแปดเลย อันที่จริงศีลห้าก็ไม่ครบ T__T) และ skin care ที่เป็นหนึ่งในตัวที่รักที่สุดในช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้คงต้องยกให้ “Youth Code” ของค่ายลอรีอัล ค่ะ


  • กรี๊ดแรก ตั้งแต่การวาง concept ของผลิตภัณฑ์ให้เป็น pre-essence ที่จะช่วยให้ skin care ที่เราใช้อยู่เป็นประจำสามารถซึมลงผิวได้ดีขึ้น
  • กรี๊ดที่สอง L’oreal กล้าบอกว่าเพียงหยดแรก สัมผัสได้ว่าผิวเนียนเรียบขึ้น...หลังจากได้ใช้ ก็จริงของเค้า
  • กรี๊ดที่สาม Youth code ดังตั้งแต่ก่อนเข้าไทยแล้วค่ะหลายคนเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะเข้าซักที
  • กรี๊ดที่สี่นักวิจารณ์เครื่องสำอางทั่วโลก ให้ความเห็นตรงกันว่า นี่มันแฝดพี่แฝดน้อง มุตตา-มุนินทร์ กับ Lancome Genifique ชัดๆ ส่วนประกอบใกล้เคียงกันมาก แต่ราคาแตกต่างกันเกือบ เท่า...ซึ่งเรื่องนี้ L’oreal ที่เป็นเจ้าของทั้ง 2 แบรนด์ ได้ออกมาแก้ตัว เอ๊ย!! ให้ข้อมูลว่าถึงแม้จะใส่อะไรคล้ายกันขนาดไหนก็ไม่มีทางที่เราจะใช้ความเข้มข้นเท่ากันกับผลิตภัณฑ์ high-end และผลิตภัณฑ์ที่เน้นขาย mass ในราคาคนละโลกแน่นอน Genifique ย่อมมีความเข้มข้นที่เหนือกว่าอย่างแน่นอน (แต่เงินนู๋น้อยอ่ะค่ะถึงแบรนด์จะพูดยังไง นู๋ก็เลือก Youth code สวยใสสบายกระเป๋าดีกว่าเนอะ)
  • กรี๊ดที่ห้า...ยอดขาย 5 ขวดทุกๆ 1 นาที...โม้รึเปล่า ไม่รู้ รู้แต่ชอบสถิตินี้ค่ะ ต้องซื้อๆๆ

ดังจะเห็นได้ว่าเวลาจะใช้เงิน เหตุผลเพียบเลย หุหุ ทีนี้ขออนุญาตพูดถึงสารสำคัญตัวหนึ่งใน Youth code ซึ่งก็คือ Bifidaferment lysate ที่เป็น probiotic ประเภทหนึ่งนั่นเองอย่าพึ่งร้องยี้ ถ้าคิดว่าต้องเอาเชื้อจุลินทรีย์ทาหน้านะคะ เพราะเราสามารถพบ Bifidaferment lyaste ได้ในผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สุดหรูอย่าง Lancome และ Estee Lauder ด้วย เนื่องจากการวิจัยในห้องแล็บพบว่า Bifidobacterium สามารถกระตุ้นการซ่อมแซมผิวและลดความไวของผิวต่อการแพ้สารต่างๆได้(แต่สำหรับคนที่แพ้น้ำหอม Youth code ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีแน่ๆค่ะ) ส่วนในศาสตร์ anti-aging เชื่อว่า probiotic ใน skin care มีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยและลดการอักเสบได้ค่ะแต่ส่วนมากผลการวิจัยต่างๆก็มักมาจากผู้ผลิตเครื่องสำอางนั้นๆค่ะ ดังนั้น probiotic จึงมักจะถูกหยิบยกมาใช้ให้เห็นกันบ่อยขึ้นในระยะหลังๆโดยเฉพาะเคาเตอร์แบรนด์ ซึ่งพยายามชู concept anti-aging skin care

ส่วนผลหลังการใช้พบว่า ไม่แพ้น้ำหอมแต่อย่างใดค่ะ สามารถทาทั่วหน้าและลำคอได้เป็นประจำเช้า-เย็น ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นจริงๆ และการลง skin care ตัวอื่นๆหลังจาก Youth code ก็ทำได้ง่ายขึ้น เหมือนว่าผิวสามารถดูดซึมครีมอื่นๆได้ดีขึ้นค่ะ ส่วนเรื่องลดริ้วรอย ต้องบอกว่ายังไม่มีริ้วรอย เลยตอบไม่ได้ว่าช่วยได้มากขนาดไหน ส่วนเรื่องรูขุมขนดูเล็กลงค่ะ ตอนนี้ขวดแรกใกล้หมดแล้ว เลยซื้อเก็บเข้าคลังมหาสมบัติเพิ่มตามที่เห็น^^ (ใครที่มีแผนเดินทางต่างประเทศ ซื้อที่ดิวตี้ฟรี ราคาถูกมากค่ะ) 

*ทั้ง Yoghurt และ Bioklean ไม่อยู่ในอาหารที่สามารถรับประทานในช่วงเทศกาลกินเจนะคะ

**การรีวิวใน blog นี้มาจากความคิดเห็นส่วนตัวหลังการใช้ค่ะ อาจจะมีอารมณ์ความรู้สึกผสมลงไปมากไปหน่อย หุหุ




Create Date : 03 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2555 15:42:05 น.
Counter : 3298 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

KhunNooHaRa
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



เภสัชกร "คุณนู๋" จากการเรียกขานของเพื่อน เพื่อนแต่นิสัยตรงกันข้ามกับสิ่งที่เพื่อนเรียกโดยสิ้นเชิง

คลั่งไคล้ หลงไหล รักการอธิบาย ให้ข้อมูล และหาข้อมูลเกี่ยวกับ skin care, cosmetics, dietary supplements ต่างๆ

จึงมีความใฝ่ฝันที่จะสะสมประสบการณ์ แล้ว share ให้คนอื่นๆได้รับรู้ผ่านทาง Blog นี่แหละค่ะ....ตอนนี้ประสบการณ์เริ่มแน่น ทำตามฝันเลย ลุย!!!