ขึ้นหัวมาด้วยคำว่า “ CELEB ” ซึ่งมาจากคำว่า Celebrity แปลว่าคนที่เป็นที่รู้จักของสังคม มีชื่อเสียง เป็นดารา หรือซุป’ตาร์ นั่นเองค่ะ.... กรี๊ดดดดดด แล้ววันนี้เราจะไปสัมภาษณ์ใครกัน?

ตอนพิเศษของการเขียน blog วันนี้ ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจาก “คุณพี่ออม” เภสัชกร ..... (เริ่มมีคำถามในใจกันแล้วสิว่า...ใครอ่ะ? ^^) ปัจจุบันคุณพี่ออมดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทอาหารเสริมชั้นนำแห่งหนึ่ง และมีประสบการณ์การทำงานเพียบพร้อมรอบด้าน ผ่านมาแล้วทั้งสายงานโรงพยาบาล บริษัทยาและบริษัทเครื่องสำอาง แล้วคุณพี่ออมเป็น CELEB อย่างไร? เชิญอ่านบทสัมภาษณ์ค่ะ

นิยามคำว่า “CELEB”

ความเข้าใจของคนทั่วๆไป CELEB ก็คือคนดัง คนมีชื่อเสียงนั่นแหละ ถ้ามองแค่นี้ก็จบไง แต่พี่มอง CELEB ในมุมที่ลึกกว่านั้น คนกลุ่มนี้เป็นคนที่ทำงานหนัก นอนน้อย สังคมเยอะ เจอแสงไฟ แสงแฟลชเกือบตลอด แต่พวกเค้าก็ต้องเป๊ะตลอด ทั้งหน้า ผิว ผม หุ่น พี่ก็เลยมาโฟกัสว่า ถ้าคนกลุ่มนี้สามารถบริหารเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดสุดฤทธิ์ของเค้ามาดูแลตัวเองได้แบบเป๊ะทุกมุม พวกเราที่น่าจะมีเวลาเหลือเยอะกว่า ก็น่าจะดูแลตัวเองในระดับเดียวกับเค้าได้ หรือจริงๆเราอาจทำได้ดีกว่าเค้าด้วยซ้ำ CELEB ในมุมมองของพี่ก็เลยต่างไป ถ้าจะให้นิยาม พี่ว่าใครที่ดูแลตัวเองได้เป๊ะมากๆ จนทำให้คนรอบข้างมากรีดร้องขอเคล็ดลับความเป๊ะ นั่นแหละ CELEB ตัวจริง

มีมั้ยที่คนรอบข้างบอกว่า “นี่แหละ CELEB” 

ก็มีนะ (ตอบพร้อมหัวเราะแบบอารมณ์ดีสุดๆ) เพราะตัวพี่เองก็พยายามบอกคนรอบข้างตลอด เรื่องการดูแลสุขภาพ อะไรดี อะไรไม่ดี เราก็พยายามบอก หรือบางคนแค่เค้าเห็นสิ่งที่พี่กิน เค้าก็จะกรีดร้องแล้วว่านี่มันอาหารของนางแบบ Victoria’s secret รึเปล่า? หลายๆคนเลยบอกว่า lifestyle (วิถีชีวิต) เราดูเหมือนดาราฮอลลีวู้ดมาก

ขอเคล็ดลับ CELEB บ้าง

ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร แต่พี่จะดูแลตัวเองตามหลัก anti-aging ซึ่งพี่ว่ามันเป็นสิ่งที่ครอบคลุมครบทุกเรื่องแล้วในการดูแลตัวเอง (อยากรู้เรื่อง anti-aging เพิ่มเติมลองอ่านได้จาก blog ตอนที่แล้วนะคะ) แล้วอาศัยความรู้ที่เราเป็นเภสัชกับเคยผ่านการทำงานในองค์กรหลากหลาย ทั้งที่เป็นบริษัทยา บริษัทเครื่องสำอาง และบริษัทอาหารเสริมมาครบหมดแล้ว ก็เอาความรู้กับประสบการณ์ทั้งหมดมาประยุกต์ใช้ในการดูแลตัวเองเพิ่มเติม

วิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แบบ CELEB 

ก็ต้องยอมรับกันตรงๆ เพราะว่าตอนนี้ตัวเองก็อยู่ในส่วนของการตลาด เพราะฉะนั้นราคาสินค้าบางอย่าง โดยเฉพาะพวก skin care บางทีเราก็รู้สึกได้ว่าราคามันสูงเกินกว่าที่มันควรจะเป็นจริงๆ เพราะฉะนั้นเวลาเลือกซื้อสินค้า อย่าดูที่โฆษณา ให้พิจารณาความเหมาะสมกับตัวเองเป็นหลัก ปัจจุบันผู้บริโภคเก่งขึ้น เริ่มศึกษาข้อมูลมากขึ้นก่อนจะซื้อ ฉลากที่แสดงส่วนประกอบจะเป็นคนบอกความจริงกับเรามากที่สุด พี่ก็ใช้ตรงนี้เป็นตัวตัดสินใจหลัก แล้วค่อยซื้อมาใช้ แต่เสน่ห์ของ skin care มันก็อยู่ที่เรื่อง texture (เนื้อสัมผัส) กับ feeling (ความรู้สึก) ด้วย มันก็มีอยู่เหมือนกันที่อ่านฉลากซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ซื้อมาใช้แล้วไม่ชอบก็มี อารมณ์เดียวกับการออกเดทนั่นแหละ จะรู้ว่าเค้าเหมาะกับเรามั้ย ก็ต้องลองออกเดทสักครั้ง สองครั้ง skin care ก็ไม่ต่างกัน

สิ่งที่เป็น MUST HAVE…CELEB ขาดไม่ได้

มี 2 อย่างนะที่ขาดไม่ได้เลยโดยเด็ดขาด คือ ครีมกันแดด กับ cleansing เพราะอย่างที่รู้ๆกันถึงอันตรายมากมายของรังสียูวีเอ ยูวีบีในแสงแดด พี่ว่ามันเลวร้ายมากกับผิว UV A-Aging, UV B-Burn พี่ก็เลยจะเลือกครีมกันแดดที่ SPF ค่อนข้างสูง คือ ไม่น้อยกว่า 40 และก็ต้องดูที่มีสัญลักษณ์ PA+++ ควบคู่มาด้วย เราก็จะได้มั่นใจว่ากันแดดที่เราใช้ปกป้องผิวเราได้ครบทั้งยูวีเอ และยูวีบี แต่ตอนล้างก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน เพราะสารกันแดดมันอุดตันผิวได้ ก็อาจจะทำให้เป็นสิวอุดตันได้ ถ้าล้างหน้าไม่สะอาด เพราะฉะนั้น cleansing เป็นสิ่งที่ต้องใช้ทุกวันเหมือนกับครีมกันแดดนั่นแหละ ซึ่งจุดนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดที่คิดว่าต้องใช้ cleansing เฉพาะวันที่แต่งหน้าเท่านั้น

บางคนบอกว่าการดูแลตัวเองมันเหนื่อย มันยาก มันท้อ

อันนี้ต้องเริ่มปรับที่ความคิดก่อน เพราะส่วนมากสิ่งที่เราชอบ คือ สิ่งที่ไม่ดี เช่น น้ำตาล ของหวาน เบเกอรี่ ก็ไม่แปลก เพราะร่างกายเราถูกออกแบบมาแบบนี้ คือเหนื่อยกินน้ำตาลแล้วสดชื่น เกิดและโตเมืองไทยก็กินข้าวกันมาตลอด วันนึงมีคนมาบอกว่าแป้งไม่ดี น้ำตาลกินเยอะแล้วจะเป็นการเผาผิว (คุณพี่ออม หมายถึง กระบวนการ glycation ค่ะ) มันก็คงไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดซะทีเดียว เพราะฉะนั้นการปรับความคิดของตัวเราเองก่อนสำคัญมาก อาหารเช้าของพี่ไม่มีแป้งเลย ตอนกินก็คิดแค่ว่ากินแล้วสวย ฉันคือ คริส หอวัง ไม่ใช่ คริส-สะ-ดา ( คริส-สะ-ดา คือ ชื่อจริงของคุณพี่ออมค่ะ แต่สำเนียงภาษาอังกฤษของคุณพี่ประดุจ คริสโตเฟอร์ ไรท์ เจ้าของรายการ คริส เดลิเวอรี่ หุหุ)

และสิ่งที่ดีที่สุด คือ การเดินทางสายกลาง แบบที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสเมื่อสองพันกว่าปีก่อนนั่นแหละ อย่าตึงกับตัวเองมากไป แต่ก็ไม่ควรจะหย่อนมากมาย อย่างการควบคุมอาหาร ก็อาจมี 1 วันในสัปดาห์ที่หนีไปกินบุฟเฟ่ต์บ้าง เบเกอรี่บ้าง ซึ่งก็เป็นเหมือนการให้รางวัลกับตัวเองที่อีก 6 วัน เราสามารถจัดการกับเรื่องอาหารได้ ทำให้การดูแลตัวเองเป็นเรื่องสนุก ออกกำลังกายให้เป็นเหมือนอีกกิจกรรมในชีวิต พี่ว่าถ้าปรับที่ความคิดก่อน ก็จะไม่มีคำว่าท้อ หรือยากเกินไป

อ่านจบแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า? ว่าทุกคนล้วนมีความเป็น CELEB ในตัวเอง เพียงแค่คิดให้สวย (positive thinking) กินให้สวย (healthy food) อยู่ให้สวย (good wellness) แล้วรัศมีความสวยก็จะเปล่งประกายจากตัวคุณราวกับเป็นซุปเปอร์สตาร์ค่ะ