ไม่ได้อัพ Blog มาเกือบสองอาทิตย์...เป็นสองอาทิตย์ที่มีเรื่อง
หลายๆเรื่องเข้ามาทั้งที่ชวนปวดหัว และทั้งที่น่ายินดี บางครั้งก็เลยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนอื่นๆ
มันช่างหลากหลายซับซ้อนเหลือเกิน...
1. ไปลงประชามติแบบไม่ได้อ่านร่างประชาธิปไตย ( แค่หยิบมาเปิดๆ
ดูว่านะ...ลงทุนดีจัง ) จากที่เวลาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ จะไม่ชอบข่าว
การเมือง มาเวลานี้พอได้อ่านก็รู้สึกว่าสนุกดีเหมือนกัน หนังสือเล่มนึง
บอกว่าการลงประชามติก็เหมือนการทำข้อสอบ รู้ไม่รู้ ใช่ไม่ใช่ก็กาไปเถอะ
บางเล่มบอกว่าคะแนนเสียงที่ออกมาไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง
ก็ว่ากันไป....แต่วันนึงไปอ่านเจอเรื่อง " อายเวียดนาม" ในหนังสือพิมพ์
ไทยรัฐเข้า มันกระทบจิตใจ ( แต่ก็เห็นด้วยอย่างแรง )
โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "ภูมิใจในเรื่องไร้สาระ" แหม...พอมานั่งนึกๆดู
มันเพียบเลยนะ แล้วก็เป็นจริงอย่างเค้าว่าซะด้วย!!!
2. มีข้อความป่วนส่งเข้ามาจ้องทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนเรา เหมือนอยู่ดีๆมีเกมมือถือส่งมาให้เล่น
แต่เนื่องจากผู้ก่อการร้ายมีข้อมูลน้อยไปหน่อย เลยกระทำการได้ไม่สำเร็จ แต่ที่สำคัญเราก็ตามติดจนรู้ว่า
บุคคลผู้นั้นคือคน " ไม่สนิทใกล้ตัว" คุณจะทำไปเพื่ออะไรเนี่ย
3. ธนาคารไปประเมินบ้านแล้ว ตอนแรกบอกกู้ได้ 85% ไปๆมาๆกลายเป็น 80 อีกแล้ว...
เลยต้องไปเปลี่ยนสัญญาซื้อขายใหม่....ซับซ้อนจริงๆ
ได้รูปดอกไม้นี้มา เป็นดอกไม้ที่ปลูกอยู่หลังธนาคาร...เจอแล้วต้นตอ
แห่งความซับซ้อน...แต่ก็นะ...เป็นความซับซ้อนที่สวยงาม
หลังจากทำธุระที่ธนาคารเสร็จ ก็ไปกินข้าวกันที่ร้าน "ครัวตัว อ." เป็นร้านที่บรรยากาศสบายๆ
อาหารของเค้าก็ซับซ้อนนิดนึง
เรามาร้านนี้ทีไร ก็สั่งแบบเดิมๆทุกที
ในขณะที่ทางร้านพยามยามจะประดิษฐ์อาหารให้น่าทานถูกใจเรา แต่มาดูต้นไม้
ที่ขึ้นข้างๆโต๊ะที่เรานั่ง ไม่ต้องประดิษฐ์อะไรเลย ธรรมชาติล้วนๆ ก็ถูกใจเราเหมือนกัน...
ที่สำคัญไม่ต้องซื้อด้วยเงินซะด้วย
4. "เพื่อนไม่สนิท" สมัยมัธยมมาเที่ยวหา คุยกันไปมาเพื่อนชวนทำธุรกิจขายตรง ( เจ้าหนึ่ง ) ซะงั้น
โอเค..เพื่อนนำโอกาสหรือช่องทางทำเงินมาให้ แต่เราคิดว่ามันก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน
เราปฏิเสธว่าตัวเองไม่สามารถ ทีมงานของเค้าก็ใช้จิตวิทยา....นำเสนอช่องทางอีกอย่างให้เลือก
นั่นก็คือการซื้อของเฉยๆ หลายครั้งเรารู้ว่าคู่สนทนาใช้จิตวิทยากับเรา...แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
เพราะคำว่าเพื่อน สำหรับเรารู้สึกว่าอยากถอยห่างจากเพื่อนคนนี้
( ไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกแบบนี้เลย...แต่มันก็รู้สึกไปแล้ว )
5.เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งไม่สบายและมีปัญหาชีวิตถึงขั้นจะลาออกจากราชการ
เรากับพี่อีกคนไปเยี่ยมแกเกือบทุกวัน ในขณะที่คนอื่นๆเหยียบย่ำซ้ำเติมแกตลอดเวลา
พี่คนนี้มีน้ำใจกับเรามากๆ ถึงคนอื่นจะชอบมองว่าเค้าไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้
ทำไมคนเรายิ่งโตขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ
6. "ด.ญ.เติร์ก" นักเรียนที่น่ารักของเรา ไม่สบายปวดท้องอย่างรุนแรง
ไปหาหมอมาแล้ว 2 รอบ อาการก็ไม่ดีขึ้น จนวันที่ 3 เติร์กมาโรงเรียนได้ แต่ก็ไม่ไหวอีก
ปวดท้องจนตัวงอน้ำตาไหลพราก แล้ววันนี้ก็ดันเป็นวันที่เราไม่ได้เอารถมาซะด้วย
วิ่งไปหาพี่ๆที่ร่วมงาน
เรา : พี่.....คะช่วยไปส่งเด็กที่โรงพยาบาลหน่อยได้มั๊ยคะ เด็กปวดท้องมาก
พี่คนที่ 1 : ไม่ได้หรอก พี่จะรีบไปตาก
เรา : แล้วทำไงดีล่ะ เติร์กจะไม่ไหวแล้วนะ
พี่คนที่ 1 : อันนี้ต้องให้ผู้ปกครองเค้าจัดการแล้วล่ะ
เด็กคนนึงที่อยู่แถวนั้น : พ่อแม่เค้าไม่อยู่หรอกค่ะ เค้าออกไปรับจ้างแถวไหนก็ไม่รู้ค่ำๆนู่นถึงจะกลับ
( แล้วเราก็รู้จากเด็กว่าพ่อแม่เติร์กจะไม่พกมือถือไป และเติร์กก็ไม่รู้เบอร์ด้วย )
พี่คนที่ 2 ( ฝ่ายสนับสนุน ) : น้อง........อันนี้มันไม่ใช่หน้าที่ของครูแล้วล่ะนะ
ต้องให้ผู้ปกครองเค้ามาพาเด็กไป เราเป็นครูก็มีภาระงานของเรา.....ฯลฯ
นาทีนั้นเรารู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้า รีบเดินออกมาจากห้องนั้นก่อนจะระงับอารมณ์ไม่อยู่...
หรือพวกคุณจะรอให้เด็กตายซะก่อน ดีใจที่นึกถึงพี่แพรขึ้นมาได้ เราสองคนเลยพาเติร์กไปถึงมือหมอได้
หายไวๆนะเติร์ก