หลังจากที่นั่งคิดนอนคิด ปรึกษากันหลายตลบ ก็สรุปลงความเห็นแล้วว่าโอเคกับบ้านน้อยหลังนี้
ตกลงกับพี่เจ้าของบ้านเป็นที่เรียบร้อย
.
.
.
หลังจากไปดูบ้านครั้งแรกแล้วไปเจอเจ้าของพอดี จากนั้นก็แอบย่องไปดูอีกรอบ
คราวนี้พี่เจ้าของใช้ให้ลูกน้องมาถอนหญ้า ทำความสะอาดรอบตัวบ้านสำหรับเวลาที่ทางธนาคารจะมาประเมิน
ขณะเดียวกันเรากับแฟนแล้วก็แม่ก็ไปปรึกษาทางธนาคารออมสิน ทีแรกตั้งใจจะขอกู้จาก ธอส.เพราะให้สิทธิ
กับข้าราชการเต็มที่ และดอกเบี้ยต่ำ แต่เนื่องจากที่นี่ไม่มีสาขาของธนาคาร มีแต่แบบเคลื่อนที่มาเฉพาะวันพุธ
และฟังจากหลายๆเสียงว่าค่อนข้างเรื่องมาก เอกสารต้องละเอียด แม่เลยตัดปัญหาว่าให้กู้กับธนาคารออมสินไปเลย
ถึงจะกู้ได้แค่ 85% แต่ยังสามารถกู้สหกรณ์เสริมไปได้อีก อีกอย่างเจ้าหน้าที่ก็พูดจาแนะนำดีมาก
อันหลังนี้แม่ก็เลยปลื้ม
ไปดูบ้านรอบสอง ได้ดูอย่างละเอียดมากขึ้น
แฟนเรากับบ้านของเรา ( ยังไม่ได้ยื่นกู้เลย ใครต่อใครพากันเรียกบ้านเป็นชื่อเราซะแล้ว )
จันทร์ที่ 23 ก.ค. 50 นัดกับพี่เจ้าของที่ธนาคาร วางมัดจำ 20,000 บาท
พี่เค้าเตรียมหนังสือสัญญาซื้อขายมาเรียบร้อย เราก็เซ็นต์อย่างเดียว
แล้วก็ทางธนาคารให้เปิดบัญชีกับธนาคารด้วย
เนื่องจากการเรียกเก็บเงินสามารถทำได้ทั้งให้หักจากเงินเดือน หรือเอามาจ่ายเองก็ได้
พฤหัสที่ 26 ก.ค. 50 เรากับแฟนลางาน 1 วัน มายื่นเอกสารขอกู้ที่ธนาคาร ใช้เวลาแป๊บเดียว ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย
พี่เจ้าหน้าที่สัมภาษณ์เรากับแฟนนิดหน่อยเรื่องวุฒิการศึกษา จบจากที่ไหน ทำงานมากี่ปีแล้ว เท่านั้นเอง
เพราะเราเป็นผู้กู้หลัก ส่วนแฟนเรากู้ร่วม ถ้าเป็นของ ธอส.รู้สึกเค้าจะไม่ยอม ( ถ้ายังไม่ได้แต่งงานกัน )
แต่ของที่นี่เค้าเขียนลงในใบยื่นกู้เลยว่า "เป็นแฟนกัน" เออ..คุยกับแฟนเราว่าอย่างงี้ก็มีด้วย
ตอนนี้ก็ได้แต่รอฟังผล ส่วนเรื่องการไปประเมินบ้านนั้น พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าจะโทรหาพี่เจ้าของบ้านเอง
เพราะเรียนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมา..... ก็สะดวกไปอีกแบบ
ตอนนี้ในหัวสมองก็เลยมีแต่เรื่องบ้าน บ้าน บ้าน คิดนู่นนี่สารพัด จนแฟนเราต้องเตือนว่าให้มันเป็นไปทีละขั้น..
แต่ก็นะ มันอดไม่ได้จริงๆ ( แบบว่าแค่คิดก็หัวใจพองโต!!)