สิงหาคม 2555

 
 
 
1
2
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
เภสัชขา...ถามจริงเถอะพึ่งเรียนจบรึเปล่า?

เภสัชฯ ขา...ถามจริงเถอะพึ่งเรียนจบรึเปล่า?

 

            หลายครั้งที่เจอคำถามทำนองนี้หลังการอธิบายหรือให้คำแนะนำต่างๆกับคุณๆที่มาปรึกษาที่ร้านยา ไม่ว่าจะเป็นคำถามว่า“พึ่งจบหรอ?/ จบปีนี้ใช่มั้ย?/ เรียนปีอะไรแล้ว?/ มาฝึกงานหรอ?” ซึ่งทุกครั้งที่เจอคำถามแนวนี้เภสัชเองก็มีอันต้องสะดุ้งทุกครั้ง พร้อมคิดในใจ ช้านจบมาสี่ปีแล้วนะ!!! หรือความรู้ที่พูดไปมันดูไม่ professional พอ คุณผู้ป่วย (ขออนุญาตใช้คำนี้นะคะ คือใครเดินเข้าร้านยาเราก็จะเรียกว่าผู้ป่วยซะหมด แม้ว่าคุณจะเดินมาซื้อโฟมล้างหน้าก็ตาม หุหุ) ถึงคิดว่าเป็นเภสัชป้ายแดงหรือบางคนคิดขนาดว่ายังเรียนไม่จบเลยนี่ แต่ด้วยหน้าที่บังคับเภสัชก็ต้องสะกดกลั้นความคิดนี้ไว้ แล้วพูดคุยกับคุณผู้ป่วยกลับไปว่า

 

เภสัช : “คือจบมาเข้าปีที่สี่แล้วค่ะไม่ได้พึ่งจบค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” พร้อมส่งยิ้มหวานสุดๆ (แต่ในใจเต้นระรัวมากช้านจะโดนผู้ป่วยเหวี่ยงมั้ยหนอ?)

 

ผู้ป่วย : “จบมาสี่ปีแล้วหรอ? เห็นหน้าเด๊กเด็ก เลยนึกว่าพึ่งจบ พวกหมอ พวกเภสัชนี่หน้าเด็กกันจังเลยนะ”

 

ตอนนี้เองที่โล่งใจ และตัวลอยไปพร้อมกัน ช้านหน้าเด็ก ฮ่าๆๆๆ ช้านหน้าเด็กแต่คำชมของผู้ป่วยมักจะไม่ยุติเท่านี้ เพราะมักจะมีคำถามต่อมา คือทำอย่างไรให้หน้าเด็กแบบเภสัชคะ? ซึ่งพอเจอเคสทำนองนี้บ่อยๆ ก็เลยคิดว่าควรเขียนวิธีการดูแลตัวเองให้ดูอ่อนกว่าวัยมาให้ได้อ่านกันค่ะ^^

พอพูดว่า “อ่อนกว่าวัย” ก็ทำให้คิดถึงคำๆนึงขึ้นมา นั่นคือคำว่า “anti-agingหรือ ศาสตร์การชะลอวัย” ซึ่งจริงๆแล้วต้องบอกว่า anti-aging ไม่ใช่แค่การทำให้หน้าตาเต่งตึง ไม่แก่ ไม่ย่น ไม่เหี่ยวเท่านั้น แต่ anti-agingยังมีความหมายรวมไปถึงวิธีการดูแลร่างกายและสุขภาพองค์รวมให้ดีจากภายในเป็นการชะลอความเสื่อมต่างๆของร่างกายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งต้องบอกว่า anti-agingนั้นเป็นคำที่กว้างมากค่ะ ดังนั้นในตอนนี้เลยขออนุญาตรวบหัวรวบหางตัดมาแค่ “3 อ.พื้นฐานหน้าละอ่อน” แบบเป็นทฤษฎีผสมปนเปกับปฏิบัติซึ่งก็เป็นสิ่งที่ขมวดขึ้นมาเองจากหลักการ anti-aging ที่แอบอ่านจากหนังสือบ้างอินเตอร์เน็ตบ้างและการฟังคุณหมอ (เพราะฉะนั้นขออนุญาต guru anti-aging ไว้เลยค่ะ ถ้ามันจะผิดพลาดไปบ้าง^^)


อ. อ่าง ที่หนึ่ง --- อาหาร

 

อ.อ่างแรกของพื้นฐานหน้าละอ่อน คืออาหาร นั่นเอง ซึ่งก็มีเทคนิคง่ายๆ 4 ข้อ ดังนี้ค่ะ

 1. หวานลิ้น ทำชีวิตขม (ขื่น)...งดน้ำตาลและแป้งขัดขาวกันเถอะ


เมื่อผู้ร้ายตัวจริงมาในรูปแบบใสซื่อหวานเจี๊ยบหลายๆคนจึงหลงชื่นชอบ เพราะเมื่อได้น้ำตาลเหล่านี้เข้าไปจะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นสุดๆแต่ความสดชื่นนี้จะอยู่ในช่วงสั้นๆเท่านั้นค่ะเนื่องจากน้ำตาลและแป้งขัดขาวจัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่มีค่า Glycemic index สูง...แปลว่าอะไรหนอ? แปลว่าเจ้าพวกนี้ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงปรี๊ดๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเหตุกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ชื่ออินซูลิน (insulin) ออกมาเพื่อลดน้ำตาลในเลือด (เจ้าฮอร์โมนอินซูลินนี้คือตัวเดียวกันกับที่คนเป็นเบาหวานเอามาฉีดเข้าที่พุงนั่นแหละค่ะ) หลังจากนั้นวงจรชั่วร้ายก็เกิดซ้ำๆ คือพอน้ำตาลในเลือดต่ำ เราก็จะหิว พอหิวก็กินน้ำตาล น้ำตาลสูงปรี๊ด อินซูลินหลั่ง แล้วก็หิว เห็นมั้ยคะว่าชั่วร้ายจริงๆซึ่งวิธีการตัดวงจรนี้ทำได้ไม่ยากค่ะ คือเลือกทานอาหารที่มีค่า glycemic index ต่ำๆซะ เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักต่างๆ ฝรั่ง แอ๊ปเปิ้ล มะเขือเทศ มะละกอ เป็นต้น (โดยส่วนตัวเรียกว่า “อาหารนก” ค่ะ อิอิ)เนื่องจากอาหารนกที่บอกนี้ทำให้น้ำตาลในเลือดค่อยๆ กระดึ๊บๆ ขึ้นช้าๆ น้ำตาลในเลือดจึงค่อนข้างคงที่ เราก็จะอิ่มได้นานขึ้น จึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ค่ะ ซึ่งคุณหมอกฤษดา ศิรามพุช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-aging เคยกล่าวไว้ว่า“น้ำหนักดี หนีแก่ได้” เพราะฉะนั้นจะละอ่อนได้ ต้องคุมน้ำหนักด้วยนะจ๊ะ


ยังไม่หมดเพียงเท่านี้กับความร้ายกาจของผู้ร้ายหน้าหวานค่ะเพราะน้ำตาลยังไปทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า “Glycation” ในร่างกายซึ่งเป็นปฏิกิริยาเดียวกับการเกิดน้ำตาลไหม้กลายเป็นสีน้ำตาลตอนที่เราเอาน้ำตาลไปตั้งไฟนั่นแหละค่ะ คือน้ำตาลจะไปจับกับโปรตีนในร่างกายได้เป็นสิ่งที่เรียกว่า “Advanced Glycation End Products (AGEs)” ซึ่งเจ้า AGEsนี้ถือเป็นโปรตีนที่ผิดปกติมีโครงสร้างหน้าตายุ่งเหยิงและเป็นสาเหตุที่ทำให้คอลลาเจนในผิวเราเปราะ หัก แตก ซึ่งก็จะแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นริ้วรอย ความหมองคล้ำ ผิวกระดำกระด่าง และผิวดูไม่สดใสนั่นเอง สรุปง่ายๆว่าน้ำตาลเป็นผู้ร้ายต่อผิวนะคะสาวๆ ทราบแล้วก็เลี่ยงๆ ลดๆ ความหวานกันนะคะจะได้มีผิวเด้งๆและสุขภาพดีกันทุกคนค่ะ

 2. หนักเช้าเบาเที่ยง เลี่ยงเย็น เว้นดึก

อย่างที่บอกไปแล้วค่ะว่า “น้ำหนักดี หนีแก่ได้” วิธีนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยดูแลน้ำหนักอย่างได้ผลและไม่ทรมานค่ะ คือไปจัดหนักมื้อเช้า แล้วมื้อเย็นเลือกทานผัก ผลไม้ หรืออาหารที่ให้พลังงานน้อยแทน ไม่แนะนำเรื่องการอดอาหารเย็น แต่อาจลดปริมาณลงค่ะนอกจากนี้มื้อเย็นควรห่างจากเวลาเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดการเกิดปฏิกิริยา Glycation ที่ทำให้ผิวแก่กว่าวัยด้วยค่ะ

            3. กลยุทธ์ Half size ข้าวครึ่งจานทำให้ผอมและละอ่อนได้

กลยุทธ์นี้ปรับมาจากวิธี Calorie restriction (CR) ซึ่งกล่าวว่าการรับประทานแคลอรี่ลดลง 20-40% จากปกติจะช่วยให้อายุยืนยาวขึ้นได้ เพราะอาหารที่เราทานๆกันพอเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการเผาผลาญเป็นพลังงาน ซึ่งการเผาผลาญนี้จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระต้นเหตุสำคัญของความแก่นั่นเอง นอกจากนี้การทานครึ่งจานยังได้ผลดีอีกเด้ง คือน้ำหนักลดลงด้วย วิธีนี้ทำได้ง่ายแสนง่าย คือ ตักข้าวให้น้อยลงกว่าปกติค่ะ กับข้าวทานได้เท่าเดิมค่ะแค่เลี่ยงของมันก็พอ (สารภาพว่าเภสัชก็ไม่เคยนับแคลอรี่ซักทีอาศัยแค่ตักข้าวน้อยลงนี่แหละค่ะ^^)

 

4. หาวิตามินกับสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกายกันเถอะ 

อาหารเสริมเข้ามามีบทบาทสำคัญตรงนี้ค่ะเพราะมั่นใจมากว่าไม่สามารถทานอาหารครบ 5 หมู่ได้แบบที่เคยเรียนในแบบเรียน ส.ล.น. ตอนเด็กๆ ยิ่งวันทำงานด้วยแล้ว ประเภทของอาหารยิ่งเละเทะเข้าไปใหญ่ (กลายเป็นเภสัชราดแกงบ่อยๆ >.<) เลยต้องใช้อาหารเสริมเข้ามาเป็นตัวช่วยค่ะโดยส่วนมากที่แนะนำให้เลือกซื้อมารับประทานก็มักจะเป็นอาหารเสริมพวกที่เป็นวิตามินและเกลือแร่รวม หรือ กลุ่มที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระค่ะซึ่งแต่ละคนก็อาจมีข้อจำกัดการทานอาหารเสริมที่ต่างกัน ดังนั้นก่อนซื้อควรศึกษาข้อมูลอาหารเสริมนั้นๆก่อนนะคะ หรือปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกรก่อนก็ดีค่ะ^^

 


อ.อ่างที่สอง --- อารมณ์

 

หลังจากวุ่นๆกับเรื่องปากเรื่องท้องไปแล้วเรื่องต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ เรื่องอารมณ์ค่ะอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าคนอารมณ์ดี มีความสุขก็จะดูสดใสอ่อนวัยกว่าคนขี้เหวี่ยง ขี้วีนทั้งหลาย ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่าร่างกายมีสารตัวหนึ่งชื่อ “เอ็นดอร์ฟิน” (Endorphin) เป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองแล้วทำให้เรารู้สึกมีความสุข ส่วนวิธีการที่จะทำให้ Endorphin หลั่งออกมานั้น ฝรั่งตาน้ำข้าวเค้าอธิบายไว้สารพัดวิธีค่ะตั้งแต่ออกกำลังกาย, ทานช็อกโกแลต, ฝังเข็ม, นวดบำบัด และรวมไปถึงการมี sexด้วย (แอบเขิน :P) สำหรับคนไทยแลนด์แดนออฟสไมล์อย่างเราๆ แค่ยิ้มให้กันบ่อยๆ มองโลกมุมบวกแบบ positive thinking รวมไปถึงการทำสมาธิตามหลักพุทธศาสนาสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้สารแห่งความสุขนี้หลั่งออกมาให้ชีวิตสดชื่นได้ทุกวันเหมือนกันค่ะ


อ.อ่างที่สาม --- ออกกำลังกาย

 

เหตุผลที่การออกกำลังกายทำให้เราคงความหนุ่มสาวอ่อนวัยไว้ได้นั้นเนื่องมาจากการออกกำลังกายจะมีผลกระตุ้นให้เกิดการหลั่ง “Growth hormone” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยชะลอความเสื่อมต่างๆของร่างกายหรือที่บางท่านเรียกว่าฮอร์โมนแห่งความเป็นหนุ่มสาวนั่นเอง โดยคุณหมอกฤษดา ศิรามพุช ได้กล่าวไว้ว่าการออกกำลังกายที่สามารถกระตุ้นการหลั่งของ growth hormone ได้ดี คือการออกกำลังกายแบบที่เรียกว่า “ออกกำลังแบบสลับช่วง(interval training)” คือการออกกำลังแบบสลับ ระหว่างการออกกำลังอย่างเต็มที่สลับกับการออกกำลังช่วงผ่อน เช่น วิ่งสุดแรง 2 นาทีสลับกับเดินพัก 2 นาทีค่ะ (แต่ต้องทำทั้งหมดประมาณ 20 นาทีนะคะ ไม่ใช่ 4 นาที^^)

 

ช่วงที่เราออกกำลังเต็มที่ จะทำให้กล้ามเนื้อของเราต้องการออกซิเจนมากขึ้นขั้นสุดยิ่งออกกำลังกายหนัก กล้ามเนื้อยิ่งต้องการออกซิเจนมาก และถ้าเราสามารถออกกำลังได้หนักจนเข้าขั้นที่ทำให้กล้ามเนื้อใช้ออกซิเจนได้ใกล้เคียงกับปริมาณออกซิเจนสูงที่สุดที่ร่างกายใช้ไปขณะออกกำลังกายก็จะทำให้ไปกระตุ้นสิ่งที่เรียกว่า “afterburn effect” ได้ หมายความว่าร่างกายจะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ต่อไปอีก 48 ชั่วโมงหลังจากหยุดออกกำลังกายไปแล้ว (ว๊าวๆๆๆ เหนื่อยแค่ไม่กี่นาที แต่เผาแคลอรี่ต่อได้อีก 2 วัน เลิศเลอมากค่ะ)  ส่วนช่วงการออกกำลังแบบผ่อนจะเป็นช่วงที่ให้ร่างกายได้พักได้กำจัดกรดแลคติก (lactic acid) ตัวการของการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นมาตอนที่ออกกำลังอย่างเต็มที่ลงซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายๆท่านยืนยันว่าการออกกำลังแบบสลับช่วงจะทำให้เกิดการเผาผลาญแคลอรี่และการสร้างกล้ามเนื้อของร่างกายดีกว่าการโหมออกกำลังหนักๆแบบไม่ได้พักค่ะ

 

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากฝาก 3 อ.อ่างนี้ให้นำไปใช้กันนะคะ จะได้หน้าเด็ก สุขภาพดีกันทุกๆคนเลยค่ะ^^

 


ปัจฉิมลิขิต : สำหรับ guru anti-aging ทั้งหลาย หรือ คนที่มีวิธีดีๆมาแนะนำ ฝากไว้ใน comment ด้านล่างได้นะคะ (เรื่องนี้ศัพท์ภาษาต่างดาวเยอะไปหน่อยแต่ก็พยายามทำให้ดูง่าย เข้าใจง่ายแล้ว แต่ถ้าใครผ่านมาอ่าน แล้วยัง งงๆ ยินดีรับคำถามและทุกความเห็นเหมือนเดิมค่ะ^^)

 

Reference

 

//www.fightaging.org/archives/2001/11/calorie-restriction-explained.php

 

//www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health4.htm

 

//www.charpa.co.th/articles/skin_aging.asp

 

//www.medicinenet.com/script/main/art.asp?articlekey=55001

Anti-Aging ต้านแก่ด้วยวิธีธรรมชาติ นพ. กฤษดา ศิรามพุช

Anti-aging สวยปิ๊ง สมองไบรท์ พญ.ธิดากานต์ รัตนบรรณางกูร

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 16 สิงหาคม 2555
Last Update : 31 สิงหาคม 2555 14:02:58 น.
Counter : 2335 Pageviews.

2 comments
  
ขอขอบคุณมากค่ะ
โดย: เพียงดิน (เพียงดิน ) วันที่: 16 สิงหาคม 2555 เวลา:4:50:58 น.
  
ยินดีมากค่ะ และขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม blog ค่ะ
โดย: KhunNooHaRa วันที่: 22 สิงหาคม 2555 เวลา:23:30:52 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

KhunNooHaRa
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



เภสัชกร "คุณนู๋" จากการเรียกขานของเพื่อน เพื่อนแต่นิสัยตรงกันข้ามกับสิ่งที่เพื่อนเรียกโดยสิ้นเชิง

คลั่งไคล้ หลงไหล รักการอธิบาย ให้ข้อมูล และหาข้อมูลเกี่ยวกับ skin care, cosmetics, dietary supplements ต่างๆ

จึงมีความใฝ่ฝันที่จะสะสมประสบการณ์ แล้ว share ให้คนอื่นๆได้รับรู้ผ่านทาง Blog นี่แหละค่ะ....ตอนนี้ประสบการณ์เริ่มแน่น ทำตามฝันเลย ลุย!!!