วันศุกร์แล้ว...ก็ได้เวลา up Blog ซะทีวันนี้โรงเรียนหยุดแต่ต้องไปประชุมเกี่ยวกับเรื่องการกระจายอำนาจ สำหรับโรงเรียนเครือข่าย เราเข้าใจว่าการกระจายอำนาจอะไรเนี่ย น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารและงบประมาณ...แต่ว่าที่มาประชุมวันนี้ เค้าให้เตรียมแผนการสอนกับหลักสูตรมาด้วย สรุปว่าหากมีการกระจายอำนาจครูก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนที่ว่านี้คือ การเขียนแผนการสอนแบบใหม่...ดังเช่นที่เคยเปลี่ยนกันมาแล้วแปดสิบห้ารอบได้...ถ้าใครที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกับวงการศึกษา หรือติดตามอยู่บ้าง คงน่าจะเคยได้ยินเรื่อง การสอนแบบบูรณาการ ยึดเด็ก ( ที่นั่งเบียดกันเต็มห้อง ) เป็นศูนย์กลาง และ ฯลฯ พอมีกระแสอะไรมาใหม่ เราก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบแผนตาม ตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียงกำลังบูม แผนเราก็ต้องสอดแทรกเรื่องความพอเพียง แต่ยังไม่ทันได้ปรับแผน ก็เรื่องใหม่มาอีกแล้ว ( เรากะว่าจะทำเรื่องโลกร้อนแทรกในแผนไว้ล่วงหน้าเลย...เพราะคาดว่ากระแสนี้กำลังมา )... เฮ้อ...ขอบ่นๆๆๆๆๆๆๆยาวหน่อยช่วงต้นของการอบรมวิทยากรระดับปรมาจารย์ นำผลการสำรวจไอคิวของเด็กแต่ละชาติมาเปรียบเทียบให้ดู( ไอคิวปกติจะอยู่ที่ 90-109 สูงกว่านั้นก็คือดีและดีเลิศไปเรื่อยๆ ) ผลปรากฏว่าเด็กญี่ปุ่น ไอคิวเฉลี่ย 105เด็กเกาหลีใต้ 106แล้วก็ไล่ประเทศทางเอเชียลงมาเรื่อยๆผ่านเวียดนามผ่านลาว ( ลาวอยู่ที่ 89 )และไทยรั้งท้ายๆอยู่ที่ 87!!!เราเองเป็นครูไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะอยู่ใกล้ชิดกับเด็กและก็รู้ว่าเด็กสมัยนี้เป็นยังไง ******************แต่เค้าก็พยายามจะบอกว่ามันสะท้อนการสอนของครู ******************ในความคิดของเรา( คนเดียวนะคะ ) เรารู้สึกว่าพวกคุณหยุดสร้างสรรค์กันได้แล้ว คุณสอนกันแบบเดิมๆนั่นแหละ แล้วคุณสอนจริงๆจังๆสิคะ แฟนเราก็บ่นเรื่องนี้เหมือนกัน ครูขาดแคลน ครูสอนไม่ตรงเอกที่จบมา และสารพัดปัญหาพื้นฐาน ไม่เห็นมีใครแก้ปัญหาเลยค่ะ ( ถ้าบ้านคุณหลังคารั่ว คุณเลือกที่จะเอาเงินไปซ่อมหลังคาก่อน หรือจะเอาเงินไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ )... ภาระงานครูในปัจจุบันที่ว่าเยอะๆๆๆๆๆ เราคิดว่าโดยส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก หรือไม่ได้ช่วยให้เด็กฉลาดขึ้นหรือเป็นคนดีขึ้น ยังไม่ได้พูดถึงงานฉาบฉวยอีกหลายอย่างครูเกือบร้อยเปอร์เซนต์ที่โรงเรียนและที่อื่นๆ มีแผนการสอนซึ่งมาจากแผ่นซีดี ปริ้นท์ๆๆๆๆใส่ชื่อตัวเอง ก็ไม่เข้าใจว่ามันต่างจากสมัยก่อนที่กระทรวงเค้าแจกแผนเป็นเล่มๆมาให้สอนตามนั้นเลยตรงไหนพูดง่ายๆ เรารู้สึกว่าแทบจะทุกอย่างมันเป็นการแตะแค่เปลือก และทำกันแค่ผิวเผิน หรือพอเป็นพิธีเท่านั้นเองหลักใหญ่ใจความจึงอยู่ที่ ครู...โปรดสอนให้เต็มเวลา เต็มความสามารถเท่านั้นเองเฮ้อ...บ่นมายาวเป็นกิโล พรุ่งนี้ก็ต้องไปนั่งอบรมต่ออีกวันนี้ตอนพักเที่ยง บังเอิญมีพวกผู้หลักผู้ใหญ่มาขอใช้สถานที่ พวกครูกิ๊กก๊อกอย่างพวกเราจึงต้องถูกให้นั่งรอๆๆๆ เบื่อๆก็เลยชวนพี่ๆ ไปกินไอติมกันที่เรือนรับรอง ( เป็นบ้านพักรับรองหรือโรงแรมสำหรับคนมาเที่ยวที่เขื่อนภูมิพล ) สมัยก่อนไอติมที่นี่ขึ้นชื่อมากเรื่องความหอมมัน แต่เดี๋ยวนี้....กินไม่หมดจนได้ร้านอาหารชั้นล่างของเรือนรับรองมองลงไปด้านล่างมุมสวนหน้าอาคารบรรยากาศของเขื่อนภูมิพลตอนนี้ดีจริงๆ เราเคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ สงบ ร่มรื่น แทบจะไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรเลย แถมยังมีต้นไม้ดอกไม้สวยๆ ( ดูแลโดย กฟผ.) เต็มไปหมด ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้อยู่แล้ว เวลาเข้ามาเที่ยวทีไรก็นึกถึงอดีตของตัวเองทุกที ( ตอนเด็กๆเนี่ยรู้สึกภูมิใจกับชุมชนของตัวเองซะจริงๆเลย )... แต่แล้วก็ต้องกลับไปนั่งรอๆๆๆๆๆที่โรงเรียนอีกคุณขอเวลา 45 นาที แต่คุณเลทไป 3 ชม. ก็ไม่เป็นไรเพราะคุณเป็นพวกมีเงิน มีอำนาจ คุณจะมาช้าหรือปล่อยให้เรานั่งรอจนตายไปเลยก็ได้ คุณไม่มีวันผิดแน่นอน ( นึกภาพครูเกือบร้อยคนนั่งรอกันเต็มระเบียงอาคาร บางคนก็งีบหลับไปแล้ว ) ถ่ายรูปเล่นก็แล้วถ่ายรูปเล่น ( อีก ) ก็แล้วนั่งคุยกันได้เป็นร้อยๆเรื่อง จนแฟนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว มันไม่ใช่แล้ว ไม่มีใครคิดจะแก้ปัญหาอะไรเลย บ่ายสามโมงครึ่งแล้ว พี่ท่านรีบสตาร์ทรถ...แบบนี้เรียกโดดอบรมรึเปล่า แต่มารู้ตัวอีกที เราก็พาตัวมาเดินซื้อของที่ตลาดนัดกันแล้ว...อิอิ ที่ตลาดนัดเจอคนคุ้นๆ เหมือนนั่งอบรมอยู่ด้วยกันเมื่อเช้าด้วยล่ะ...เขินกันไปเลย...เมื่อวาน เราบอกเด็ก ม.1 ว่าเทอมหน้าอาจไม่ได้เจอกันแล้ว เพราะครูจะย้ายไปสอนที่อื่น พูดเสร็จเป้หญิงเอาลูกอมมายื่นให้...พร้อมกับฉีกยิ้มแก้มแทบแตก ( นี่แหละจะให้เบื่อเด็กได้ไง...เบื่อพวกผู้ใหญ่ล่ะพอว่า )
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าใครเป็นคนคิดว่าไม่จำเป็นต้องท่องสิ่งเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่ถ้าจำสิ่งเหล่านี้ได้มันจะติดตัวไปจนตาย ใครคิดให้เด็กหัดอ่านหัดจำเป็นคำๆ เหมือนการท่องศัพท์ของฝรั่ง เด็กจำคำว่า กา ได้ แต่ไม่เคยเห็นคำว่า ขา เด็กอ่านไม่ออกทั้ง ๆ ที่ถ้าเพียงแค่สะกดเป็นว่า กอ อา กา ก็ต้องสะกดคำว่า ขอ อา ขา ได้ สิ่งนี้ประสบกับตัวเอง เคยสอนการบ้านเด็ก ๆ แถวบ้านเป็นทุกคน คำง่าย ๆ ที่สะกดด้วยแม่เดียวกัน แต่อ่านอีกคำที่คล้าย ๆ กันไม่ออก เพียงเพราะครูยังไม่เคยสอนให้จำคำนี้ หลานอยู่ม. 1 แต่จะคูณเลข แม่ 3 ขึ้นไป ยังต้องถามหาตารางสูตรคูณ อยากถามว่าใครเป็นคนคิด ทั้ง ๆ ที่เวลาเข้าห้องสอบเอ็นทรานซ์ยังไม่อณุญาตให้เอาเครื่องคิดเลขเข้าไป แล้วเด็กยังท่องแม่สูตรคูณไม่ได้จะทำอย่างไร มันเกิดอะไรขึ้น สมัยเรา เราอ่านหนังสือได้ตั้งแต่อยู่อนุบาล 3 อ่านหนังสือพิมพ์รู้เรื่องตั้งแต่อยู่ ป.1 ไม่ได้บอกว่าตัวเองเก่ง แต่มันเป็นเพราะเราถูกหัดให้ท่อง ก.เอ๋ยก.ไก่ตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียนเลยไม่ใช่หรือ หัดให้ท่องเลข 1-100 ตั้งแต่ อนุบาลเลยไม่ใช่หรือ แล้วใครที่บอกว่าการท่องจำไม่มีความจำเป็น ใครตอบเราได้บ้าง